คนที่พูดว่า “ฉันเลือกทางชีวิตของฉันเองได้
ฉันสามารถ เอาชนะอำนาจของความบาปได้” คนเช่นนั้นเขาไม่เข้าใจ
ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ “ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า
คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่
แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่” (รม.7:18)อาจารย์เปาโลมอบตัวท่านเป็นแบบสอนพวกเรา
เปรียบได้ว่า มนุษย์นั้นตั้งใจจะไม่โลภแต่เมื่อถูกเย้ายวนด้วยเงินทองก็ไม่สามารถ
อดใจไว้ได้
เขาตั้งใจจะมีใจบริสุทธิ์แต่ความคิดของเขากลับเต็มไปด้วยความปรารถนาชั่ว ดังคำกล่าวที่ว่า “ถ้าใต้ถุนเตี้ยเราจะไม่ก้มศีรษะหรือ?” จะเห็นว่าศีลธรรมในใจมนุษย์ได้เสื่อมถอยขณะที่วิทยาศาสตร์กำลังก้าวหน้า
ยิ่งคุณธรรมของมนุษย์เสื่อมทรามลงมากเท่าใด เขายิ่งหาทางทำบาปได้มากขึ้นเท่านั้น
มนุษย์ได้หลงทางไปแล้วจริง ๆ
“ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวง เพราะการละเมิดครั้งเดียวฉันใด การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียว
ก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น 19เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาป
เพราะคนคนเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรม
เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น” (รม.5:18-19) พระเจ้าจัดการกับบาปของเรา เมื่อเราเชื่อว่า “องค์พระเยซูคริสต์” ได้ทรงตายแทนเรา และทรงเป็น “พระผู้ช่วยให้รอดของเรา”
พระองค์ก็ทรงรับบาปของเราไปเสีย เมื่อพระเจ้าทรงเอาบาปออกจากตัวเรานั้น
พระองค์ทรงแยกมันไว้ห่างไกลมาก ไม่มีทางที่เราจะพบอีกเลย
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราทราบข้อนี้ พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะให้เราหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา
ว่า สักวันหนึ่งเราต้องเผชิญกับบาปนั้นอีก
ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงมีคำสอนที่แสดงให้เราเห็นว่า ความผิดของเราได้หลุดพ้นไปแล้ว
และเราจะไม่พบบาปนั้นอีก
เราคือพระองค์นั้น
ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้ เราได้ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ
และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมอก จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว ( อสย.43:25 ; 44:22) การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเอาความบาปของพวกเราออกไป สุดท้ายแล้วก็เพื่อเห็นแก่พระองค์เองเมื่อพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาในการขจัดความบาปของเรา
นั่นก็นำสง่าราศีมาสู่พระนามของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงสัญญาว่า
จะไม่จดจำความบาปทั้งหลายของพวกเราเลย พระองค์ตรัสไว้ในฮีบรูว่า “เพราะเราจะกรุณาต่อการอธรรมของเขา
และจะไม่จดจำบาปของเขาไว้เลย.....และเราจะไม่จดจำบาปกับการอธรรมของเขาทั้งหลายอีกต่อไป” (ฮบ.8:12;10:17) พวกเราเคยสังเกตเมฆก้อนใหญ่ในท้องฟ้าบ้างไหม
พอเฝ้าดูสักครูหนึ่ง เมฆก้อนนั้นก็สลายตัวไป พระเจ้าได้ทรงจัดการกับ หมอกแห่งบาป
ในชีวิตของพวกเรา ด้วยวิธีเดียวกันนี้แหละ
พระเจ้าทรงลบล้างบาปของเราให้หมดไปอย่างหมอก จงจดจำไว้ว่าผู้เชื่อทุกคนเป็นของพระองค์
แม้พวกเขาได้หันหลังให้พระองค์ พระองค์ก็ไม่ทรงลืมพวกเขา
ช่างเป็นภาพที่ตรงข้ามกันจริงๆ แม้พวกเขาจะได้หลงลืมพระเจ้า
พระองค์ก็จะไม่มีวันลืมพวกเขาเลย
“พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา
หรือทรงสนองตามบาปผิดของเรา 11เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด
ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่งเท่านั้น 12ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด
พระองค์ทรงปลดการละเมิดของเราจากเราไปไกลเท่านั้น 13บิดาสงสารบุตรของตนฉันใด
พระเจ้าทรงสงสารบรรดาคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น (สดด.103:10-13)
เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาประชากรของพระองค์แล้ว พระองค์ก็คงตีสอนพวกเขาน้อยกว่า
ที่พวกเขาสมควรได้รับ ความเมตตาของพระองค์จึงปรากฏชัดเจนในการละเว้น
โทษที่ประชากรของพระองค์สมควรจะได้รับ ภาพเปรียบเทียบฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลกที่อยู่ห่างไกลกันแทบจะหาปลายทางไม่ได้
ความเมตตาของพระองค์ก็เป็นเช่นนั้นต่อพวกเขาที่เกรงกลัวพระองค์
หากสังเกตให้ดีความเมตตาของพระเจ้าไม่ได้มีแก่คนทั้งปวง ตรงกันข้ามมันถูกจำกัด
เฉพาะแก่คนเหล่านั้นที่เกรงกลัวพระองค์ และไว้วางใจพระองค์
พระองค์ไม่เคยทำให้คนของพระองค์เองผิดหวังเลย ตะวันออกเจอตะวันตกที่ไหน.....จุดจบนั้นหาที่สุดไม่ได้ในระยะทางของมัน
เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงเอาความบาปต่างๆ ขอเราทั้งหมดสิ้น ไปแล้ว
นี่บอกเป็นในถึงความเมตตายิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการยกโทษ
และการนับว่าเป็นคนชอบธรรมดังกล่าว อีกครั้ง เราควรมีหน้าที่ในการถวายสาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ด้วยทุกสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา บิดาผู้ชอบธรรมย่อมจะเปี่ยมเมตตาต่อบุตรทั้งหลายของเขา
ก็เช่นเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสงสารต่อคนที่ยำเกรงพระองค์เสมอ
“.....จงยำเกรงพระเจ้า
และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง”
(ปญจ.12:13)