วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ(ตอนสอง)

          อิสยาห์ มีชีวิตอยู่ในช่วงที่อิสราเอลแบ่งออกเป็นสองอาณาจักร อาณาจักรภาคเหนือเรียกว่า “อิสราเอล” เมืองหลวงคือ “กรุงสะมาเรีย” อาณาจักรใต้เรียกว่า “ยูดาห์” เมืองหลวงคือ “กรุงเยรูซาเล็ม” อาณาจักรเหนือใหญ่กว่ามีพลเมืองมากกว่า เป็นอาณาจักรที่ไม่ถือตามศาสนาเดิมที่พระเจ้าได้ประทานไว้เมื่อสมัยโมเสส อิสยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะและเป็นที่ปรึกษากษัตริย์ฝ่ายยูดาห์ อิสยาห์เริ่มประกาศพระวจนะในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สวรรคต (740 ก่อน ค.ศ.) และเขาได้รับใช้พระเจ้าเรื่อยมาอีกหลายสิบปี ผ่านรัชสมัยกษัตริย์โยธาร อาหัส และเฮเซคียาห์ อิสยาห์เป็นคนซื่อตรง กล้าที่จะกล่าวโทษพวกคนร่ำรวย และพวกมีอิทธิพลที่กดขี่ขูดรีดคนยากจน
                   “ความลำเอียงของเขาเป็นพยานปรักปรำเขาทั้งหลาย เขาป่าวร้อง
                   ความผิดของเขาอย่างโสโดม เขามิได้ปิดบังไว้ วิบัติแก่เขา เพราะว่า
                   เขาได้นำความชั่วร้ายมาเหนือตัวเขาเอง 14 พระเจ้าทรงเข้าพิพากษา
                   พวกผู้ใหญ่ และเจ้านายชนชาติของพระองค์ "เจ้าทั้งหลายนี่แหละซึ่ง
                   ได้กลืนกินสวนองุ่นเสีย ของที่ริบมาจากคนจนก็อยู่ในเรือนของเจ้า
                   15 ซึ่งเจ้าได้บีบคั้นชนชาติของเรา และได้บดบี้หน้าของคนจนนั้น
                   เจ้าหมายความว่ากระไร" พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ”  (อสย. 3:9,14-15)
อิสยาห์รักพระเจ้ามาก และเชื่อมั่นในพระองค์ ทั้งพยายามที่จะให้กษัตริย์ของยูดาห์ เชื่อมั่นในพระองค์ด้วย
                    “จงมัดถ้อยคำพยานเก็บไว้เสีย และจงตีตราพระโอวาทไว้ใน
                   หมู่พวกสาวกของข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจะรอคอยพระเจ้า ผู้ทรงซ่อน
                   พระพักตร์ของพระองค์จากเชื้อสายของยาโคบ และข้าพเจ้าจะหวังใจ
                   อยู่ที่พระองค์” (อสย. 8:16-17)
นอกจากนั้น อิสยาห์ ได้อบรมสั่งสอนพวกลูกศิษย์เพื่อที่จะได้มีกลุ่มผู้เชื่อที่เข้มแข็งท่ามกลางประชาชนที่ลืมพระเจ้า    ส่วนหนึ่งที่อิสยาห์อบรมผู้รับใช้ คือ “การนำพระวจนะมาหนุนใจ และชูกำลังใจผู้อื่น”
          “พระเจ้าได้ประทานให้ข้าพเจ้ามี ลิ้นของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ที่จะค้ำชู ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยไว้ด้วยถ้อยคำ ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุก ทรงปลุกหูของข้าพเจ้า เพื่อให้ฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน 5 พระเจ้าได้ทรงเบิกหูข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ดื้อดัน ข้าพเจ้าไม่หันกลับ 6 ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่คนที่ดึงเคราข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่หนีหน้า จากความอายแก่การถ่มน้ำลายรด 7 เพราะว่า พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ขายหน้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ และข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย 8พระองค์ผู้ทรงแก้แทนข้าพเจ้าก็อยู่ใกล้ ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า ก็ให้เรายืนอยู่ด้วยกัน ใครเป็นปฏิปักษ์ของข้าพเจ้า ก็ให้เขามาใกล้ข้าพเจ้า 9 ดูเถิด พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้าว่ามีความผิด ดูเถิด บรรดาเขาทุกคนจะร่อยหรอไป เหมือนอย่างเสื้อผ้า ตัวแมลงจะกินเขาเหล่านั้นเสีย” (อสย 50:4-9)
          อิสยาห์ สั่งสอนผู้ที่ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า พวกเขาต้องฝึกฝนสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เกิดประสบการณ์เรียนรู้ที่จะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า สิ่งเหล่านั้นคือ
                   1. การฝึกบังคับลิ้น พระเจ้าได้ประทานให้ข้าพเจ้ามี ลิ้นของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ที่จะค้ำชู ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยไว้ด้วยถ้อยคำ... (อสย 50:4) พระคัมภีร์กล่าวอะไรเกี่ยวกับลิ้นบ้าง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสอนผ่าน อ.ยากอบ ว่า “ ดูก่อน พี่น้องของข้าพเจ้า อย่าให้เป็นอาจารย์กันมากหลายคนเลย เพราะท่านก็รู้ว่า เราทั้งหลายที่เป็นผู้สอนนั้น จะได้รับการทรงพิพากษาที่เข้มงวดกว่าผู้อื่น 2 เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดไปหลายๆ อย่าง ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นก็เป็นคนดีรอบคอบแล้ว และสามารถบังคับทั้งตัวไว้ได้ด้วย 3 ถ้าเราเอาบังเหียนใส่ปากม้า เพื่อให้มันเชื่อฟังเรา เราก็บังคับมันให้ไปไหนๆ ได้ทั้งตัว 4 จงดูเรือด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเป็นเรือใหญ่ และถูกลมแรงพัดแล่นไป เรือก็ยังหันไปมาด้วยหางเสือเล็กๆ ตามใจนายท้ายที่จะให้ไปทางไหน 5 ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็กๆ และอวดอ้างเรื่องใหญ่ๆ จงดูเถิด ไฟนิดเดียวอาจเผาป่าใหญ่ให้ไหม้ได้หนอ 6 และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ ลิ้นเป็นโลกที่ไร้ธรรมในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายมลทินไป ทำให้วัฏฏะแห่งชีวิตเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟโดยนรก 7 เพราะสัตว์เดียรัจฉานทุกชนิด ทั้งนก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ในทะเลก็เลี้ยงให้เชื่องได้ และมนุษย์ก็ได้เลี้ยงให้เชื่องแล้ว 8 แต่ลิ้นนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่ว ที่อยู่ไม่สุข และเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย 9 เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์ 10 คำสรรเสริญ และคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น 11 บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืด และน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ 12 พี่น้องทั้งหลายต้นมะเดื่อ จะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลย 13 ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาด และมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตน ด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา 14 แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยา และมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวด และทรยศต่อความจริง 15 ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลก และเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปีศาจ 16 เพราะว่า ที่ใดมีความริษยา และความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวาย และมีการกระทำชั่วช้า ลามกต่างๆ 17 แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพ และว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตา และผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด 18 ผู้สร้างสันติสุข หว่านอย่างสันติ จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม” (ยก.3:1-18) พระคำนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าลิ้นเป็นอวัยวะเล็กๆ ในร่างกายของเรา แต่มันก็มีอำนาจ โดยลิ้นนี่เองที่ร่างกายทั้งหมดอาจจะเป็นมลทินได้ คนไม่สามารถทำให้ลิ้นเชื่องได้ แต่หากเราเพียงแต่มอบลิ้นของเราแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า นั้นแหล่ะจึงจะควบคุมมันไว้ได้ “พระองค์ทรงทำปากของข้าพเจ้าเหมือนดาบคม พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำข้าพเจ้าให้เป็นลูกศรขัดมัน พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้เสียในแล่งของพระองค์” (อสย 49:2) องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสอนผ่านอิสยาห์ ว่า พระเจ้าจะทรงช่วยผู้รับใช้ให้กล่าวพระคำได้อย่างคมคาย “มีบางคนที่คำพูดพล่อยๆ ของเขาเหมือนดาบแทง แต่ลิ้นของปราชญ์นำการรักษามาให้ ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิต แต่ลิ้นตลบตะแลงทำน้ำใจให้แตกสลาย” (สภษ.12:18;15:4) ข้อนี้เป็นพระพร และความสามารถที่จะหนุนใจผู้เหนื่อยอ่อน และผู้ท้อใจด้วยคำพูดที่รักษาบาดแผล และเป็น “ต้นไม้แห่งชีวิต” เพื่อพวกเขาด้วย ดังนั้นหน้าที่หลักของผู้รับใช้ก็คือ การลงมือกระทำด้วยการเสาะแสวงหาผู้ที่เหนื่อยอ่อน ท้อใจ และนำข่าวดีแห่งความรอดของพระเจ้าไปบอกพวกเขา ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ 40-50 ได้ให้ภาพของผู้เหนื่อยอ่อน ท้อใจ เช่น “ไม้อ้อซ้ำ” “ไส้ตะเกียงที่ลุกริบหรี่” (อสย.42:3) คนที่อยู่ในคุกหรือในความมืด (อสย.42:7) “คนจนและคนขัดสน” (อสย.41:17) ตอข้าวที่ถูกพัดไป (อสย.41:2) ในพันธสัญญาใหม่องค์พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างของผู้รับใช้ที่ เราจะต้องศึกษาและตั้งใจเรียนรู้จากพระองค์ พระองค์ตรัสคำหนุนใจแก่ ผู้ที่เหนื่อยอ่อน ท้อใจ หลายครั้ง เช่น "ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย" (มก.6:50) “ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง" (มก.9:23) “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อย
เป็นสุข” (มธ.11:28) เป็นต้น


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ (ตอนแรก)


เพราะว่า พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ขายหน้า
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ
และข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย
อสย 50:7

          เมื่อ เปโตร เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ใหม่ๆ นั้น เขาเป็นคนใจร้อนหุนหันพลันแล่น และประสบกับความยุ่งยากอยู่เสมอ นอก
จากนั้นเปโตรยังเป็นคนขี้ขลาดตาขาวอยู่ด้วย เขาไม่ยอมรับต่อหญิงรับใช้ว่า เขาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์(มธ.26:71-72) แต่ต่อมาภายหลัง     เปรโตกลายเป็นคนกล้าหาญ และไม่เกรงกลัวแม้จะถูกเฆี่ยนตีและจำคุก เพราะพระนามของพระเยซูคริสต์ เปโตรได้เจริญรอยตาม
พระบาทของพระเยซูคริสต์อย่างใกล้ชิด “เพราะว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก” (รม.8:29) นั้นหมายความว่า การที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนของพระองค์ไว้ ก็เพื่อให้เราเจริญรอยตามแบบพระฉายาของพระเยซูคริสต์ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พระเจ้าจะทรงกระทำให้เราเป็นเหมือนพระองค์ พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นผู้ที่บริบูรณ์ในการทุกสิ่ง ตรงกันข้ามกับเราที่ยังคงเป็นคนบกพร่องผิดบาป อยู่ห่างไกลจากความดีครบถ้วน สุดที่จะประมาณได้
          เป้าหมายของการเป็นผู้นำคือ “การเป็นผู้รับใช้” ความสามารถในการนำนั้นไม่ใช่เอาแต่ออกคำสั่ง เจ้านายมักจะ “บอก” ลูกน้องว่าจะทำอย่างไร แต่ผู้นำจะ “แสดง” ให้ลูกน้องเห็นว่าควรทำอย่างไร ดังนั้นการรับใช้จึงเป็นสิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งในการเป็นสาวก เพราะเรามักชอบให้คนอื่นมาเอาใจปรนนิบัติ มีน้อยคนชอบรับใช้คนอื่น อย่างไรก็ตาม การรับใช้ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องพึงปฏิบัติในการเป็นสาวก เพื่อสำแสดงความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อเพื่อนพี่น้องและผู้อื่น พวกเราทุกคนที่เรียนรู้พระคำของพระเจ้าอยากให้คนอื่นเรียกเราว่า “ผู้รับใช้” แต่มีสักกี่คนที่จะปฏิบัติตนเป็นผู้รับใช้ จริงๆในฐานะที่เป็นคริสเตียน เมื่อมีใครเรียกว่า “ผู้รับใช้” เท่ากับว่าเป็นการให้ความเคารพอย่างสูง แต่เมื่อมีคนมาใช้อย่าง “คนรับใช้” กลับรู้สึกเหมือนกับถูกเหยียดหยาม ทั้งๆที่ ทุกคนต้องถูกเรียกว่า “เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์” แต่กับต่อต้านการปรนนิบัติรับใช้เช่นนี้เสียแล้ว
          เมื่อเราเริ่มต้นช่วยคนๆ หนึ่งให้มีชีวิตเป็นคริสเตียน เขาจะทำตามเราเหมือนเด็กที่ทำตามพ่อแม่โดยธรรมชาติ และเขาจะเป็นอย่างที่เราเป็น ไม่ใช่เหมือนที่เราพูดและสอนเขา ดังนั้นการกระทำของเราจึงมีความสำคัญในการเป็นแบบอย่างของเขา อุทาหรณ์หลายอย่างจากพระคัมภีร์เป็นพยานว่า มนุษย์ได้จำลองสิ่งต่างๆ ตามแบบของผู้ที่เขาใกล้ชิด แสดงออกมาเป็นการกระทำ อับราฮัมเปลี่ยนฐานะภรรยามาเป็นน้องสาว เพื่อให้ตนเองปลอดภัย(ปฐก.20:2) บุตรชายของเขา คือ อิสอัค ก็ทำสิ่งเดียวกัน(ปฐก.26:7)พระคัมภีร์จารึกไว้ว่า เอลีมหาปุโรหิต เลี้ยงดูบุตรไม่เป็น(1ซมอ.2:12-17) แต่เขาก็จำลองลักษณะเช่นนี้สู่ชีวิตลูกศิษย์ของเขาที่ชื่อ ซามูเอล ด้วย(1ซมอ.8:1-5)  ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องเป็นแม่แบบให้สาวกของเรา ตามที่เราต้องการ และมั่นใจได้ว่า เราต้องถ่ายทอดสิ่งที่เราเป็นเข้าสู่ชีวิตของเขาแน่นอน     


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/