วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

โยเซฟบุรุษผู้น่า...เรียนรู้…(ตอนสุดท้าย)

ลักษณะชีวิต
จุดดีในชีวิต
     1.ชีวิตที่อยู่ใกล้พระเจ้า ปฐก.39:2-3พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ      โยเซฟจึงเจริญรวดเร็ว เขาอยู่ในบ้านคนอียิปต์นายของเขา 3นายก็เห็นว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับโยเซฟและพระเจ้าทรงโปรดให้การงานทุกอย่างที่กระทำเจริญขึ้นมากในมือของโยเซฟ พระเจ้าทรงอวยพรโยเซฟแม้ว่าเขาต้องทนทุกข์เพราะเหตุความชอบธรรม แต่พระเจ้าก็ทรงอวยพรเขาโดยทรงทำให้เขาเจริญขึ้นและทรงทำให้เขาได้รับการเลื่อนขั้นแน่นอนที่ว่าพระเจ้าทรงอวยพรคนชอบธรรมจริงๆ
          2. ชีวิตที่สัตย์ซื่อในการงาน ปฐก.39:5-6 ตั้งแต่โปทิฟาร์ตั้ง  โยเซฟให้เป็นผู้ดูแลการงานในบ้าน และทรัพย์สิ่งของทั้งปวงของท่านแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงอำนวยพระพรให้แก่ครอบครัวของคนอียิปต์นั้น เพราะเห็นแก่
โยเซฟ ทั้งทรงอวยพรให้สิ่งของทั้งปวงซึ่งเขามีอยู่ในบ้าน และในนาให้เจริญขึ้น 6นายมอบของทุกอย่างของเขาไว้ในความดูแลของโยเซฟ เมื่อมีโยเซฟแล้ว เขาก็มิได้เอาใจใส่สิ่งใดเลย เว้นแต่อาหารที่ท่านรับประทาน   โยเซฟได้ประสบกับการอวยพรของพระเจ้าขณะที่เขาได้รับใช้ในบ้านของโปทีฟาร์อย่างสัตย์ซื่อ เขาได้พิสูจน์ว่าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อยและดังนั้นพระเจ้าได้วางเขาไว้ในการดูแลของมากขึ้น จงสังเกตว่าพระเจ้าได้อวยพรโปทีฟาร์ เนื่องจาก    โยเซฟ
          3. ชีวิตที่หนีจากบาป ปฐก.39:7-23 โยเซฟนั้นเป็นคนสวยหน้าตาคมคาย อยู่มาภายหลังภรรยาของนายมองดูโยเซฟด้วยความปฏิพัทธ์ และชวนว่า "มานอนกับฉันเถิด" 8 แต่โยเซฟไม่ยอม จึงตอบแก่ภรรยาของนายว่า "คิดดูเถิด เมื่อมีข้าพเจ้า นายก็มิได้ห่วงสิ่งใดซึ่งอยู่ในบ้านเรือน ได้มอบของทุกอย่างที่มีอยู่ไว้ในมือข้าพเจ้า 9 ในบ้านนี้ นายก็ไม่ใหญ่กว่าข้าพเจ้า นายมิได้หวงสิ่งใดจากข้าพเจ้า ยกเสียแต่ตัวท่านเพราะเป็นภรรยาของนาย ข้าพเจ้าจะทำความผิดใหญ่หลวงนี้อันเป็นบาปต่อพระเจ้าอย่างไรได้" 10 แม้นางชวนโยเซฟวันแล้ววันเล่า โยเซฟก็ไม่ยอมนอนกับนางหรืออยู่ด้วยกัน 11 วันหนึ่ง โยเซฟเข้าไปในบ้านเพื่อทำธุรการงานของเขา ไม่มีชายประจำบ้านคนใดอยู่ในนั้น 12 นางก็คว้าเสื้อผ้าโยเซฟเหนี่ยวรั้งไว้ แล้วพูดว่า "มานอนอยู่กับฉันเถิด" แต่
โยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือนางหนีไปข้างนอก 13 เมื่อนางเห็นว่า โยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือของนาง หนีไปข้างนอกแล้ว 14 นางก็ร้องเรียกชายประจำบ้านของตนมาบอกว่า "ดูซิ นายเอาคนชาติฮีบรูมาไว้ทำความหยาบคายแก่เรา มันเข้ามาหาจะนอนกับฉัน แต่ฉันร้องเสียงดัง 15 เมื่อมันได้ยินฉันร้องขึ้น มันก็ทิ้งเสื้อผ้าไว้กับฉันหนีไปข้างนอก" 16 แล้วนางก็เก็บเสื้อผ้าไว้ใกล้ตัวจนนายกลับมาบ้าน 17 แล้วนางก็บอกกับนายดังนี้ว่า "อ้ายบ่าวชาติฮีบรูที่ท่านนำมาไว้นั้น เข้ามาหาจะทำหยาบคายแก่ฉัน 18 เมื่อฉันร้องขึ้น มันก็ทิ้งเสื้อผ้าไว้กับฉันหนีไปข้างนอก"
19 ครั้นนายได้ฟังคำภรรยาบอกว่า "บ่าวของท่านทำกับฉันดังนั้น" ก็โกรธนัก 20 จึงเอาโยเซฟไปจำไว้ในคุกที่ที่ขังนักโทษหลวง โยเซฟก็ต้องจำอยู่ที่นั่น 21 แต่ว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ และทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่เขา ทรงโปรดให้พัศดีเมตตาปรานีเขา 22 พัศดีก็มอบนักโทษทั้งปวงที่ในเรือนจำไว้ในความดูแลของโยเซฟ การงานที่ทำในที่นั้นทุกอย่างโยเซฟเป็นผู้รับผิดชอบ 23     พัศดีไม่ได้เอาใจใส่การงานใดๆ ที่โยเซฟดูแล เพราะเหตุพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน และการงานใดๆ ที่ท่านกระทำพระเจ้าก็ทรงโปรดให้เจริญ ภรรยาของเจ้านายของเขาได้ล่อลวงเขาหลายครั้ง  แต่เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอของเธอเพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะทำบาปต่อพระเจ้าและทรยศต่อความวางใจของโปทีฟาร์ โยเซฟได้ชื่นชมกับพระพรที่อุดมสมบูรณ์ของพระเจ้าต่อไปแม้กระทั้งเขาถูกจำจองไว้ในคุกเนื่องจากการกล่าวหาผิดๆ
          4. ชีวิตที่ให้เกียรติพระเจ้าเสมอ ปฐก.41:14-16 ฟาโรห์จึงรับสั่งให้เรียกโยเซฟมา เขาก็รีบไปเบิกตัวโยเซฟออกมาจากคุกใต้ดินครั้นโยเซฟโกนศีรษะผลัดเสื้อผ้าแล้วก็เข้าเฝ้าฟาโรห์ 15 ฟาโรห์ตรัสแก่โยเซฟว่า "เราฝันไป หามีผู้ใดแก้ฝันได้ไม่ เราได้ยินว่า เมื่อเจ้าได้ฟังความฝัน เจ้าก็แก้ฝันได้" 16 โยเซฟจึงทูลตอบฟาโรห์ว่า "การแก้ฝันมิได้อยู่ที่ข้าพระบาท พระเจ้าต่างหากจะประทานคำตอบอันควรแก่ฟาโรห์" ฟาโรห์บอกเขาว่าตนฝันความฝันหนึ่งและไม่มีใครแก้ฝันให้แก่ตนได้  เขาได้ยินมาว่าโยเซฟสามารถแก้ฝนได้ โยเซฟได้แต่ยอมรับพระเจ้าของเขา การแก้ฝนมิได้อยู่ที่ข้าพระองค์ พระเจ้าต่างหากจะประทานคำตอบอันเป็นสุขแด่ฟาโรห์โยเซฟให้เกียรติพระเจ้าเสมอ  และไม่น้อยใจต่อการเข้าไปอยู่ในคุก
          5. ชีวิตที่เปี่ยมด้วยความรัก ปฐก.45:4-5โยเซฟจึงบอกพี่ชายว่า "เชิญเข้ามาใกล้เราเถิด" เขาก็เข้ามาใกล้ แล้วโยเซฟว่า "เราคือโยเซฟน้องที่พี่ขายมายังอียิปต์ 5 แต่บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต แม้ว่าพี่ชายทำกับโยเซฟมากมาย แต่โยเซฟได้สำแดงชีวิตด้วยความรักกับพวกเขา พระเจ้าของโยเซฟนั้นได้ทำให้เขากรุณายกโทษและยอมรับแทนที่จะข่มขื่นและแก้แค้น โยเซฟได้เห็นถึงความรักของพระเจ้าของเขาอยู่ เบื้องหลังความโหดเหี้ยมของพวกพี่ชายของเขา เขาได้ยอมรับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงได้รับพระพรของพระเจ้า การกลับคืนดีกันนั้นเป็นไปได้เมื่อมีการยกโทษ และการยกโทษนั้นเป็นไปได้ เมื่อมีการรับรู้ถึงอำนาจของพระเจ้า
จุดอ่อนในชีวิต
          1. คนช่างฟ้อง ปฐก.37:2 ต่อไปนี้ เป็นประวัติครอบครัวของยาโคบ เมื่อโยเซฟอายุได้สิบเจ็ดปีไปเลี้ยงสัตว์อยู่กับพวกพี่ชาย เขาเป็นเด็กหนุ่มอยู่กับบุตรของนางบิลฮาห์ และศิลปาห์ภรรยาบิดาของตน โยเซฟเอาความผิดของพี่ชายมาเล่าให้บิดาฟัง โยเซฟมีนิสัยเป็นคนช่างฟ้อง ชอบเอาเรื่องพี่ๆ ไปฟ้องพ่อ เอาความผิดไปรายงานให้ทราบเสมอ โยเซฟพร้อมกับ พวกพี่ชายของเขาช่วยเลี้ยงฝูงแกะของบิดาอยู่ขณะนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นพฤติกรรมอันไม่ชอบธรรม ทามกลางพวกพี่ชายและ  ไปเล่าเรื่องนี้แก่บิดายังความไม่พอใจแก่พวกพี่ๆ ของเขามาก
          2. คนช่างฝัน ปฐก.37:5-8 คราวหนึ่ง โยเซฟฝัน แล้วเล่าให้พวกพี่ชายฟัง พวกพี่ชายยิ่งชังโยเซฟมากขึ้น 6โยเซฟเล่าว่า "ฟังความฝันซึ่งฉันฝันเห็นซิ 7 พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในนา ทันใดนั้น ฟ่อนข้าวของฉันตั้งขึ้นยืนตรง แต่ฟ่อนข้าวของพวกพี่ๆ มาแวดล้อมกราบไหว้ฟ่อนข้าวของฉัน" 8 พวกพี่ชายจึงถามโยเซฟว่า "เจ้าจะปกครองเรากระนั้นหรือ เจ้าจะมีอำนาจครอบครองเราหรือ" พวกพี่ชายก็ยิ่งชังโยเซฟมากขึ้นอีกเพราะความฝัน และเพราะคำของเขา ; ปฐก.37:9-10 ต่อมา โยเซฟก็ฝันอีก จึงเล่าให้พี่ชายฟังว่า "ฉันฝันอีกครั้งหนึ่ง เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวสิบเอ็ดดวงกำลังกราบไหว้ฉัน" 10 เมื่อเล่าให้บิดา และพวกพี่ชายกับน้องฟัง บิดาก็เตือนโยเซฟว่า "ความฝันที่เจ้าได้ฝันเห็นนั้น หมายความว่าอะไร เรากับมารดาและพี่น้องของเจ้า จะมาซบหน้าลงถึงดินกราบไหว้เจ้ากระนั้นหรือ" 11 พวกพี่ชายอิจฉาโยเซฟ บิดาก็นิ่งตรองเรื่องนี้อยู่แต่ในใจ ช่องว่างระหว่างโยเซฟกับพวกพี่ๆอีกสิบคนก็ยิ่งขยายกว้างยิ่งขึ้นเพราะความฝันแบบคำพยากรณ์ พระเจ้าได้ทรงประทานแก่เขา เขาบอกพวกพี่ว่าในความฝันพวกเขาทุกคนกำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในทุ่งนา ฟ่อนข้าวของเขาตั้งขึ้นยืนตรงและของพวกพี่ก็ มาแวดล้อมกราบไหว้ฟ่อนข้าวของเขาโยเซฟมีความฝันอีกครั้งซึ่งในความฝันนั้นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวสิบเอ็ดดวงกำลังกราบไหว้ข้าพเจ้าพี่ๆของเขาไม่เพียงเกลียดชังเขามากขึ้นเท่านั้น แต่แม่แต่บิดาของเขาก็เริ่มเดือดดาลแล้วและตำหนิเขา พวกเขาทุกคนเข้าใจความหมายแฝงของความฝันของเขา สักวัน   หนึ่งคนทั้งครอบครัว จะก้มกราบลงต่อหน้าโยเซฟ แม้ว่านั้นเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมาจริงๆ แต่ขณะนั้น ความคิดดังกล่าวไม่ทำให้โยเซฟเป็นที่รักในสายตาของใครเลย
ข้อคิดจากชีวิตโยเซฟ
          ประการแรก กระทำตนให้เป็นประโยชน์เสมอ ไม่ว่า  โยเซฟจะตกลงในสถานการณ์ใด เขาใช้ชีวิตของเขาที่จะทำสิ่งดีสร้างเสริมคุณประโยชน์แก่ที่นั้น  และแก่คนต่างๆ ที่อยู่ในที่นั้น  ในสถานการณ์ที่ตกต่ำ แทนที่โยเซฟจะมัวแต่นั่งซึมเศร้าคิดสงสารตนเองที่ถูกรังแก  ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้าย และจิปาถะ แต่โยเซฟทำตัวให้เกิดประโยชน์แก่เจ้านาย และ คนอื่นๆ ที่อยู่ในที่นั้น ไม่ว่าในบ้านของโปทิฟาร์ ในคุกหลวง ในการเตรียมการรับมือกับมหาภัยพิบัติ หรือแม้แต่เผชิญหน้ากับบรรดาพี่ชายที่เคยเฉดหัวเขาให้ออกจากบ้านต้องพบกับความทุกข์ระกำลำบาก
          ประการที่สอง ติดสนิทกับพระเจ้าเสมอ  ชีวิตของ      โยเซฟมีลักษณะพิเศษคือ   เขาติดสนิทกับพระเจ้าในทุกสถานการณ์ชีวิต   พระคัมภีร์จะบอกในทุกสถานการณ์ชีวิตว่า  พระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟ  การสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้านี่เองที่ทำให้เกิดผลสำคัญในชีวิตของโยเซฟคือ คนรอบข้างในที่นั้นเห็นถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในชีวิตของโยเซฟ และการงานทุกอย่างพระเจ้าประทานความสำเร็จ เช่น  เมื่อต้องเป็นทาสในเรือนของโปทิฟาร์
          ประการที่สาม ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความเชื่อ โยเซฟมีความเชื่อว่า ทุกสถานการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นกับเขา พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และใช้ชีวิตของเขาในทุกสถานการณ์ตามพระประสงค์ของพระองค์ ดังนั้นโยเซฟจึงเชื่อมั่นว่าทุกสถานการณ์ชีวิตพระเจ้าจะใช้ท่านให้มีชีวิตที่เกิดผลดีแก่ผู้คนรอบข้างในที่นั้นๆ 
-------------------------------------


อ่านบทความอื่นๆได้ที่http://theword-15.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559

โยเซฟบุรุษผู้น่า...เรียนรู้…(ตอนแรก)

ประวัติ
ชีวิตวัยเด็ก
          โยเซฟเป็นลูกของยาโคบ บิดารักมากกว่าพี่น้องอื่นๆ อีกสิบเอ็ดคน เพราะโยเซฟเกิดมาเมื่อยาโคบมีอายุมากแล้วบิดาจึงเอาอกเอาใจ เช่น ตัดเสื้อผ้าพิเศษให้สวมใส่ พี่ ๆ จึงอิจฉา ยิ่งกว่านั้นโยเซฟมักฝันในทำนองที่พี่ ๆ ต้องมากราบไหว้ตน เช่น ฝันว่ากำลังเกี่ยวข้าวในทุ่งนา ฟ่อนข้าวของโยเซฟลุกตั้งขึ้น และฟ่อนข้าวของพี่ ๆ ต่างโค้งคำนับฟ่อนข้าวของโยเซฟ หรือฝันเห็นดวงอาทิตย์ มีดาวสิบเอ็ดดวงมากราบไหว้ ยิ่งทำให้พวกพี่ ๆ โกรธและอิจฉามากขึ้น
           วันหนึ่งยาโคบใช้โยเซฟไปดูซิว่า พวกพี่ ๆ นำฝูงแกะไปเลี้ยงที่เมืองเชเคมเป็นอย่างไร พอไปถึงพวกพี่ก็พูดกันว่า นี่แน่ะ เจ้านักฝันมาแล้ว เราจงฆ่ามันเสียเถิด” แต่พี่ชายคนโตชื่อรูเบนเกิดสงสารน้องจึงบอกว่า อย่าเลย เพราะยังไงๆ มันก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับเรา สู้จับมันทิ้งลงไปในบ่อแห้งนี้ดีกว่าพวกพี่ ๆ เห็นด้วยจึงจับโยเซฟทิ้งลงไปในบ่อแห้งพอดีมีกองคาราวานพ่อค้าผ่านมา พวกพี่ ๆ จึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะขายโยเซฟให้แก่พ่อค้าเหล่านั้นเป็นเงิน 20 เหรียญ พ่อค้าก็นำโยเซฟไปประเทศอียิปต์ ส่วนพวกพี่ ๆ ก็ออกอุบายกลับไปบอกยาโคบบิดาว่าพบเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของโยเซฟ เข้าใจว่าคงถูกสัตว์ร้ายขบกินไปแล้ว ยาโคบก็ร้องไห้เสียใจมาก
ชีวิตในอียิปต์
           พ่อค้าขายโยเซฟให้แก่ขุนนางอียิปต์ชื่อโปทิฟาร์ โยเซฟจึงทำงานรับใช้อยู่ที่นี่เป็นที่ถูกใจนายจนได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลกิจการงานในบ้าน ต่อมาภรรยาของโปทิฟาร์เกิดหลงรักโยเซฟ เมื่อโยเซฟไม่เล่นด้วยก็หาเรื่องใส่ความจน โยเซฟถูกจับติดคุก มหาดเล็กของกษัตริย์ฟาโรห์สองคนที่ติดคุกอยู่ด้วยกันเกิดฝันประหลาด คือ คนหนึ่งฝันว่ามีเถาองุ่นสามเถา มีใบ มีดอก และมีผล งอกออกมา ตนจึงเก็บผลองุ่นมาคั้นน้ำให้กษัตริย์ฟาโรห์เสวย โยเซฟก็ทำนายฝันนั้นว่า อีกสามวันจะได้รับอภัยโทษและแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เดิม ส่วนอีกคนหนึ่งฝันว่าทูนกระจาดสามใบมีขนมเต็มไว้บนศีรษะ และมีนกบินมาจิกกินขนมนั้นเป็นพัลวัน โยเซฟก็ทำนายฝันให้ว่า อีกสามวันกษัตริย์ฟาโรหืจะตัดศีรษะท่านและแขวนร่างกายของท่านไว้ให้นก กา มาจิกกิน และก็เป็นไปตามที่โยเซฟทำนายทุกประการ
           ต่อมากษัตริย์ฟาโรห์เองก็ทรงฝันว่ามีวัวอ้วนเจ็ดตัวเดินขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์และเล็มหญ้ากินอยู่ ทันใดนั้นก็มีวัวผอม เจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์เช่นเดียวกัน วัวผอมเจ็ดตัวนั้นก็ตรงเข้าขม้ำวัวอ้วนเจ็ดตัวนั้นเสีย และกษัตริย์ฟาโรห์ก็ทรงฝันอีกว่า   มีต้นข้าวต้นเดียวงอกขึ้นมา มีรวงเจ็ดรวงมีเมล็ดอ้วนดี และมีต้นข้าวอีกต้นหนึ่งงอกขึ้นมา มีวงเจ็ดรวงมีเมล็ดลีบทั้งนั้น รวงข้าวลีบทั้งเจ็ดก็กลืนกินรวงข้าวอ้วนทั้งเจ็ดนั้นเสีย กษัตริย์ฟาโรห์ร้อนพระทัยเป็นอย่างยิ่งเพราะไม่มีใครสามารถทำนายฝันให้พระองค์ได้ มหาดเล็กผู้รอดตายจึงกราบทูลเรื่องโยเซฟทำนายฝันได้แม่นยำให้กษัตริย์ฟาโรห์ทรงทราบ กษัตริย์ฟาโรห์รีบสั่งให้นำตัวโยเซฟออกจากคุกมาเฝ้า โยเซฟก็ทำนายฝันว่าความฝันทั้งสองมีความหมายเดียวกัน คือวัวอ้วนเจ็ดตัวและรวงข้างอ้วนเจ็ดรวงได้แก่ปีอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารเจ็ดปี ส่วนวัวผอมเจ็ดตัวและรวงข้าวลีบเจ็ดรวงได้แก่  ปีกันดารพืชพันธุ์ธัญญาหารเจ็ดปีที่จะตามมา กษัตริย์จึงแต่งตั้งโยเซฟให้เป็นใหญ่ในแผ่นดินอียิปต์รองจากกษัตริย์เท่านั้น และมอบหมายหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารตลอดเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์สะสมไว้ในยุ้งฉางทั่วประเทศ  เพื่อนำมาใช้ในช่วงเจ็ดปีที่กันดารแห้งแล้งต่อไป
ชีวิตกับพี่น้อง
           เกิดกันดารแห้งแล้งขึ้นทั่วไป จนกระทั่งยาโคบเองก็ต้องใช้ลูก ๆ ให้เดินทางไปซื้อข้าวปลาอาหารที่ประเทศอียิปต์ ณ ที่นั้น พวกพี่ ๆ กับโยเซฟได้พบกันแต่พวกพี่ ๆ จำโยเซฟไม่ได้ แต่โยเซฟจำได้จึงแกล้งสอบถามถึงยาโคบ ผู้บิดาและเบนยา มินน้องเล็กว่าเป็นอย่างไร? โยเซฟคิดถึงเบนยามินน้องคนเล็กมากจึงแกล้งจับพี่คนหนึ่งไว้เป็นประกันแล้วให้คนอื่นนำอาหารกลับไปได้ แต่ถ้ากลับมาอีกคราวหน้าต้องนำเบนยามินมาให้ดูด้วยจึงจะได้อาหารและตัวคนประกันกลับไป พวกพี่ ๆ เดินทางไปซื้ออาหารที่ประเทศอียิปต์อีก คราวนี้นำเบนยามินไปด้วย พอพบโยเซฟ พวกพี่ ๆ ก็ก้มกราบ ซึ่งตรงกับที่โยเซฟเคยฝันไว้ว่า พวกพี่ ๆ จะมากราบตน โยเซฟต้องแอบไปร้องไห้แล้วกลับมาจัดเลี้ยงพวกพี่ ๆ เป็นการใหญ่ ทำให้พวกพี่ ๆ ประหลาดใจเพราะพวกเขายังจำโยเซฟไม่ได้
           โยเซฟออกอุบายให้เอาถ้วยเงินซ่อนไว้ในกระสอบของเบนยามิน พอพวกพี่ ๆ ออกเดินทางกลับไปได้ช่วงระยะหนึ่ง ก็ใช้คนติดตามไปแจ้งว่ามีถ้วยเงินหายสงสัยมีคนขโมยมา เมื่อค้นดูก็พบอยู่ในกระสอบของเบนยามิน พวกพี่ ๆ จึงถูกนำตัวกลับมาหาโยเซฟอีก โยเซฟแกล้งบอกว่าจะกักตัวเบนยามินไว้เป็นทาส พวกพี่ ๆ จึงก้มกราบขอรับผิดแทนด้วยเกรงว่า ถ้ากลับ ไปโดยไม่มีเบนยามิน ยาโคบผู้บิดาจะตรอมใจตาย โยเซฟอดใจไว้ไม่ไหวจึงร้องไห้โฮแล้วบอกกับพวกพี่ ๆ ว่า ฉันคือโยเซฟที่พวกพี่ ๆ ขายมา แต่อย่าเสียใจไปเลย เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะ พระเป็นเจ้าทรงจัดไว้เพื่อช่วยบิดาและพวกพี่ ๆ นั่นเอง” พูดเสร็จโยเซฟก็ร้องไห้และตรงเข้าสวมกอดเบนยามินและพวกพี่ ๆ ทุกคนก็ส่งเสียงร้องไห้กันระงมเพราะความตื้นตันใจ
           โยเซฟจัดส่งรถไปรับยาโคบผู้บิดาและลูกหลานไปอยู่ ณ ประเทศอียิปต์พวกพี่ ๆ ยังกลัวโยเซฟอยู่ กล่าวแก่กันว่า “โยเซฟคงจะชังพวกเรา และจะแก้แค้นเป็นแน่จึงได้ก้มกราบโยเซฟพูดว่า ขอท่านโปรดอภัยความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลายเถิดโยเซฟได้ฟังก็ร้องไห้กล่าวว่า อย่ากลัวเลย พวกท่านคิดร้ายต่อข้าพเจ้าก็จริง แต่พระเป็นเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดีคือเพื่อช่วยชีวิตคนเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจะทะนุบำรุงเลี้ยงพี่และบุตรหลานของพี่ด้วยเขาทั้งหลายจึงอยู่เป็นสุขตลอดมา และทวีเชื้อสายมากมายในประเทศอียิปต์


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

และแล้ว...ก็ผ่านไป (ตอนสุดท้าย)


           ในเมืองลิสตราและเมืองเดอร์บี เหตุการณ์นี้จะทำให้เห็นภาพการรับใช้ของท่านที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ลำบาก กจ.14:8-19 ที่เมืองลิสตรามีชายขาพิการคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาเป็นง่อยมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเดินเลย 9 คนนั้นนั่งฟังเปาโลพูด เปาโลมองตรงไปที่เขาเห็นว่าเขามีความเชื่อที่จะได้รับการรักษาให้หายได้ 10 จึงร้องว่าจงลุกขึ้นยืน!คนนั้นก็กระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดินไป11 เมื่อฝูงชนเห็นสิ่งที่เปาโลได้ทำก็ร้องตะโกนเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า เหล่าเทพเจ้าได้จำแลงเป็นมนุษย์ลงมาหาพวกเราแล้ว!” 12 พวกเขาเรียกบารนาบัสว่าเทพเจ้าซุสและเรียกเปาโลว่าเทพเจ้าเฮอร์เมสเพราะส่วนใหญ่เปาโลเป็นผู้พูด 13 ปุโรหิตของเทพเจ้าซุสซึ่งวิหารอยู่นอกเมืองไปเล็กน้อยได้นำโคและพวงมาลามาที่ประตูเมืองเพราะเขากับฝูงชนประสงค์จะถวายเครื่องบูชาแก่เปาโลกับบารนาบัส14 แต่เมื่ออัครทูตบารนาบัสกับเปาโลได้ยินเรื่องนี้ก็ฉีกเสื้อผ้าแล้วถลันเข้าไปกลางฝูงชนและตะโกนว่า 15 “ท่านทั้งหลาย เหตุใดจึงทำเช่นนี้? เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเช่นเดียวกับพวกท่าน เรานำข่าวประเสริฐมาเพื่อให้ท่านหันจากสิ่งไร้ค่าเหล่านี้มาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และสรรพสิ่งในนั้น 16 ในอดีตพระองค์ทรงปล่อยประชาชาติทั้งปวงไปตามทางของเขา 17 กระนั้นพระองค์โปรดให้มีพยานหลักฐานถึงพระองค์เอง คือทรงสำแดงพระคุณโดยประทานฝนจากฟ้าสวรรค์และพืชผลตามฤดูกาล พระองค์ประทานอาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่ท่านและให้จิตใจของท่านเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี” 18 แม้กล่าวเช่นนี้แล้วก็ยังยากที่เขาทั้งสองจะห้ามฝูงชนไม่ให้ถวายเครื่องบูชาแก่พวกเขา 19 แล้วพวกยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนียูมและชักจูงฝูงชนให้มาเป็นพวกตนได้สำเร็จพวกเขาเอาหินขว้างเปาโลและลากออกนอกเมืองเพราะคิดว่าเขาตายแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่ง อ.เปาโลได้รักษาคนง่อยในเมืองลิสตราให้หายเป็นปกติ เมื่อผู้คนเห็นการอัศจรรย์นี้ พวกเขาก็ยกย่องอ.เปาโลกับบาร์นาบัสว่าเป็นเทพแปลงกายมา ทั้งสองคนต้องพยายามห้ามปรามฝูงชนไม่ให้บูชาพวกเขา แต่ต่อมาไม่นาน พวกผู้นำศาสนาชาวยิวมาที่เมืองนี้และพูดใส่ร้ายอ.เปาโลกับบาร์นาบัส ฝูงชนก็เชื่อและเอาหินขว้างอ.เปาโลจนสลบแน่นิ่งไปจากนั้นก็ลากเขาออกไปนอกเมืองเพราะคิดว่าตายแล้ว
          กจ.14:21-22  พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้นและมีคนมากมายมาเป็นสาวก จากนั้นพวกเขากลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอก 22 เพื่อช่วยให้พวกสาวกเข้มแข็งขึ้นและให้กำลังใจพวกเขาให้สัตย์ซื่อมั่นคงในความเชื่อ พวกเขากล่าวว่า เราต้องเผชิญความยากลำบากมากมายเพื่อเข้าอาณาจักรของพระเจ้า พอ อ.เปาโลฟื้น ท่านกับบาร์นาบัสก็ไปประกาศในเมืองเดอร์บีต่อไป หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอก แล้วช่วยให้พวกสาวกมีใจเข้มแข็ง และชูใจพวกเขาให้มีความเชื่อที่มั่นคง โดยกล่าวว่า “พวกเราต้องผ่านความทุกข์ลำบากมากมายก่อนจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า”
          แต่การคิดอย่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้หายท้อใจเป็นปลิดทิ้ง บางคนอาจต้องรับมือกับความท้อใจที่กลับมาเป็นพัก ๆ จนกว่าจะถึงวันพิพากษา แต่อย่าลืมว่า คนที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้นจะได้รับรางวัล (ฟป.3:14ข้าพเจ้ารุดหน้าไปสู่หลักชัยเพื่อคว้ารางวัลซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกข้าพเจ้าจากสวรรค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้ไปรับ) ถ้าพวกเราอดทนกับความทุกข์ลำบากในตอนนี้ พวกเราจะได้รับรางวัล ผู้เชื่อที่ เชื่อและกระทำตามองค์พระเยซูคริสต์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์เป็นรางวัล พวกเขาจะเป็นกษัตริย์ปกครองร่วมกับพระองค์ที่นั่น ดังนั้นเมื่อตื่นนอนในแต่ละวันขอให้คิดเสมอว่า พวกเราต้องเตรียมตัวตลอดเวลาเพราะวันเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาปกครองโลกก็ใกล้เข้ามาแล้ว (มธ.24:44 ดังนั้นท่านก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เช่นกันเพราะบุตรมนุษย์จะมาในยามที่ท่านไม่คาดคิด) และเมื่อถึงตอนนั้น โลกจะมีแต่ความสงบสุข ทุกคนจะเป็นคนสมบูรณ์ทั้งทางกายและทางใจ ถึงแม้ตอนนี้พวกเราเจอความทุกข์ลำบากมากมาย แต่ขอให้พวกเราดำเนินชีวิตติดสนิทกับองค์พระเยซูคริสต์ และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ได้

เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป
แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน เพราะความทุกข์ลำบาก
เล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเราทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์
ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก
2คร.4:16-17

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

และแล้ว...ก็ผ่านไป (ตอนแรก)

1คร.10:13
ไม่มีการทดลองใดๆ มาถึงท่านนอกจากการทดลองที่เกิดกับมนุษย์ทั่วไป
และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อพระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่
ท่านจะทนได้แต่เมื่อท่านถูกทดลองพระองค์จะทรงให้ท่านมีทางออกด้วย
เพื่อท่านจะยืนหยัดได้ภายใต้การทดลอง

          พวกเราอาจจะแปลกใจที่ต้องเจอ ความทุกข์ลำบากมากมายก่อนจะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นรางวัล วว.12:12 เพราะฉะนั้นสวรรค์และชาวสวรรค์เอ๋ย จงชื่นชมยินดีเถิด! แต่วิบัติแก่แผ่นดินและทะเล เพราะมารได้ลงไปหาเจ้า!ด้วยความโกรธยิ่งนัก เนื่องจากรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย หากพวกเราใคร่ครวญในพระคำข้อนี้ พวกเราคงไม่แปลกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่าความทุกข์ลำบากเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ซาตานปกครอง และพวกเราทุกคนต้องเจอไม่ว่าจะรับใช้พระเจ้ามานานแค่ไหนแล้วก็ตาม ทั้งๆที่พวกเราพยายามรับใช้พระเจ้าด้วยความภักดี ยน.15:20จงระลึกถึงคำที่เราได้กล่าวแก่พวกท่านไว้ว่า บ่าวย่อมไม่เหนือกว่านายของตนถ้าเขาข่มเหงเราพวกเขาย่อมจะข่มเหงพวกท่านด้วย ถ้าพวกเขาเชื่อฟังคำสอนของเราพวกเขาย่อมจะเชื่อฟังคำสอนของพวกท่านด้วย องค์พระเยซูคริสต์ทรงเตือนสาวกของพระองค์ไว้แล้วว่า ในขณะที่พวกเขายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลก จะถูกเกลียดชัง ถูกข่มเหง และถูกปฏิเสธเพราะพระองค์ เหตุเพราะว่าวิถีชีวิตของสาวกแท้ย่อมขัดแย้งกับการดำเนินชีวิตตามกระแสโลก ซึ่งเป็นชีวิตที่อยู่ภายใต้ความอธรรมแห่งสังคมที่เสื่อมทรามลง วิถีชีวิตของสาวกแท้จะเลือกที่จะจดจอ “อยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก(คส.3:2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก) ด้วยเหตุนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดความท้อใจ ส่งผลกระทบต่อชีวิต และงานรับใช้พระเจ้า แน่นอนว่าความท้อใจเป็นสิ่งที่เกิดกับพวกเราเมื่อตั้งใจทำดีเพื่อคนอื่น พวกเราจะตั้งรับสิ่งที่ซาตานกำลังโจมตีด้วยเรื่องความท้อใจนี้อย่างไรดี ?... วิธีการที่ช่วยพวกเราให้พ้นจากความรู้สึกนี้ได้ก็คือ ต้องมั่นใจในความรอดที่ได้รับจากการทรงไถ่บาปขององค์พระเยซูคริสต์
          อ.เปาโลเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้ได้ บ้างครั้งท่านท้อใจต่อการดำเนินชีวิตที่สู้กับความบาป รม.7:24-25 ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสังเวชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากกายแห่งความตายนี้ได้ 25 ขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าพ้นได้โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา แต่อ.เปาโลรู้ว่าองค์พระเยซูคริสต์สละชีวิตเพื่อคนบาปอย่างท่านไม่ใช่เพื่อคนสมบูรณ์แบบ อ.เปาโลเชื่อว่าพระคุณของพระองค์กระทำให้ชีวิตท่านหลุดพ้นจากความรู้สึกแบบนี้ อ.เปาโลถูกข่มเหงครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะท่านภักดี และรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า (2คร.11:23-27 เขาเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์หรือ? (ข้าพเจ้าเสียสติที่พูดเช่นนี้) ข้าพเจ้าเป็นยิ่งกว่าเสียอีก ข้าพเจ้าตรากตรำทำงานหนักกว่า ติดคุกบ่อยกว่า ถูกเฆี่ยนตีสาหัสกว่า และเผชิญกับความตายครั้งแล้วครั้งเล่า 24 ข้าพเจ้าถูกพวกยิวเฆี่ยนห้าครั้ง ครั้งละสามสิบเก้าที 25 ถูกฟาดด้วยไม้ตะบองสามครั้ง ถูกเอาหินขว้างหนึ่งครั้ง เรือแตกสามครั้ง ลอยคออยู่กลางทะเลหนึ่งคืนหนึ่งวัน 26 ข้าพเจ้าย้ายที่อยู่เสมอๆ เผชิญภัยในแม่น้ำ ภัยจากโจรผู้ร้าย ภัยจากพี่น้องร่วมชาติของตัวเอง ภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในเมือง ภัยนอกเมือง ภัยในทะเล และภัยจากพี่น้องจอมปลอม 27 ข้าพเจ้าต้องเหน็ดเหนื่อย ทำงานด้วยความยากลำบาก อดหลับอดนอนอยู่เรื่อย ต้องหิวโหย อดข้าวอดน้ำบ่อยๆ ต้องหนาวเหน็บและเปลือยกาย


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/