วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ฝากไว้กับพระเจ้า(ตอนสุดท้าย)

           “...พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นความหวังของเรา” (1 ทธ.1:1) นี่เป็นความหวังใจในพันธสัญญาใหม่ของเรา ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ทรงเป็นความหวัง  ประมาณ ปี ค.ศ. 64 ได้เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ขึ้นที่กรุงโรม ทำให้กรุงโรมเกือบทั้งหมดได้รับความเสียหาย จักรพรรดิเนโรได้โยนความผิดให้แก่คริสเตียน แลได้ข่มเหงอย่างหนัก ทำให้คริสเตียนจำนวนมากได้ถูกจับ ถูกตรึงที่กางเขนตายบ้าง ถูกเผาตายบ้าง คริสเตียนที่เหลืออยู่อดทนไม่ไหว ซ่อนตัวในถ้ำ หรือหนีออกจากกรุงโรม คริสเตียนเหล่านี้รู้สึกหมดหวัง เพราะเหตุนี้ เปโตรได้เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้น เพื่อจะหนุนใจและให้กำลังใจแก่คริสเตียนในสมัยนั้น ดังนั้นประเด็นหลักของพระธรรม 1เปโตร ก็คือ “ความหวัง”  ในปัจจุบันก็ไม่แตกต่างกับสังคมคริสเตียนในยุคโรม หลายสิ่งไม่ค่อยชัด มืดมัว ดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบาก ทำให้มีหลายคนแสดงอาการซึมเศร้าที่เกิดจากความเครียด ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่น่ามีความรู้สึกหมดหวัง หรือเลิกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะเรายังมีทางออก ยังมีความหวัง ความหวังของเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นความหวังของเราจริงๆ
          “สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ 4และเพื่อให้ได้รับมรดกซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อท่านทั้งหลาย 5ซึ่งเป็นผู้ที่ฤทธิ์เดชของพระเจ้า ได้ทรงคุ้มครองไว้ด้วยความเชื่อให้ถึงความรอด ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย” (1 ปต.1:3-5) ถ้อยคำของเปโตรเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี และความหวังในยามยากลำบาก เปโตรเชื่อมั่นเช่นนั้น เพราะได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อเรา ในพระเยซูคริสต์ นั้นคือ
                   1.พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย “.....พระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้
ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์” (1 ปต.1:3) “บังเกิดใหม่” เหตุใดเราต้องบังเกิดใหม่ ก็เพราะ ชีวิตเราเสื่อม “ด้วยว่า ในตัวข้าพเจ้า คือในตัวข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้น ข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ ( รม.7:18) เปาโลหนุนใจว่า ความตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดี และถูกต้องมีอยู่ในตัวเราทุกคน แต่การที่เราจะกระทำให้ได้ตามนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นความตั้งใจที่จะกระทําดี แต่กลับทําไม่ได้มีความเป็นไปได้มาก เพราะฉะนั้นชีวิตของเราจึงได้เสื่อม และกลายเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายจนไม่อาจเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดีได้ ด้วยว่าชีวิตของเรา “เสื่อมเสียและเลวทราม จนไม่อาจปรับปรุงได้” ดังนั้นเราจึงต้องบังเกิดใหม่ สำหรับการบังเกิดใหม่ ชีวิตเราจะได้รับการสร้าง และถูกเปลี่ยนแปลงตามพระฉายาขององค์พระเยซูคริสต์ จนเหมือนกับพระองค์ ดังที่พระองค์ทรงเป็น “เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน” (โรม.6:4)เมื่อเราเกิดจากฝ่ายเนื้อหนัง เราได้เกิดมาพร้อมกับความหมดหวัง เพราะความผิดบาปของเรา แต่ในวินาทีที่เราบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ เราได้บังเกิดมาพร้อมกับความหวังในพระเยซูคริสต์ การที่เราบังเกิดใหม่ได้  ก็เพราะพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ถ้าพระเยซูไม่ได้ทรงคืนพระชนม์แล้ว การบังเกิดใหม่ก็ไม่มี ในข้อ 3 ตอนท้ายบอกว่า โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพราะเหตุนี้แหละ เรายึดมั่นได้ว่า พระเยซูทรงเป็นความหวังของเรา
                   2.พระเยซูทรงเตรียมมรดกไว้ในสวรรค์ “และเพื่อให้ได้รับมรดกซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อท่านทั้งหลาย” (1 ปต.1:4) สิ่งที่พระองค์เตรียมไว้ในสวรรค์คือสิ่งที่ ไม่รู้เปื่อยเน่า หมายความว่า ได้รับการปกป้องจากความเปื่อยเน่าและความตาย นั่นคือ มรดกที่สมบูรณ์ ทุกสิ่งในโลกนี้เปื่อยเน่าและแก่ลง ถึงแม้ว่าเรามีทรัพย์สมบัติมากขนาดไหนก็ตาม เมื่อความตายมาถึง เราก็ปล่อยทุกอย่าง และไปมือเปล่า ไม่มีอะไรที่เราจะเอาไปได้ ปราศจากมลทิน หมายความว่า เราจะได้รับการป้องการจากความชั่วร้ายทางศีลธรรม นั่นคือมรดกที่บริสุทธิ์ไม่ร่วงโรย หมายความว่า ได้รับการป้องกันจากธรรมชาติและกาลเวลา แม้กาลเวลาเปลี่ยนไปสำหรับในสวรรค์แล้ว ยังคงสภาพอย่างที่ๆเป็นอยู่ไม่ปลี่ยนแปลง พระเจ้าไม่เพียงทรงเลือกเราให้มาถึงความรอดเท่านั้น แต่ให้มาถึงมรดกนิรันดร์  ไม่เสื่อมสลาย และไม่สูญค่าลงด้วย นอกจากนี้มรดกนี้ก็ได้รักษาไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย ดังนั้นความรอดของเรา จึงไม่ใช่แค่ความหวังใจอันมีชีวิตในเรื่องชีวิตนิรันดร์ในตอนนี้เท่านั้น แต่รวมถึงมรดกนิรันดร์ที่เราจะได้รับเมื่อไปถึงสวรรค์ด้วย
                   3.พระเยซูทรงคุ้มครองเราไว้ให้ถึงความรอด “ซึ่งเป็นผู้ที่ฤทธิ์เดชของพระเจ้า ได้ทรงคุ้มครองไว้ด้วยความเชื่อให้ถึงความรอด ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย” (1 ปต.1:5)ฤทธิ์เดชของพระเจ้ากำลังคุ้มครอง “ความรอด” ของเราอยู่ พระองค์ตรัสว่า “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้นพระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้น ให้แก่เราเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีผู้ใดอาจชิงแกะนั้น ไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาของเราได้” (ยน.10:28-29) ด้วยเหตุนี้จะไม่มีใครแย่งชิงความรอดของเราไปได้กุญแจสำคัญคือ ความเชื่อ! ที่เราต้องมี  ชีวิตบนโลกนี้ คริสเตียนต้องเผชิญความทุกข์ แต่พระเยซูไม่ละทิ้งเรา พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตลอดเวลา พระนามของพระเยซูผู้ยอมสละสภาพของพระเจ้า ลงมาจากสวรรค์มาสู่แผ่นดินโลก และได้รับสภาพมนุษย์ คือ “อิมมานูเอล” แปลว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา
          พระเยซูคริสต์ทรงเป็นความหวัง เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงเตรียมมรดกไว้ในสวรรค์เพื่อเรา และทรงคุ้มครองเราไว้ให้ถึงความรอด ขอให้เรายึดมั่นและพากเพียรทุกอย่างใน
พระองค์ผู้ทรงเป็นความหวังของเรา ยิ่งกว่านั้น ขอให้เราบอกกล่าวสิ่งเหล่านี้แก่คนอื่นๆ ที่กำลังรู้สึกผิดหวัง และหมดหวัง ให้คนเหล่านั้นดำเนินชีวิตด้วยความหวังในพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกับเรา


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ฝากไว้กับพระเจ้า(ตอนสอง)

 
    ภายใต้สถานการณ์ที่ตรึงเครียด ความอิจฉาของซาอูลยังพุ่งพล่าน แต่พระเจ้าก็เตรียมสิ่งที่งดงามไว้สำหรับชีวิตของดาวิด    ดาวิดผู้มีความหวังใจในพระเจ้า อดทน และยอมเชื่อฟังพระองค์  พระเจ้ามีทางออกความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนระหว่างดาวิดกับโยนาธาน เป็นหนทางที่ช่วยให้เขารอดพ้นจากเงื้อมมือซาอูล “และโยนาธานราชบุตรของซาอูลได้ลุกขึ้นไปหาดาวิดที่โฮเรช และสนับสนุนมือของเธอให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า 17 โยนาธานพูดกับเธอว่า "อย่ากลัวเลย เพราะว่ามือของซาอูลเสด็จพ่อของฉันจะหาเธอไม่พบ เธอจะได้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นอุปราช ซาอูลเสด็จพ่อของฉันก็ทราบเรื่องนี้ด้วย" 18 และทั้สองก็กระทำพันธสัญญาต่อพระพักตร์พระเจ้าดาวิดยังค้างอยู่ที่โฮเรช และโยนาธานก็กลับไปวัง (1 ซมอ.23:16-18) โยนาธานช่วยเหลือให้ดาวิดหนีจากซาอูล แต่ไม่ว่าโยนาธานหรือดาวิด เขาทั้งสองไม่ได้ซ่องสุมผู้คนเพื่อทำร้ายซาอูล โยนาธานต้องการเพียงช่วยดาวิดให้รอดเท่านั้นเขาทำให้ดาวิดแน่ใจอีกครั้งว่า จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนได้ โยนาธานรู้ว่าดาวิดจะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป และโยนาธานจะมีความสุขใจมาก หากได้รับใช้อยู่ใต้บังคับบัญชาของดาวิด
          “ฝ่ายชาวศิฟได้ขึ้นไปหาซาอูลที่กิเบอาห์ ทูลว่า "ดาวิดได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวก
ข้าพระบาท ในที่กำบังเข้มแข็งที่โฮเรช บนเนินเขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ใต้เยชิโมนมิใช่หรือ 20 ข้าแต่พระราชา เพราะฉะนั้นขอเสด็จลงไป ตามพระทัยปรารถนาที่จะลงไป ฝ่ายพวกข้าพระบาทจะมอบเขาไว้ในหัตถ์ของพระราชา" 21 และซาอูลตรัสว่า "ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่พวกท่าน เพราะพวกท่านปรานีเรา 22 จงไปหาดูให้แน่นอนยิ่งขึ้น ดูให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ใครเห็นเขาที่นั่นบ้าง เพราะมีคนบอกข้าว่า เขาฉลาดนัก 23 เพราะฉะนั้น จงไปสังเกตดูที่ซุ่มว่า เขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน และกลับมา เอาเนื้อความแน่นอนมาบอกเรา แล้วเราจะไปกับท่าน ถ้าเขาอยู่ในเขตแผ่นดิน เราจะค้นหาเขาในหมู่คนตระกูลยูดาห์" 24 เขาทั้งหลายก็ลุกขึ้นไปยังศิฟก่อนซาอูล ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอนในอาราบาห์ใต้เยชิโมน 25 ซาอูลกับคนของพระองค์ก็แสวงท่าน มีคนบอกดาวิด ท่านจึงลงไปยังศิลา และอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอน เมื่อซาอูลทรงทราบดังนั้นก็ทรงติดตามดาวิดไปมาในถิ่นทุรกันดารโอน 26 ซาอูลเสด็จไปฟากภูเขาข้างหนึ่ง ดาวิดกับคนของท่านอยู่ที่ภูเขาอีกฟากหนึ่ง ดาวิดก็รีบหนีจากซาอูล เพราะซาอูลกับคนของพระองค์เข้ามาใกล้ ดาวิดกับคนของท่านเพื่อจะจับ 27 แต่มีผู้สื่อสารคนหนึ่งมาทูลซาอูลว่า "ขอรีบเสด็จกลับ เพราะพวกฟีลิสเตียยกกองทัพมาปล้นแผ่นดิน" 28 ซาอูลจึงเสด็จกลับจากการไล่ตามดาวิดไปรบกับฟีลิสเตีย เขาจึงเรียกที่นั้นว่า ศิลาพ้นภัย 29 ดาวิดก็ขึ้นไปจากที่นั่นไปอาศัยอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งแห่งเอนเกดี” (1 ซมอ.23:19-29) ชาวศิฟแจ้งให้ซาอูลทราบว่าดาวิดได้หลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ของเผ่าเขา ซาอูลนำกองทหารตามมาเพื่อจะฆ่าดาวิด ดาวิดนำไพร่พลของตนเองหนีไปในถิ่นทุรกันดารโอน ซาอูลก็ตามไปอย่างกระชั้นชิด "ขอรีบเสด็จกลับ เพราะพวกฟีลิสเตียยกกองทัพมาปล้นแผ่นดิน" องค์พระผู้เป็นเจ้าเข้าแทรกแซงสถานการณ์เพื่อช่วยเหลือดาวิดให้รอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ มีทหารแจ้งข่าวแก่ซาอูลว่าชาวฟีลิสเตียนยกกองทัพเข้ามาตีอิสราเอล ซาอูลจึงเสด็จกลับทันที ยกเลิกการตามล่าดาวิด อีกครั้งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ให้การช่วยเหลือดาวิด พระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงเสมอ “ไม่มีอาวุธใดที่สร้างเพื่อต่อสู้เจ้าจะจำเริญได้ และเจ้าจะปรับโทษลิ้นทุกลิ้น ที่ลุกขึ้นต่อสู้เจ้าในการพิพากษา นี่เป็นมรดกของบรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้า และการให้ความยุติธรรมต่อเขาจากเรา พระเจ้าตรัสดังนี้” (อสย. 54:17) เราต้องอยู่ในที่ๆ พระเจ้าให้เราอยู่ อย่างมั่นใจ ทำสิ่งที่พระเจ้าบอกให้ทำอย่างเต็มกำลัง เต็มความสามารถ เต็มด้วยความเชื่อและรอคอยวันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะสำเร็จ “อย่าสงสัย อย่ากลัว ยึดไว้ให้มั่น อย่าหวั่นไหว”

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ฝากไว้กับพระเจ้า(ตอนแรก)


 เหตุที่เราตรากตรำทำงาน และทนสู้ ก็เพราะว่าเรามี “ความหวังใจ” ในพระเจ้า
ผู้ดำรงพระชนม์ พระผู้ช่วยให้รอดของคนทั้งปวง โดยเฉพาะของผู้ที่เชื่อในพระองค์
(1 ทธ.4:10)
            “ความหวัง” คือ ความเชื่อว่าเป็นไปได้ และจะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นพลังผลักดันให้ชีวิตดำเนินไป ทำให้เรามีแรงบันดาลใจ มีความมุ่งมั่น พยายาม อดทน ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ได้ ต่างคนต่างมีความหวังที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนทำทุกอย่าง เพื่อให้ความหวังนั้นประสบผลสำเร็จ คนเราถ้าไม่มีความหวังในชีวิตก็เปรียบเหมือนต้นไม้ที่กำลังจะตาย  ที่ไม่สามารถออกดอกออกผลที่สวยงามได้  มักอยู่ไปอย่างวันต่อวันโดยไร้จุดหมายในชีวิต สาเหตุการฆ่าตัวตายมีหลายอย่าง เช่น ความยากจน การเจ็บป่วย ตกงาน และไม่มีงานทำ ปัญหาครอบครัว ปัญหาเพศตรงกันข้าม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดหวังและหมดหวัง มองไม่เห็นอนาคต ไม่มีทางออก ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เลือกจะฆ่าตัวตายเช่นกัน
          คนเราเมื่อหมดหวังในชีวิตจากสิ่งของ ลาภยศ เงินทอง ความรู้ คนใกล้ชิด  ทุกคนมักมองหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์  เริ่มแสวงหา และมอบความไว้วางใจในสิ่งที่ตามองไม่เห็น  เริ่มแสวงหาการช่วยเหลือจากสิ่งที่อยู่เบื้องบน สำหรับชีวิตคริสเตียนแล้ว เราจะไม่พึ่งพาสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา เราจะพึ่งพาพระผู้สร้างเรา  ผู้ทรงประทานทั้งชีวิต ร่างกายและจิตวิญญาณให้แก่เรา  นั่นคือ “พระเจ้า” พระองค์ประทาน แนวทางการดำเนินชีวิตผ่าน เปาโล ว่า “ดังนั้น ยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด” (1 คร. 13:13) เปาโลหนุนใจพี่น้องชาวโครินธ์ให้ดำเนินชีวิตที่ประกอบด้วย “ความเชื่อ” อันเป็นรากฐานและสาระของข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระเจ้า “ความหวังใจ” เป็นท่าทีและจุดศูนย์รวมความสนใจ และ “ความรัก” เป็นการกระทำ เมื่อความเชื่อและความหวังใจอยู่ในวิถีทางที่ถูกต้อง เราก็สามารถที่จะรักได้อย่างเต็มที่ เพราะเราเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างไร
          ดาวิดเป็นแบบอย่างได้ในเรื่อง อดทน รอคอย และหวังใจ ต่อการทรงนำของพระเจ้า เพื่อกิจการต่างๆ จะสำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์ ดาวิดเผชิญหลายสิ่ง ในเมืองเคอีลาห์ และใน
ถิ่นทุรกันดาร“เขาบอกดาวิดว่า "ดูเถิด คนฟีลิสเตียกำลังรบเมืองเคอีลาห์อยู่ และปล้นเอาข้าว
ที่ลาน" 2 ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้าว่า "ควรที่ข้าพระองค์จะไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตียเหล่านี้หรือไม่" และพระเจ้าตรัสกับดาวิดว่า "จงไปต่อสู้คนฟีลิสเตีย และช่วยเมืองเคอีลาห์ไว้" 3 แต่คนของดาวิดเรียนท่านว่า "ดูเถิด เราอยู่ในยูดาห์นี่ก็ยังกลัวอยู่ ถ้าเราขึ้นไปยังเคอีลาห์สู้รบกับกองทัพของฟีลิสเตีย เราจะยิ่งกลัวมากขึ้นเท่าใด" 4 แล้วดาวิดก็ทูลถามพระเจ้าอีก และพระเจ้าตรัสตอบท่านว่า "จงลุกขึ้นลงไปยังเคอีลาห์เถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้า" 5 และดาวิดกับคนของท่านก็ไปยังเคอีลาห์ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย นำเอาสัตว์เลี้ยงของเขาไป และฆ่าฟันเขาทั้งหลายเสียเป็นอันมาก ดังนั้นแหละดาวิดก็ได้ช่วยกู้ชาวเมืองเคอีลาห์ไว้ 6 อยู่มา เมื่ออาบียาธาร์บุตรของอาหิเมเลคหนีไปหาดาวิดที่เมืองเคอีลาห์นั้น เขาถือเอโฟดลงมาด้วย 7 มีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดมาที่เคอีลาห์แล้ว ซาอูลจึงตรัสว่า "พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือเราแล้ว เพราะที่เขาเข้าไปในเมืองที่มีประตู และดาล เขาก็ขังตัวเองไว้" 8 และซาอูลทรงให้เรียกพลทั้งปวงเข้าสงคราม ให้ลงไปยังเคอีลาห์ เพื่อล้อมดาวิดกับคนของท่านไว้ 9 ดาวิดทราบว่า ซาอูลทรงคิดร้ายต่อท่าน ท่านจึงพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า "จงนำเอาเอโฟดมาที่นี่เถิด" 10 ดาวิดกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินแน่ว่า ซาอูลหาช่องที่จะมายังเคอีลาห์ เพื่อทำลายเมืองนี้ เพราะข้าพระองค์เป็นเหตุ 11 ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์ไว้ในมือท่านหรือ ซาอูลจะเสด็จมาดังที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินนั้นหรือ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอพระองค์ทรงบอกผู้รับใช้ของพระองค์เถิด" และพระเจ้าตรัสว่า "เขาจะลงมา" 12 แล้วดาวิดจึงกราบทูลว่า "ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์ และคนของข้าพระองค์ไว้ในมือของซาอูลหรือ" และพระเจ้าตรัสว่า "เขาทั้งหลายจะมอบเจ้าไว้" 13 แล้วดาวิดกับคนของท่านซึ่งมีประมาณหกร้อยคน ก็ลุกขึ้นไปเสียจากเคอีลาห์ และเขาทั้งหลายก็ไปตามแต่ที่เขาจะไปได้ เมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดหนีไปจากเคอีลาห์แล้ว ซาอูลก็ทรงเลิกการติดตาม” (1 ซมอ.23:1-13) ชาวฟีลิสเตียปล้นเสบียงอาหารทั้งหมดของชาวเมืองเคอีลาห์ ก่อนที่ดาวิดจะลงมือทำอะไรเขาทูลขอการทรงนำจากพระเจ้า(1 ซมอ.23:6)  ดาวิดฟังคำสั่งของพระเจ้า และปฏิบัติตาม ต่อมาซาอูลทราบข่าวว่าดาวิดติดอยู่ที่เมืองเคอีลาห์ เขาคิดว่าพระเจ้าทรงมอบดาวิดไว้ในมือของเขาแล้ว ซาอูล อยากจะฆ่าดาวิดมากเสียจนตีความเหตุการณ์ทุกอย่างว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบ เขาได้ยกกองทัพไปยังเมืองเคอีลาห์ ดาวิดก็ทูลขอการทรงนำจากพระเจ้า (1 ซมอ.23:11) ดาวิดก็ปฏิบัติตามที่พระเจ้าได้ตอบสิ่งที่เขาทูลถาม ดาวิดนำไพร่พลทั้งหมดออกจากเมืองไป จึงรอดพ้นจากการไล่ล่าของซาอูล ดาวิดเชื่อและหวังใจในพระเจ้าที่จะทรงช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

รักษาใจ (ตอนสุดท้าย)

การตอบสนองของบุคคลภายใต้เหตุการณ์ที่ยากลำบาก หากอยู่ในสภาวะปกติ คนส่วนใหญ่มักปฏิบัติตัวให้เป็นที่ยอมรับของสังคม ทำให้รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่เมื่อไม่มีคนเฝ้าดูหรือถูกกระทบกระทั่งโดยไม่คาดคิด พวกเขาก็จะเผยตัวจริงออกมา สิ่งที่อยู่ลึกในใจจะหกล้นออกมาเมื่อถูกทดสอบ นั่นก็คือการตอบสนองของเราที่มีต่อความกดดัน จะเปิดเผยให้เห็นว่าเราเป็นคนอย่างไร องค์พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วจากคลังชั่วแห่งใจของตน ด้วยใจเต็มด้วยอะไรปากก็พูดออกมาอย่างนั้น” (ลก.6:45) พระองค์เตือนให้เราระลึกว่า คำพูดและการกระทำจะเปิดเผยให้เห็นความเชื่อ ทัศนคติ และแรงผลักดันที่แท้จริงภายใน หากใจเราฉ้อฉลเสียแล้วสิ่งที่เราแสร้งกระทำก็ไม่คงทน เพราะสิ่งที่อยู่ในใจจะแสดงออกมาในคำพูดและการกระทำ ดังนั้นเราจำเป็นต้องตรวจสอบการกระทำของเรา เพื่อเป็นการปกป้องรักษาใจ

             ขอหนุนใจการดำเนินชีวิตเพื่อรักษาใจ ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยเริ่มต้นด้วยการ “ถวายตัว” แด่พระองค์ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณา ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการ นมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน (รม.12:1) เปาโลอธิบายว่า การถวายตัวแด่พระเจ้าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะพระเจ้าทรงเมตตากรุณาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพระคุณในการทรงไถ่ชีวิตของเรา ออกมาจากความผิดบาปและความตาย ด้วยเหตุนี้เราจึงควรถวายตัวแด่พระเจ้า เราไม่สามารถนมัสการด้วยจิตวิญญาณของเราได้ โดยปราศจากการถวายตัวแด่พระเจ้า ดังนั้น หัวใจของการนมัสการคือ “การนมัสการหมดทั้งหัวใจ” ยอมจำนนมอบถวายตัวของเราแด่พระองค์ การถวายตัวแด่พระเจ้าทั้งหมดเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า “เราได้ให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิต” ดังนั้นเราต้อง
                   - ดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรง “...เจ้าจงรู้จักพระเจ้า และจงปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจจริง และด้วยความเต็มใจของเจ้า เพราะพระเจ้าทรงพิจารณาจิตใจทั้งปวง และทรงเข้าใจในแผนงาน และความคิดทั้งปวง ถ้าเจ้าแสวงหาพระองค์เจ้าจะพบพระองค์ แต่ถ้าเจ้าทอดทิ้งพระองค์ พระองค์จะทรงเหวี่ยงเจ้าออกไปเสียเป็นนิตย์” (1 พศด.28:9) เมื่อกษัตริย์ดาวิดเข้าสู่วัยชราพระองค์ได้สอนให้ซาโลมอนดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงพระเจ้า เพราะฤทธานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้าสามารถตรวจสอบจิตใจที่อยู่ภายในตัวเราได้ ดังนั้นซาโลมอนจึงได้อธิษฐานขอ “หัวใจที่เชื่อฟัง” เพื่อจะให้เข้าใจว่าอะไรคือความดีอะไรคือความชั่ว “เพราะฉะนั้น ขอพระองค์ทรงประทานความคิดความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะวินิจฉัยประชากรของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะประจักษ์ในความผิดแผกระหว่างดีและชั่ว เพราะว่าผู้ใดเล่าจะสามารถวินิจฉัยประชากรใหญ่ของพระองค์นี้ได้” (1 พกษ.3:9)พวกเราเองก็ควรจะกระทำเช่นนี้เหมือนกันคือใช้ชีวิตด้วยความยำเกรงพระเจ้า และอธิษฐานสนทนาขอการทรงนำจากพระองค์อย่างสม่ำเสมอ
                   - เรียนรู้ใคร่ครวญพระคำอย่างสม่ำเสมอ “บุตรชายของเราเอ๋ย จงตั้งใจต่อถ้อยคำของเรา จงเอียงหูของเจ้าเข้าหาคำพูดของเรา 21อย่าให้มันหนีไปจากสายตาของเจ้า จงรักษามันไว้ภายในใจของเจ้า 22เพราะมันเป็นชีวิตแก่ผู้ที่ค้นพบ และมันรักษาเนื้อของผู้นั้นทั้งสิ้น 23จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ 24 จงทิ้งวาจาคดๆ เสีย และให้คำพูดลดเลี้ยวห่างจากเจ้า25 ให้ตาของเจ้ามองตรงไปข้างหน้า และให้การจ้องของเจ้าตรงไปข้างหน้าเจ้า 26 จงสนใจในวิถีแห่งเท้าของเจ้า แล้วทางทั้งสิ้นของเจ้าจะแน่นอน 27 อย่าเหไปข้างขวา หรือหันมาข้างซ้าย จงกลับเท้าของเจ้าเสียจากความชั่วร้าย” (สภษ.4:20-27) การดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องป้องกันรักษาใจไว้ให้ดีด้วย นั้นก็คือการเรียนรู้ข้อเตือนใจต่างๆ จากพระคำของพระองค์ อย่าให้พระคำของพระองค์ออกห่างจากชีวิตของเรา ใจของเราซึ่งเป็นแหล่งของความรัก และความปรารถนา เป็นตัวกำหนดของขอบเขตการดำเนินชีวิตของเรา เพราะเรามักจะหาเวลาทำสิ่งที่เราชอบ โซโลมอนให้เราระแวดระวังใจของเรามากว่าสิ่งอื่นใด เราต้องมั่นใจว่าความปรารถนาต่างๆ ที่เรากำลังจดจ่ออยู่นั้นจะปกป้องรักษาให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง อย่าแวะข้างทาง หรือเดินวนเวียนอยู่บนส้นทางที่นำไปสู่ความบาป อธิษฐานพึงพาองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอการทรงนำจากพระองค์ ซึ่งจะหนุนใจเราให้ดำเนินชีวิตพ้นจากความทุกข์ร้อนได้  สันติสุขแห่งพระเจ้าที่เหนือกว่าความคิดทุกอย่างจะปกป้องรักษาหัวใจ และ  ความคิดของเราไว้โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

“อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนา
ของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ  7แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจ และความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”
(ฟป.4:6-7)


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/