วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

จงฟังเสียงของเรา(ตอนแรก)


 “...จงฟังเสียงของเรา และจงกระทำทุกอย่างที่เราบัญชาเจ้าไว้
เจ้าจึงจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า”
(ยรม.11:4)
          เยเรมีย์ มีความหมายว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงสถาปนา  เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะที่เป็นแบบอย่างของความอดทนในการรับใช้  ท่านได้เริ่มเผยพระวจนะในสมัยกษัตริย์โยสิยาห์(กคศ.640- 609) และเผยพระวจนะอยู่ถึงสี่รัชกาล (โยสิยาห์ เยโฮยาคิม เยโฮยาคีน และ     เศเดคียาห์)  กษัตริย์โยสิยาห์พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ดีพระองค์สุดท้ายของแผ่นดินยูดาห์ ในช่วงที่ท่านพยากรณ์รอบๆแผ่นดินยูดาห์เต็มไปด้วยศัตรูที่น่ากลัวพร้อมที่จะโจมตีพวกเขาทั้งสิ้น  กคศ.721พระเจ้าได้ทรงให้กรุงสะมาเรีย(อิสราเอลฝ่ายเหนือ)ถูกตีแตกโดยประเทศซีเรีย  นั่นเป็นเพราะความบาปชั่วของสะมาเรียที่ไม่ยอมกลับใจ   พระองค์ได้ทรงตักเตือนพวกเขาหลายครั้งผ่านผู้รับใช้ของพระองค์แต่ไม่มีใครฟัง  สิ่งเหล่านี้ยูดาห์ได้เห็นทั้งสิ้น  แต่ยูดาห์ก็ไม่วายที่จะทำบาปต่อพระเจ้า  เช่นกันพระองค์ได้ทรงเตือนยูดาห์ผ่านผู้เผยพระวจนะหลายคน  รวมทั้ง เยเรมีย์  แต่ยูดาห์ มักจะปฏิเสธพระสุรเสียงของพระเจ้า ไม่มีใครฟังเยเรมีห์ ผู้เผยพระวจนะคนอื่นก็ไม่ฟังเสียงของพระเจ้า และผู้เผยพระวจนะเท็จเหล่านั้นได้หนุนใจให้ยูดาห์ ต่อสู้บาบิโลนจนในที่สุด ยูดาห์ก็ต้องแตกถูกกวาดต้อนไปบาบิโลน เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะที่เต็มไปด้วยอดทน
          พันธสัญญาถูกละเมิด เยเรมีย์ต้องเผชิญหน้ากับประชากรของเขา “พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ว่า 2 เจ้าจงฟังถ้อยคำในพันธสัญญานี้เถิด และจงกล่าวแก่คนยูดาห์ และชาวกรุงเยรูซาเล็ม” (ยรม.11:1-2)  พระเจ้าตรัสข้อความนี้แก่คนยูดาห์ และชาวกรุงเยรูซาเล็ม ประเด็นหลักคือเรื่อง “พันธสัญญา” ประมาณศตวรรษที่  15 หรือ  13  ก่อน ค.ศ. อิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ และใช้เวลาเร่ร่อนเดินทางอยู่นานนับ  40 ปี ระหว่างการเดินทางนี้เองที่อิสราเอลได้เริ่มรู้จักพระเจ้าของบรรพบุรุษของตนอีกครั้งหนึ่ง การเดินทางนั้นผ่าน ทั้งที่เปลี่ยว และทะเลทราย  พวกเขาได้รับความลำบากมาก บ่อยครั้งก็ให้นึกถึงชีวิตในอียิปต์  แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขา  ทรงอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา จนพวกเขากล่าวว่า “เพราะมีประชาชาติใหญ่ชาติใดเล่า ซึ่งมีพระเจ้าอยู่ใกล้ตน อย่างกับพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกเรา ทรงอยู่ใกล้เรา ในเมื่อเราร้องทูลต่อพระองค์ (ฉธบ.4:7) การออกจากอียิปต์เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่การเลือกสรรนี้สมบูรณ์เมื่อพระเจ้าทรงสถาปนาพันธสัญญากับอิสราเอลที่ภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งความรอดให้กับอิสราเอล  คือ ให้เป็นผู้เตรียมรับเสด็จพระเมสสิยาห์  ซึ่งจะเสด็จมาช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์อันเนื่องมาจากบาป ทั้งนี้อิสราเอลต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ  ที่พระองค์ทรงมอบหมายโดยผ่านทางโมเสสและผู้นำ บัญญัติ 10 ประการ ความโดยสรุปว่า “ต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา ต้องไม่ทำรูปเคารพสำหรับตน ไม่ว่าจะเป็นรูปสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ในท้องฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งอยู่ในแผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน ต้องไม่กราบไหว้รูปเคารพหรือนมัสการรูปเหล่านั้น เพราะเรา คือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ต้องไม่กล่าวพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอย่างไม่เหมาะสม จงระลึกถึงวันสับบาโต ว่าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์  ท่านจะต้องออกแรงทำงานทั้งหมดในหกวัน  แต่วันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อนที่ถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ในวันนั้น ท่านต้องไม่ทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าน บุตรชาย บุตรหญิง บ่าวไพร่ชายหญิง สัตว์ใช้งานหรือคนต่างถิ่นที่อาศัยอยู่กับท่าน  เพราะในหกวัน พระเยโฮวาห์รงสร้างฟ้า แผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านี้ แต่ในวันที่เจ็ด พระองค์ทรงพักผ่อน เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรวันสับบาโต และทรงทำให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์  จงนับถือบิดามารดา เพื่อท่านจะได้มีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่าน  อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้ภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือบ่าวไพร่ชายหญิง โค ลา หรือทรัพย์สินใดที่เป็นของเพื่อนบ้าน (อพย.20:1-17) หลังจากได้รับพระญญัติ(บัญญัติ10ประการ กฏเกณฑ์และคำตัดสินต่างๆ ที่โมเสสได้รับการดลใจบันทึกไว้) จากพระเจ้าแล้ว โมเสสก็กระทำพิธีสถาปนารับพระสัญญาของพระเจ้า “ท่านถือหนังสือพันธสัญญาอ่านให้ประชาชนฟัง พวกเขากล่าวว่า "สิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้นั้น พวกเราจะกระทำตาม และเราจะเชื่อฟัง" 8 โมเสสก็เอาเลือดพรมประชาชน และกล่าวว่า "นี่เป็นเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเจ้ากระทำกับเจ้าตามพระวจนะเหล่านี้" (อพย.24:7-8) ด้วยลักษณะของพันธสัญญาดังกล่าว เชื่อว่า อิสราเอลเป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์  เป็นแบบอย่างถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์  จะแสดงออกให้เห็นโลกทัศน์ที่มีเอกภาพ ทุกสิ่งที่มีอยู่และเกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้ายจะถูกเชื่อมโยงเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า  ถ้าหากซื่อสัตย์และปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระองค์ ก็จะได้พระพร  หากไม่ปฏิบัติตามก็จะได้รับการลงโทษ    ตลอดระยะเวลาที่เร่ร่อนก่อนกลับสู่แผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญา  ชาวอิสราเอลก็สามารถ  ผ่านการทดสอบ”  โดยได้รับ แผ่นดินที่พระองค์ทรงปฏิญาณว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของเขา  เมื่อเขาทั้งหลายยึดแล้วก็เข้าไปตั้งบ้านเมืองอยู่ที่นั่น  และพระเจ้าประทานให้เขามีความสงบทุกด้านสรรพสิ่งอันดีทุกอย่างซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาต่อประชาชนอิสราเอลนั้นก็ไม่ขาดสักสิ่งเดียว  สำเร็จทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างสงบสันติ   เพราะอิสราเอลเองก็ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเสมอไป 


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

ต้นร้ายปลายดี (ตอนสุดท้าย)

          อิสราเอลอยู่ภายใต้พระพรขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม  "ถ้ามีผู้ชายมาเรียกเจ้าจงลุกขึ้นไปกับเขา แต่เจ้าจงกระทำตามที่เราสั่งเจ้าเท่านั้น" (กดว.22:20) พระเจ้าทรงอนุญาตให้บาลาอัมไปกับคนของ
บาลาค พระองค์ทรงรู้ความตั้งใจที่แท้จริงของบาลาอัน พระองค์จึงทรงพระพิโรธความโลภของบาลาอัม เขาอ้างว่าจะไม่ต่อต้านพระเจ้าเพียงเพื่อเงิน แต่ความตั้งใจของเขาเริ่มหวั่นไหว ทรัพย์สินที่กษัตริย์เสนอให้ ทำให้บาลาอัมตามืดบอดด้วยความโลภจนมองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงพยายามหยุดยั้งเขา พระเจ้าทรงเมตตาบาลาอัมมากๆ ถึงแม้ทรงกริ้ว และส่งทูตสวรรค์มาเพื่อสังหารบาลาอัม เนื่องจากเขาไม่เชื่อฟังพระองค์ แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ ทรงให้ลาเห็นทูตสวรรค์ แล้วก็หลบเลี่ยงถึงที่สุด เพื่อไม่ให้นายของตนคือ บาลาอัมต้องถูกทูตสวรรค์ประหาร ตลอดชีวิตบาลาอัมขี่ลาตัวนี้ และมันก็ภักดีต่อนายตลอดไม่เคยดื้อเลย แต่วันนี้มันกลับมีอาการผิดปกติ พระเจ้าทรงต้องการให้บาลาอัมรู้สึกตัวให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่า “เอ...มันต้องมีอะไรสักอย่างเกิดแล้วน้า” แต่เขาก็ไม่รู้สึกตัว พระเจ้าก็ทรงเมตตาเพิ่มอีก ทรงเปิดปากลาให้ลาพูดได้ แทนที่       บาลาอัมจะตกใจที่ลาพูดได้ กลับไปนั่งเถียงกับลา เขาไม่ได้ฉุกคิดเลยว่า พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้เขาไป ต้องการให้เขาหันกลับ และลบล้างความโลภในใจของเขาออกไป และกลับมาเชื่อฟังพระองค์ แต่บาลาอัมก็ยังไม่ยอม พระเจ้าก็ทรงประทานพระคุณเพิ่มอีก ให้บาลาอัมได้เห็นทูตสวรรค์ถือดาบอยู่ แทนที่บาลาอัมจะรู้สำนึกว่า นี่เป็นการเตือนจากพระเจ้าว่าไม่ต้องการให้เขาไป กลับไปคิดว่า คงเพราะทางที่เขาจะไปมีทูตสวรรค์ยืนอยู่ คงไปขวางทางเขามั๊ง แล้วยังมาถามอีกว่า ถ้าท่านไม่ชอบใจข้าพเจ้าจะกลับเสียถ้าพระเจ้าชอบพระทัย พระองค์จะส่งทูตสวรรค์ถือดาบมาประหารทำไมเล่า? แต่บาลาอัมมีความโลภมาบังตาเขาเสียแล้ว สุดท้ายพระเจ้าก็ต้องทรงปล่อยให้ไป พระองค์ให้อิสระในการเลือกกับเขา พระองค์ไม่เคยบังคับมนุษย์คนใดเลย พวกเราเองก็เช่นกัน บ่อยครั้งเราเป็นอย่างบาลาอัม ที่เก็บความอยากบางอย่างไว้ในใจ และพยายามที่จะให้พระเจ้าให้อย่างที่เราอยากได้ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจอย่างชัดเจนว่านั่นไม่ใช่น้ำพระทัย เรายอมอะลุ้มอล่วย ต่อความบาปหรือเปล่า? ตอนนี้พระเจ้ากำลังส่งสัญญาณเตือนมาที่เรา เหมือนดังที่ทรงเตือนบาลาอัมโดยการทำให้ลาพูดได้หรือเปล่า? อยากให้เราคิดทบทวนท่าทีในใจของเราอีกครั้ง เข้าหาพระองค์ ทูลพระองค์ขอให้ทรงเปิดเผยว่าเรามีความอยากในใจมั้ย และถ้าพระองค์เปิดเผยให้เราเห็น อย่าลังเลที่จะเอามันออกไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูมีค่าต่อเราแค่ไหนก็ตาม ชีวิตที่เรามีอยู่ขณะนี้ มีอยู่ได้ ก็เพราะพระคุณของพระเจ้า ชีวิตที่มีอยู่เป็นชีวิตที่มาจากพระเยซูคริสต์ และพระองค์ผู้ทรงประทานพระองค์เองให้กับเราด้วยรักยิ่ง จะประทานสิ่งสารพัดให้กับเราอย่างแน่นอน ขอให้เรารักและเชื่อฟังพระองค์อย่างหมดใจ (กดว.22:21-34) "จงไปกับชายเหล่านั้นเถิด แต่เจ้าจงพูดเฉพาะคำที่เราให้เจ้าพูด" (กดว.22:35) ทูตสวรรค์ออกคำสั่งโดยเผยให้เห็นน้ำพระทัยเชิงอนุญาตของพระเจ้าในเรื่องนี้อีกครั้ง บาลาอัมต้องไปต่อ แต่กล่าวเฉพาะสิ่งที่เขาถูกสั่งให้กล่าวเท่านั้น พระองค์ประสงค์จะให้บาลาคกษัตริย์ที่ไม่ได้นับถือพระเจ้าได้รับรู้ถึงเกียรติและสง่าราศีของพระองค์ ผ่านทางผู้พยากรณ์ต่างชาติที่เต็มไปด้วยความโลภ ในเวลานี้ บาลาอัมได้ตระหนักถึงความจริงในภารกิจที่พระเจ้าได้มอบให้  เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาได้
          “พระเจ้าทรงใส่ถ้อยคำในปากของบาลาอัม” (กดว.23:5) บาลาอัมมาถึงโมอับ เขาได้สร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่นถวายแด่พระเจ้า และถวายวัวผู้หนึ่งตัว และแกะผู้หนึ่งตัวบนแท่นบูชาทุกแท่น บาลาอัมจะสาปแช่งอิสราเอลถึงสี่ครั้งแต่ทุกครั้งกลับกลายเป็นคำอวยพร เพราะพระเจ้าได้ใส่ถ้อยคำลงในปากของเขา เพื่อปกป้องตามพันธสัญญาที่ได้มอบไว้แก่บรรพบุรุษของอิสราเอล จึงทำให้บาลาคโกรธมาก
                   1.การพยากรณ์ครั้งแรก (กดว.23:7-10)
                             “...ชนชาติหนึ่งอยู่ลำพัง และมิได้นับเข้าในหมู่ประชาชาติ...ใครจะนับเผ่าพันธุ์ของ     ยาโคบที่มากอย่างผงคลีดินนั้นได้” (กดว.23:9-10) อิสราเอลจะอยู่ตามลำพังไม่นับรวมเข้ากับประเทศอื่น และ ประชากรของอิสราเอลจะมีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน
                   2.การพยากรณ์ครั้งที่สอง (กดว.23:18-24)
                             “...ไม่มีความทุกข์ยากในยาโคบ... และไม่มีความยากลำบากในอิสราเอล...” (กดว.23:21)และ “ดูเถิด ชนชาติหนึ่ง ซึ่งลุกขึ้นอย่างนางสิงห์ใหญ่ และยืนขึ้นอย่างสิงห์ตัวผู้ ไม่ยอมนอนจนกว่าจะกินเหยื่อเสีย และดื่มเลือดของสิ่งที่ฆ่าตาย” (กดว.23:24) พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับอิสราเอล โดยทรงพาพวก เขาออกจากอียิปต์อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีคำสาปแช่งต่อต้านอิสราเอลใดจะใช้ได้ผล ไม่มีสิ่งใดสามารถฉุดรั้ง       อิสราเอลได้ เปรียบเหมือนสิงโตตัวหนึ่งที่จะไม่ยอมหยุดพักจนกว่าได้เขมือบพวกศัตรูของมัน
                   3.การพยากรณ์ครั้งที่สาม (กดว.24:1-9)
                             “...แล้วพระวิญญาณของพระเจ้ามาอยู่บนท่าน” (กดว.24:2) อิสราเอลจะถูกยกชูขึ้นในราชอาณาจักรของตน พระเจ้าได้ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นมาจนถึงขณะนี้ และจะประทานชัยชนะอันยิ่งใหญ่    มากกว่านี้แก่พวกเขา และทำให้พวกศัตรูของพวกเขาพินาศไป เปรียบชนชาติอิสราเอลว่าเป็นเหมือนสิงโตใหญ่   ตัวหนึ่ง ซึ่งมีแต่คนโง่เท่านั้นที่กล้าไปแหย่มัน วลีสุดท้ายของคำพยากรณ์นี้เหมือนกับที่พระเจ้าทรงให้พระสัญญา  กับ อับราฮัม (ปฐก.12-3) และยาโคบ (ปฐก.27:29) ว่า “...ผู้ใดที่อวยพรแก่ท่านขอให้เขาได้รับพร ผู้ใดที่แช่งท่าน ขอให้เขาได้รับคำแช่ง” (กดว.24:9)
                   4.การพยากรณ์ครั้งสุดท้าย (กดว.24:15-25)
                             “ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆ นี้ ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกรอันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล...”(กดว.24:17) นี่เป็น
คำพยากรณ์อย่างชัดเจน เกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์(พระคริสต์) และอาณาจักรของพระองค์ ซึ่งถูกประกาศโดยดวงดาวหนึ่งออกมาจากอิสราเอลที่เบธเลเฮม ชนชาติอื่นๆ จะถูกครอบครอง พระองค์จะทรงใช้ธารพระกรของกษัตริย์ และนำชัยชนะเหนือศัตรูมาสู่ประชากรของพระองค์
         บาลาอัมประสบความล้มเหลวในการสาปแช่งอิสราเอล  เพราะถูกพระเจ้าขัดขวางโดยตรง ยังความไม่พอใจแก่บาลาคอย่างมาก  
          “พวกเขาเป็นคนอิสราเอล ได้รับการทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า และพระสิริของพระเจ้าปรากฏแก่เขา และเขาได้รับบรรดาพันธสัญญา และการทรงประทานธรรมบัญญัติ และพิธีนมัสการพระเจ้า และพระสัญญา” (รม.(9:4) สิทธิพิเศษๆ ที่คนอิสราเอลได้รับจากพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้ทรงเลือกพวกเขาให้มาเป็นชนชาติพิเศษของพระองค์ เพื่อจะบอกกับคนอื่นๆ เกี่ยวกับพระเจ้า ดังนั้นสถานภาพของคนอิสราเอลจึงเป็นบุตรของพระเจ้าทางพระสัญญา ซึ่งได้รับการสำแดงจากพระเจ้า และได้รับบรรดาพันธสัญญา ธรรมบัญญัติ รูปแบบการนมัสการ และพระสัญญาของพระเจ้า ดังนั้นอิสราเอลเป็นภาชนะในการนำเอาความรอดไปยังมนุษยชาติ และได้ทำพันธสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวกับการไถ่บาปผ่านทางชนชาตินี้ ด้วยแผนการแห่งความรอดของพระองค์ อิสราเอลจึงได้รับคำอวยพรแทนคำสาปแช่งจากบาลาอัม

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/


วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560

ต้นร้ายปลายดี (ตอนสอง)

          “...เพราะเขาทั้งหลายเป็นคนที่ได้รับพร” (กดว.22:12) ชนชาติอิสราเอลในพระคัมภีร์เริ่มต้นเมื่อพระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมให้เป็นบิดาของชนชาติใหม่ “พระเจ้าตรัสแก่อับราม ว่า "เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้  2 เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร” (ปฐก.12:1-2) อับราฮัมมีชีวิตอยู่ประมาณ 1,900 ปีก่อนคริสตศักราช เขาเป็นชาว  อารันซึ่งยังเป็นคนเร่รอนเลี้ยงสัตว์ และดำรงชีวิตอยู่ตามถิ่นทุรกันดาร หาโอกาสทำการค้ากับประชาชนในเมืองที่เจริญกว่าพวกตน อับราฮัมได้ออกเดินทางจากญาติพี่น้อง และ “บ้านของบิดา” ในเมืองฮารานไปแสวงหาทุ่งหญ้าใหม่สำหรับเลี้ยงสัตว์ และที่อยู่ใหม่แก่ครอบครัว ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 12-25 ได้บันทึกพระบัญชาและพระสัญญาแก่ครอบครัวของเขา อับราฮัมเดินทางทั่วไปในดินแดนปาเลสไตน์ และพระเจ้าทรงให้ความมั่นใจแก่เขาว่า อาณาบริเวณนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเชื้อสายของเขา พระพรของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัม พระองค์ตรัสว่า“เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร 3 เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า" (ปฐก 12:2-3) พระเจ้าไม่เพียงทรงเรียกอับราฮัมเท่านั้น แต่พระองค์ทรงทำพันธสัญญากับเขาด้วย สาระสำคัญของพันธสัญญา(พระสัญญา)มีลักษณะสี่ประการ คือ
                   1. เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ กาลเวลาผ่านไปพระเจ้าก็ทรงทำให้ลูกหลานของอับราฮัมกลายเป็นชนชาติใหญ่ชนชาติหนึ่งจริงๆ (โดยไม่นับชาติอาหรับอื่นๆ ที่มีเชื้อสายสืบย้อนไปถึงอับราฮัม) ในช่วงชีวิตของ ดาวิด และ ซาโลมอน อิสราเอลเกือบจะปกครองโลกตะวันออกกลาง
                   2. “เราจะอวยพรแก่เจ้า” พระเจ้าอวยพรอับราฮัมจริงๆ ตลอดชีวิตของเขา ถึงแม้ว่าในชีวิตเวลาต่อมา เขาต้องแสดงถึงความเชื่อ และการเชื่อฟังอันยิ่งใหญ่ต่อไปก็ตาม “พระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่นายข้าพเจ้าอย่างมากมาย ท่านก็เจริญ พระองค์ทรงประทานฝูงแพะแกะ และฝูงโค เงินและทอง คนใช้ชายหญิง อูฐและลา” (ปฐก.24:35) นี้เป็นคำพยานของผู้รับใช้อับราฮัมที่ยืนยันว่า พระเจ้าอวยพรแก่        อับราฮัมจริงๆ
                   3. “จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต” อัมบาฮัมถือเป็นบรรพบุรุษของชนชาติยิว และถ้าสืบย้อนกลับในเชื้อสายของอาหรับ อัมบาฮัมก็เป็นต้นเชื้อสายนี้เช่นเดียวกัน และในปัจจุบันก็มีผู้คนทั่วไปนำไปตั้งชื่อด้วย
                   4. “โลกจะได้พรเพราะเจ้า” พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา สืบทอดวงศ์ตระกูลมาทางอับราฮัม พวกเราเองก็สืบเชื้อสายฝ่ายวิญญาณมาจากอับราฮัมผ่านทางพระคริสต์ 
                                      - บรรดาพระสัญญาที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัม และพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น มิได้ ตรัสว่าและแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย เหมือนอย่างกับว่าแก่คนมากคน แต่เหมือนกับว่าแก่ คนผู้เดียวคือ แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน ซึ่งเป็น          พระคริสต์ (กท.3:16)
                                      - สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงโปรดประทานพระพร ฝ่ายวิญญาณแก่เรานานาประการ ในสวรรคสถานโดยพระคริสต์ (อฟ.1:3)
แน่นอนที่พระพรของอับราฮัม ก็ตกมาถึงพวกเราในทุกวันนี้ด้วย ตามพระคำที่พระเจ้าได้ดลใจให้เปาโลบันทึกไว้ในพระธรรมกาลาเทียและพระธรรมเอเฟซัส พระองค์จะทรง “อวยพรผู้ที่อวยพรเจ้า และสาปแช่งผู้ที่สาปแช่งเจ้า” พระเจ้าทรงทำให้พระสัญญานี้เป็นจริงในสมัยของอับราฮัม และพระสัญญานั้นก็คงอยู่มาถึงทุกวันนี้ หากเราสังเกตจะเห็นว่าประชาชาติต่างๆในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งให้การช่วยเหลือชาวยิว ก็จะได้รับพระพรจากพระเจ้าด้วย นี่แหล่ะ ปฐมเหตุของอิสราเอลชนชาติแห่งพระพร
         
อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2560

ต้นร้ายปลายดี (ตอนแรก)

..."เจ้าอย่าไปกับเขาทั้งหลาย เจ้าอย่าแช่งชนชาตินั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นคนที่ได้รับพร"
(กดว.22:12)
          บาลาอัม เป็นนักวิทยากล และผู้ทำนายที่อยู่ทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย เขาเป็นนักอธิษฐานที่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขามีของประทาน และรู้ว่าควรจะอธิษฐานอย่างไร บาลาอันเป็นคนต่างชาติ เราอาจสงสัยแต่เมื่อเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์คงต้องการจะสอนอะไรบางอย่างแก่พวกเรา บาลาอันก็ปรารถนาไปสู่สวรรค์หลังจากโลกนี้ไปแล้วเช่นกัน แต่เขาก็ยังเดินพลาดไปจากทางของพระเจ้า และพระพรของพระองค์ “แล้วคนอิสราเอลก็ยกออกไปตั้งค่ายอยู่ ณ ที่ราบโมอับฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค 2 ฝ่ายบาลาคบุตรศิปโปร์ได้เห็นการทั้งปวงซึ่งอิสราเอลได้กระทำต่อคนอาโมไรต์ 3 ทั้งโมอับก็ครั่นคร้ามต่อชนชาตินั้นนักหนา เพราะเขามีคนมากด้วยกัน โมอับกลัวคนอิสราเอลลานทีเดียว 4 จึงพูดกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองมีเดียนว่า "คนเหล่านี้ทั้งสัตว์ของเขาจะมากินพืชผลที่ล้อมรอบเราอยู่หมด เหมือนวัวกินหญ้าในนา" ดังนั้นบาลาคบุตรศิปโปร์ผู้เป็นกษัตริย์เมืองโมอับในเวลานั้น 5 ใช้ผู้สื่อสารไปยังบาลาอัมบุตรเบโอร์ที่เปโธร์ใกล้แม่น้ำในแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน โดยกล่าวว่า "ดูเถิด ชนชาติหนึ่งออกมาจากอียิปต์เข้าแผ่คลุมผิวโลก กำลังพักอยู่ตรงข้ามข้าพเจ้า 6 ขอเชิญมาเถิด ขอสาปแช่งชนชาตินี้ให้แก่ข้าพเจ้า เพราะเขาเข้มแข็งกว่าข้าพเจ้ามาก ชะรอยข้าพเจ้าจะสามารถรบชนะเขา และขับไล่เขาออกไปจากแผ่นดินของข้าพเจ้าได้ เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า ถ้าท่านอวยพรแก่ผู้ใดผู้นั้นจะเป็นไปตามพรนั้น และท่านสาปแช่งผู้ใดผู้นั้นก็ถูกสาปแช่ง" 7 ดังนั้น พวกผู้ใหญ่ของเมืองโมอับกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองมีเดียน ก็ถือค่าการทำอาถรรพ์นั้นออกไป ครั้นเขาทั้งหลายมาถึงบาลาอัมก็บอกคำของบาลาคแก่เขา 8 บาลาอัมกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า "คืนนี้ จงค้างที่นี่ก่อน เมื่อพระเจ้าตรัสอย่างไรแก่ข้าแล้ว ข้าจึงจะนำคำนั้นมาแจ้งแก่ท่านทั้งหลาย" ดังนั้นเจ้าเมืองแห่งโมอับจึงยับยั้งอยู่กับบาลาอัม” (กดว.22:1-8)
          บาลาคกษัตริย์แห่งเมืองโมอับตกใจกลัวเป็นอย่างมาก ที่เห็นชนชาติอิสราเอล อพยพเข้ามาใกล้ดินแดน พระองค์รู้ว่าบาลาอัมมีความสามารถพิเศษในการอธิษฐาน  “...ถ้าท่านอวยพรแก่ผู้ใดผู้นั้นจะเป็นไปตามพรนั้น และท่านสาปแช่งผู้ใดผู้นั้นก็ถูกสาปแช่ง” (กดว.22:6) ชาวเมืองทั่วไปรู้ว่าบาลาอัมขอพระเจ้าทรงอวยพรผู้ใดพระองค์จะทรงอวยพรผู้นั้น หรือขอพระเจ้าทรงสาปแช่งผู้ใด พระองค์จะทรงสาปแช่งผู้นั้น บาลาคเสนอที่จะมอบทรัพย์สมบัติให้  ถ้าบาลาอันยอมสาปแช่งอิสราเอลที่กำลังเข้าปะชิดเขตแดน เพื่อเมืองโมอับจะได้ปลอดภัย พระเจ้าตรัสกับบาลาอัมว่า "เจ้าอย่าไปกับเขาทั้งหลาย เจ้าอย่าแช่งชนชาตินั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นคนที่ได้รับพร" (กดว.22:12) เช้าวันต่อมา บาลาอันก็แจ้งคนเหล่านั้นว่าพระเจ้าทรงคัดค้านแผนการดังกล่าว พวกเขากลับไปหาบาลาคพร้อมกับแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ บาลาคจึงส่งพวกประมุขไปอีกครั้งหนึ่ง มีจำนวนมากกว่าและมีเกียรติยศมากกว่าพวกแรก พวกเขาบอกบาลาอัมว่าถ้าเขายอมมา และสาปแช่งคนอิสราเอล บาลาคจะให้เกียรติยศแก่เขาอย่างสูง “แต่บาลาอัมได้ตอบคนใช้ของบาลาคว่า "แม้ว่า บาลาคจะให้เงิน และทองเต็มบ้านเต็มเรือนของท่านแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกระทำอะไรนอกเหนือพระบัญชาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่”(กดว 22:18) คำตอบของบาลาอัมเป็นที่น่าเลื่อมใส เขาบอกว่า จะให้เงิน ให้ทอง มากอย่างไรก็ตาม เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะพระเจ้าไม่ให้กระทำเช่นนั้น ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม เขาก็ยังมีความเชื่อและฟังคำของพระเจ้า ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสมัยนั้นมีคนเชื้อสายอื่นๆ เช่นกันที่นมัสการพระเจ้าของอิสราเอล อย่างไรก็ตามข้อเสนอที่เป็นความมั่งคั่ง และเกียรติยศใหญ่โตจากบาลาคก็เริ่มเป็นที่เย้ายวนแก่เขา เขาจึงบอกประมุขเหล่านั้นให้รอก่อน “ดังนั้นรุ่งเช้า บาลาอัมก็ลุกขึ้นผูกอานลา ไปกับเจ้านายแห่งโมอับ”(กดว.22:21) ในที่สุดบาลาอัมก็แพ้ใจตัวเอง เขาติดตามพวกประมุขชาวโมอับไป(กดว.22:15-22“พระเจ้าทรงพระพิโรธ” จงอย่าโลภในการแสวงหาพระพรที่มาจากภายนอก เมื่อพระเจ้าได้กำหนดแผนการไว้แล้ว

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/