วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

จงฟังเสียงของเรา(ตอนแรก)


 “...จงฟังเสียงของเรา และจงกระทำทุกอย่างที่เราบัญชาเจ้าไว้
เจ้าจึงจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า”
(ยรม.11:4)
          เยเรมีย์ มีความหมายว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงสถาปนา  เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะที่เป็นแบบอย่างของความอดทนในการรับใช้  ท่านได้เริ่มเผยพระวจนะในสมัยกษัตริย์โยสิยาห์(กคศ.640- 609) และเผยพระวจนะอยู่ถึงสี่รัชกาล (โยสิยาห์ เยโฮยาคิม เยโฮยาคีน และ     เศเดคียาห์)  กษัตริย์โยสิยาห์พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ดีพระองค์สุดท้ายของแผ่นดินยูดาห์ ในช่วงที่ท่านพยากรณ์รอบๆแผ่นดินยูดาห์เต็มไปด้วยศัตรูที่น่ากลัวพร้อมที่จะโจมตีพวกเขาทั้งสิ้น  กคศ.721พระเจ้าได้ทรงให้กรุงสะมาเรีย(อิสราเอลฝ่ายเหนือ)ถูกตีแตกโดยประเทศซีเรีย  นั่นเป็นเพราะความบาปชั่วของสะมาเรียที่ไม่ยอมกลับใจ   พระองค์ได้ทรงตักเตือนพวกเขาหลายครั้งผ่านผู้รับใช้ของพระองค์แต่ไม่มีใครฟัง  สิ่งเหล่านี้ยูดาห์ได้เห็นทั้งสิ้น  แต่ยูดาห์ก็ไม่วายที่จะทำบาปต่อพระเจ้า  เช่นกันพระองค์ได้ทรงเตือนยูดาห์ผ่านผู้เผยพระวจนะหลายคน  รวมทั้ง เยเรมีย์  แต่ยูดาห์ มักจะปฏิเสธพระสุรเสียงของพระเจ้า ไม่มีใครฟังเยเรมีห์ ผู้เผยพระวจนะคนอื่นก็ไม่ฟังเสียงของพระเจ้า และผู้เผยพระวจนะเท็จเหล่านั้นได้หนุนใจให้ยูดาห์ ต่อสู้บาบิโลนจนในที่สุด ยูดาห์ก็ต้องแตกถูกกวาดต้อนไปบาบิโลน เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะที่เต็มไปด้วยอดทน
          พันธสัญญาถูกละเมิด เยเรมีย์ต้องเผชิญหน้ากับประชากรของเขา “พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ว่า 2 เจ้าจงฟังถ้อยคำในพันธสัญญานี้เถิด และจงกล่าวแก่คนยูดาห์ และชาวกรุงเยรูซาเล็ม” (ยรม.11:1-2)  พระเจ้าตรัสข้อความนี้แก่คนยูดาห์ และชาวกรุงเยรูซาเล็ม ประเด็นหลักคือเรื่อง “พันธสัญญา” ประมาณศตวรรษที่  15 หรือ  13  ก่อน ค.ศ. อิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ และใช้เวลาเร่ร่อนเดินทางอยู่นานนับ  40 ปี ระหว่างการเดินทางนี้เองที่อิสราเอลได้เริ่มรู้จักพระเจ้าของบรรพบุรุษของตนอีกครั้งหนึ่ง การเดินทางนั้นผ่าน ทั้งที่เปลี่ยว และทะเลทราย  พวกเขาได้รับความลำบากมาก บ่อยครั้งก็ให้นึกถึงชีวิตในอียิปต์  แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขา  ทรงอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา จนพวกเขากล่าวว่า “เพราะมีประชาชาติใหญ่ชาติใดเล่า ซึ่งมีพระเจ้าอยู่ใกล้ตน อย่างกับพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกเรา ทรงอยู่ใกล้เรา ในเมื่อเราร้องทูลต่อพระองค์ (ฉธบ.4:7) การออกจากอียิปต์เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่การเลือกสรรนี้สมบูรณ์เมื่อพระเจ้าทรงสถาปนาพันธสัญญากับอิสราเอลที่ภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งความรอดให้กับอิสราเอล  คือ ให้เป็นผู้เตรียมรับเสด็จพระเมสสิยาห์  ซึ่งจะเสด็จมาช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์อันเนื่องมาจากบาป ทั้งนี้อิสราเอลต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ  ที่พระองค์ทรงมอบหมายโดยผ่านทางโมเสสและผู้นำ บัญญัติ 10 ประการ ความโดยสรุปว่า “ต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา ต้องไม่ทำรูปเคารพสำหรับตน ไม่ว่าจะเป็นรูปสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ในท้องฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งอยู่ในแผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน ต้องไม่กราบไหว้รูปเคารพหรือนมัสการรูปเหล่านั้น เพราะเรา คือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ต้องไม่กล่าวพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอย่างไม่เหมาะสม จงระลึกถึงวันสับบาโต ว่าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์  ท่านจะต้องออกแรงทำงานทั้งหมดในหกวัน  แต่วันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อนที่ถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ในวันนั้น ท่านต้องไม่ทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าน บุตรชาย บุตรหญิง บ่าวไพร่ชายหญิง สัตว์ใช้งานหรือคนต่างถิ่นที่อาศัยอยู่กับท่าน  เพราะในหกวัน พระเยโฮวาห์รงสร้างฟ้า แผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านี้ แต่ในวันที่เจ็ด พระองค์ทรงพักผ่อน เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรวันสับบาโต และทรงทำให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์  จงนับถือบิดามารดา เพื่อท่านจะได้มีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่าน  อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้ภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือบ่าวไพร่ชายหญิง โค ลา หรือทรัพย์สินใดที่เป็นของเพื่อนบ้าน (อพย.20:1-17) หลังจากได้รับพระญญัติ(บัญญัติ10ประการ กฏเกณฑ์และคำตัดสินต่างๆ ที่โมเสสได้รับการดลใจบันทึกไว้) จากพระเจ้าแล้ว โมเสสก็กระทำพิธีสถาปนารับพระสัญญาของพระเจ้า “ท่านถือหนังสือพันธสัญญาอ่านให้ประชาชนฟัง พวกเขากล่าวว่า "สิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้นั้น พวกเราจะกระทำตาม และเราจะเชื่อฟัง" 8 โมเสสก็เอาเลือดพรมประชาชน และกล่าวว่า "นี่เป็นเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเจ้ากระทำกับเจ้าตามพระวจนะเหล่านี้" (อพย.24:7-8) ด้วยลักษณะของพันธสัญญาดังกล่าว เชื่อว่า อิสราเอลเป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์  เป็นแบบอย่างถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์  จะแสดงออกให้เห็นโลกทัศน์ที่มีเอกภาพ ทุกสิ่งที่มีอยู่และเกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้ายจะถูกเชื่อมโยงเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า  ถ้าหากซื่อสัตย์และปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระองค์ ก็จะได้พระพร  หากไม่ปฏิบัติตามก็จะได้รับการลงโทษ    ตลอดระยะเวลาที่เร่ร่อนก่อนกลับสู่แผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญา  ชาวอิสราเอลก็สามารถ  ผ่านการทดสอบ”  โดยได้รับ แผ่นดินที่พระองค์ทรงปฏิญาณว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของเขา  เมื่อเขาทั้งหลายยึดแล้วก็เข้าไปตั้งบ้านเมืองอยู่ที่นั่น  และพระเจ้าประทานให้เขามีความสงบทุกด้านสรรพสิ่งอันดีทุกอย่างซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาต่อประชาชนอิสราเอลนั้นก็ไม่ขาดสักสิ่งเดียว  สำเร็จทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างสงบสันติ   เพราะอิสราเอลเองก็ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเสมอไป 


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น