วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คืนดี...ปรองดอง(ตอนสาม)

          การเข้าร่วมกับกลุ่มพี่น้องคริสเตียนอย่างสม่ำเสมอ ช่วยป้องกันไม่ให้เรากลับไปทำบาปอีกทั้งยังทำให้พระเจ้าพอพระทัย ร่วมนมัสการ บริจาคทรัพย์ให้องค์กรที่ช่วยเหลือสังคม พูดคุยกับพี่น้องคริสเตียน ช่วยเหลือและรักเพื่อนบ้าน เราควรแสวงหาหนทางปกป้องจิตวิญาณ จากความชั่วในอนาคต สารภาพบาป และแก้ไขพฤติกรรมเมื่อดำเนินชีวิตผิดพลาด จงระมัดระวังสิ่งยั่วยุที่นำเราไปสู่การทำบาป หยุดคบหากับคนที่ไม่ได้หวังดีกับเรา อ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ และให้พระเจ้าทรงเป็นแสงนำเราสู่หนทางที่ถูกต้อง มนุษย์ทุกคนไม่ได้สมบูรณ์แบบ และอาจทำผิดพลาดอีกแน่นอน พระเจ้ารู้ความจริงข้อนี้ดี หากเราตระหนักถึงความผิดพลาดนี้ ต้องถ่อมใจยอมรับความจริง อย่ากังวลว่าจะทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย สิ่งที่สำคัญสำหรับพระเจ้าคือ เราต้องมีความตั้งใจจะแก้ไขเมื่อพลาดทำบาป ดำเนินชีวิตให้ดี ความบาปคือ ความผิดพลาดที่ชักนำให้เราทำร้ายตนเอง และผู้อื่น เมื่อเราตัดสินใจใช้ชีวิตที่ปราศจากบาป ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่พระเจ้าพอพระทัย และได้รับชีวิตนิรันด์เท่านั้น แต่ชีวิตจะได้รับการเติมเต็มด้วยความสุขอีกด้วย นี่คือสาเหตุที่ต้องกลับใจ หากเรากำลังทำให้ตนเองไม่มีความสุข หรือทำร้ายผู้อื่น ให้หยุดทันที เปิดใจยอมรับการให้อภัย ชีวิตจะมีความสุขขึ้น
          “เพราะว่า ถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน” (มธ.6:14-15) การกลับใจของเราอย่างแท้จริงต่อพระเจ้า เราได้รับการอภัยบาป และมีชีวิตใหม่ในพระองค์ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า จากเดิมที่ชีวิตถูกตัดขาดด้วยความผิดบาปได้สิ้นสุดลง เราได้กลายเป็นบุตรของพระองค์ โดยพระคุณที่เราได้รับเช่นนี้ เราก็ควรที่จะให้อภัยผู้อื่นด้วย คำอุปมาเรื่อง “ทาสที่ไม่ยอมให้อภัย” น่าจะเตือนสติของเราได้ องค์พระเยซูคริสต์ทรงเล่าว่า “เหตุฉะนั้น แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน เจ้าองค์หนึ่งทรงประสงค์จะคิดบัญชีกับทาส 24 เมื่อตั้งต้นทำการนั้นแล้ว เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์ มาเฝ้า 25 ท่านจึงสั่งให้ขายตัวกับทั้งเมีย และลูก และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้ 26 ทาสลูกหนี้ผู้นั้นจงกราบลงวิงวอนว่า "ข้าแต่ท่าน ขอโปรดผัดไว้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น" 27 เจ้าองค์นั้นมีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป 28 แต่ทาสผู้นั้นออกไปพบคนหนึ่ง เป็นเพื่อนทาสด้วยกัน ซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน  จึงจับคนนั้นบีบคอว่า 'จงใช้หนี้ให้ข้า' 29 เพื่อนทาสคนนั้นได้กราบลงอ้อนวอนว่า 'ขอโปรดผัดไว้ก่อนแล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้' 30 แต่เขาไม่ยอม จึงนำทาสลูกหนี้นั้นไปจำจองไว้จนกว่าจะใช้เงินนั้น 31 ฝ่ายพวกเพื่อนทาส เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็พากันสลดใจยิ่งนัก จึงนำเหตุการณ์ทั้งปวงไปกราบทูลเจ้าองค์นั้น 32 ท่านจึงทรงเรียกทาสนั้นมา สั่งว่า 'อ้ายข้าชาติชั่ว เราได้โปรดยกหนี้ให้เอ็งหมด เพราะเอ็งได้อ้อนวอนเรา 33 เอ็งควรจะเมตตาเพื่อนทาสด้วยกัน เหมือนเราได้เมตตาเอ็งมิใช่หรือ' 34 แล้วเจ้าองค์นั้นกริ้ว จึงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้หมด” (มธ.18:23-34) เจ้าองค์หนึ่งได้ยกหนี้ให้กับทาสที่ติดหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ แต่ทาสคนนี้กลับไม่ยอมยกหนี้ให้แก่ลูกหนี้ของเขา ซึ่งติดเขาเพียงเล็กน้อย คือเพียงหนึ่งร้อยเดนาริอัน ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับที่เจ้าองค์นั้นได้ยกหนี้ให้แก่เขา เจ้าองค์นั้นได้ลงโทษแก่ทาสที่ติดหนี้ จนกว่าเขาจะชดใช้หนี้ของตนได้
          สิ่งสำคัญที่เราเรียนรู้จากคำอุปมานี้คือ สิ่งที่พระเยซูตรัสใน มัทธิว 18:35 พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงกระทำแก่เราทุกคนอย่างนั้น ถ้าหากว่าเราแต่ละคนไม่ยกโทษการละเมิดให้แก่พี่น้องของเราด้วยใจกว้างขวาง พระเยซูทรงสอนว่า แม้ว่าพระเจ้าจะทรงอภัยโทษคนบาปที่กลับใจใหม่โดยไม่คิดมูลค่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเต็มใจของผู้นั้นที่จะยกโทษให้ผู้อื่น หรืออีกในหนึ่งคือ คนหนึ่งอาจจะสูญเสียการอภัยบาปจากพระเจ้า เพราะเขายังมีใจขมขื่น และไม่ยอมยกโทษให้กับคนอื่น


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

คืนดี...ปรองดอง(ตอนสอง)


          เราจะรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์เพื่อเข้าสู่ความรอด และคืนดีกลับพระเจ้าได้อย่างไร
“เพราะว่า ทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” (รม.3:23) คงทราบแล้วว่ามนุษย์ได้หลงทำผิดบาปครั้งแรกอย่างไร และในทันทีที่มนุษย์ทำผิดบาป มนุษย์กลัวพระเจ้า และหนีไปซ่อนตัวอยู่เพื่อจะหลบให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์ และการลงโทษที่มนุษย์ได้รับเนื่องจากการทำบาปคือถูกขับไล่ออกจากสวนเอเดน เราจะเห็นว่า บาปจะต้องถูกลงโทษเสมอ และการลงโทษนั้นคือ การถูกแยกจากพระเจ้า “พระสิริของพระเจ้า” พระสิริของพระเจ้าคือความสดใส งดงาม โชติช่วงของพระเจ้า แต่เดิมนั้นเมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ได้บรรจุพระสิริของพระองค์ใส่ไว้ในตัวมนุษย์ด้วย เมื่อตกเป็นทาสของความบาปพระสิรินี้ก็เริ่มเสื่อม และหายไป พระสิริของพระเจ้าที่ขาดไปจากมนุษย์คือ ล้มเหลวต่อการถวายพระสิริอันควรแด่พระองค์ ล้มเหลวในการรับพระสิริ และเกียรติยศซึ่งพระองค์มีพระประสงค์จะประทานให้แก่เรา ล้มเหลวต่อการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเจ้า และพลาดจากพระสิริอันไพบูลย์ซึ่งจะประทานให้แก่บุตรของพระองค์เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา
          “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้ทรงตั้งต้นประกาศว่า "จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์ มาใกล้แล้ว"  (มธ.4:17) จงกลับใจเสียใหม่ นี่เป็นคำสั่ง !!! กลับใจใหม่ คือ การยอมรับว่าตัวเองเป็นคนผิดบาปที่ไม่อาจช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากบาป โทษของบาป และอำนาจของมันได้เลย จึงขอน้อมใจรับพระคุณและความช่วยเหลือจากพระเจ้าในการชดใช้บาปของเราด้วยความเชื่อ ผ่านทางการตายขององค์พระเยซูคริสต์! เราต้องตระหนัก และ ยอมรับว่าตนทำบาป ต้องถ่อมใจ เราอาจโกหกตัวเองและผู้อื่นว่าไม่ได้ทำบาป แต่เราโกหกพระเจ้าไม่ได้ จุดเริ่มต้นของการกลับใจคือเราต้องกล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนดีตลอดเวลา มีโอกาสพลาดพลั้งออกจากลู่ทาง จงถ่อมใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า ยอมรับด้วยหัวใจว่าเราควรทำตามพระคำของพระองค์ ต้องเชื่อพระเจ้าสุดจิตสุดใจ เชื่อว่าพระเจ้าให้อภัย และทรงนำเรา ให้สามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ หากขาดความเชื่อเช่นนี้เราก็มีแนวโน้มจะหมดทางแก้ไขปัญหา การกำจัดนิสัยแย่ๆ และทำให้สิ่งผิดถูกต้องเป็นเรื่องยาก เราต้องเชื่อว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วย มิฉะนั้นเราอาจล้มลงในบาปอีก ต้องไตร่ตรองถึงการกระทำ นึกถึงบาปหรือความผิดที่ได้กระทำ อย่ามองว่าความบาปต้องเป็นเรื่องใหญ่เสมอไปเช่น คดโกง หรือลักขโมย ในสายพระเนตรของพระเจ้าบาปทุกชนิดมีน้ำหนักเท่ากัน ต้องใคร่ครวญหาเหตุผลว่าทำผิดเพราะอะไร การใคร่ครวญถึงเหตุผลที่การกระทำผิดนั้นสำคัญมาก ก่อนกลับใจ การกลับใจตามพิธีกรรมโดยไม่คิดว่าจริงๆ แล้วทำผิดอะไรยิ่งแสดงให้พระเจ้าเห็นว่าเราไม่ได้ใส่ใจกับความผิดเลย คิดถึงคนที่ต้องรับผล จากความบาปของเราเมื่อคิดจะทำบาป และคิดให้ดีว่าแท้จริงแล้วความบาปส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณเราอย่างไร ไตร่ตรองถึงสิ่งเลวร้ายที่ความบาปนั้นนำให้เราทำ ต้องกลับใจด้วยท่าทีถูกต้อง กลับใจด้วยเหตุผลที่ถูกต้องเท่านั้น หากคิดว่าการกลับใจอาจทำให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานในเรื่องที่ปรารถนา เรากำลังคิดผิด จงกลับใจเพราะเห็นว่าดีต่อชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณและเพื่อให้ชีวิตมีความชื่นชมยินดี และมีคุณค่ามากขึ้น ไม่ใช่เพราะหวังเรื่องฝ่ายเนื้อหนังเช่น ทรัพย์สมบัติ ความร่ำรวย ลาภยศต่างๆ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่แก่นแท้ในการนับถือพระเจ้าเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เชื่อมั่นและยึดมั่นในองค์พระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นผู้ที่ยกโทษบาป และประทานชีวิตนิรันดร์แก่เราได้ อีกทั้งยอมให้พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เชื่อด้วยความเข้าใจ คือ รู้และเข้าใจในแก่นแท้ของพระกิตติคุณคือ มนุษย์เป็นคนบาป พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่โทษบาปมนุษย์ และพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ มนุษย์รอดได้ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อด้วยความรู้สึกคือ รู้สึกว่าตนเองเป็นคนบาป รู้สึกต้องการรับการไถ่จากพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง เชื่อด้วยการยอมรับคือ ตัดสินใจยอมรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นเจ้าชีวิตของเรา ( คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด 10ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด รม.10:9-10 ) พระคำสอนว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (กท.2:20) 
               ดังนั้น การยอมรับว่าตนทำบาป และเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง ต้องมี “อย่างมั่นคงต่อเนื่องในชีวิต” ดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า หลังกลับใจจากบาปแล้ว “เรา” ได้รับประทาน “ชีวิตใหม่” เราควรใช้โอกาสใหม่นี้ อุทิศตนรับใช้พระเจ้า ให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ คนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ฝ่ายวิญญาณนั้น มนุษย์จะกระทำเองไม่ได้ แต่เกิดจากฤทธิ์เดช และพระเมตตาของพระเจ้า พระคัมภีร์เรียกว่า “การบังเกิดใหม่” ด้วยว่าคนบาป ก็เปรียบเหมือนคนที่ตายแล้ว ในฝ่ายวิญญาณ เขาจะทำให้ตนเองมีชีวิตใหม่ไม่ได้ มีผู้เดียวที่จะช่วยได้คือ “พระเจ้า” เมื่อกลับใจเชื่อพระองค์ พระองค์จะทรงยกโทษบาป และประทานชีวิตใหม่ให้ด้วย


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คืนดี...ปรองดอง(ตอนแรก)


บัดนี้ พระองค์ทรงโปรดให้คืนดีกับพระองค์ 
โดยความตายแห่งพระกายเนื้อหนังของพระองค์
เพื่อจะได้ถวายท่านแด่พระเจ้าให้เป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน และปราศจากตำหนิ
(คส.1:22)
          มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อความบันเทิงของพระองค์ หรือทำให้พระองค์ทรงสนุกสนาน พระเจ้าเป็นองค์พระผู้สร้าง พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงพระชนม์ ทรงชอบพระทัยอยากให้มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งพระองค์จะได้ทรงสัมพันธ์สนิทสนมด้วยจริงๆ ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายของพระองค์ ทำให้มนุษย์สามารถรู้จักพระเจ้า และสามารถรักพระองค์ นมัสการพระองค์ รับใช้พระองค์ และสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ (เพราะว่า ในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้า และที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตา และซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครอง หรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ คส.1:16) ในปฐมกาลบทที่สองข้อสิบห้าถึงสิบเจ็ด ทำให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงประทานเกือบทุกอย่างให้แก่มนุษย์ แต่ไม่ได้ทรงโปรดให้เขาทำทุกอย่างได้ตามความพอใจของตนเอง เพราะเขาต้องพึ่งพระเจ้าตามลักษณะที่เขาถูกสร้างขึ้นมา มีบางสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไม่ให้มนุษย์ทำโดยเด็ดขาด แต่แล้วมนุษย์ไม่พอใจที่จะอยู่แบบที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ มนุษย์อยากจะเป็นอิสระ เขาจึงละเมิดคำสั่งของพระเจ้า เขาเชื่อตนเองแทนที่จะเชื่อพระเจ้า(ปฐก.3:1-6
          องค์พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละ ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 21 เพราะว่า จากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย 22 การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความบัดซบ 23 สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” (มก 7:20-23) ความบาปจึงเกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ เพราะจิตใจของเขาคิดจะลองดีกับพระเจ้า สงสัยพระองค์ ต่อมาก็ไม่เชื่อฟัง และผลสุดท้ายก็ทำตามความคิดเห็นของตนแทนที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า มนุษย์ปกครองชีวิตตนเอง และตัดสินใจเอาเองว่าอะไรดี อะไรชั่ว ดังนั้นจิตใจของมนุษย์จึงเป็นต้นกำเนิดของความบาปผลที่ตามมาคือ “การกระทำผิด” ดังนั้นความบาปจึงเป็นการกบฏต่อพระเจ้า นับแต่ความบาปเข้ามาในชีวิตของมนุษย์ การดำเนินชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าทรงประสงค์ แทนที่จะมีสามัคคีธรรมกับพระองค์ มนุษย์กลับหนีจากพระองค์ รักตนเอง ทำตามใจตนเอง ดังนั้นเขาจึงถูกตัดขาดจากพระเจ้า เขาอยู่อย่างสภาพสิ้นหวัง แต่โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ละทิ้งมนุษย์ พระองค์ทรงมีแผนการเพื่อช่วยเขาให้รอด แผนการนี้สำเร็จเมื่อองค์พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
          พระเยซูเสด็จมาบังเกิดในครรภ์ของมารีย์ ซึ่งเป็นหญิงสาวพรหมจารีย์ชาวอิสราเอล เป็นการปฏิสนธิโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทางการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงตามธรรมชาติ พระนามของพระองค์ “เยซู” นั้นแปลว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรอด” นั้นหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากความพินาศเพราะ “บาป” (ลก.1:26-38;2:1-20) พระองค์ทรงเป็น “พระคริสต์” แปลว่าผู้ที่ได้รับการเจิม หมายความว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้โดยเฉพาะเพื่อช่วยผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ ให้ได้รับการยกโทษ “บาป” (กจ.10:38-43) การเสด็จมาของพระองค์ในโลกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ครั้งปฐมกาล และทรงแจ้งให้มนุษย์รู้ล่วงหน้าโดยทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเพื่อพยากรณ์แก่อิสราเอลทราบล่วงหน้าเป็นระยะๆ เรื่อยมา เช่น อิสยาห์(อสย.7:14) และนาธัน(2ซมอ.7:12-13) พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วยความบริสุทธิ์พร้อมทุกประการ พระองค์ไม่เคยกระทำบาปอย่างใดเลย แต่ทรงสำแสดงความรักเมตตา และความอ่อนสุภาพเป็นที่ทราบแก่คนทั่วไป พระองค์ไม่ใช่ศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนา แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษย์รอดจากความพินาศ พระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์อย่างสมบูรณ์


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/