บัดนี้
พระองค์ทรงโปรดให้คืนดีกับพระองค์
โดยความตายแห่งพระกายเนื้อหนังของพระองค์
เพื่อจะได้ถวายท่านแด่พระเจ้าให้เป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน
และปราศจากตำหนิ
(คส.1:22)
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า
ไม่ใช่เพื่อความบันเทิงของพระองค์ หรือทำให้พระองค์ทรงสนุกสนาน
พระเจ้าเป็นองค์พระผู้สร้าง พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงพระชนม์ ทรงชอบพระทัยอยากให้มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ซึ่งพระองค์จะได้ทรงสัมพันธ์สนิทสนมด้วยจริงๆ ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายของพระองค์
ทำให้มนุษย์สามารถรู้จักพระเจ้า และสามารถรักพระองค์ นมัสการพระองค์ รับใช้พระองค์
และสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ (เพราะว่า ในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น
ทั้งในท้องฟ้า และที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตา และซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา
ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร
หรือเป็นเทพผู้ครอง หรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์
และเพื่อพระองค์ คส.1:16)
ในปฐมกาลบทที่สองข้อสิบห้าถึงสิบเจ็ด
ทำให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงประทานเกือบทุกอย่างให้แก่มนุษย์
แต่ไม่ได้ทรงโปรดให้เขาทำทุกอย่างได้ตามความพอใจของตนเอง
เพราะเขาต้องพึ่งพระเจ้าตามลักษณะที่เขาถูกสร้างขึ้นมา
มีบางสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไม่ให้มนุษย์ทำโดยเด็ดขาด แต่แล้วมนุษย์ไม่พอใจที่จะอยู่แบบที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้
มนุษย์อยากจะเป็นอิสระ เขาจึงละเมิดคำสั่งของพระเจ้า เขาเชื่อตนเองแทนที่จะเชื่อพระเจ้า(ปฐก.3:1-6)
องค์พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
“สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละ ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 21
เพราะว่า จากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี
การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย 22 การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา
อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความบัดซบ 23
สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” (มก 7:20-23) ความบาปจึงเกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์
เพราะจิตใจของเขาคิดจะลองดีกับพระเจ้า สงสัยพระองค์ ต่อมาก็ไม่เชื่อฟัง และผลสุดท้ายก็ทำตามความคิดเห็นของตนแทนที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
มนุษย์ปกครองชีวิตตนเอง และตัดสินใจเอาเองว่าอะไรดี อะไรชั่ว
ดังนั้นจิตใจของมนุษย์จึงเป็นต้นกำเนิดของความบาปผลที่ตามมาคือ “การกระทำผิด”
ดังนั้นความบาปจึงเป็นการกบฏต่อพระเจ้า นับแต่ความบาปเข้ามาในชีวิตของมนุษย์
การดำเนินชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าทรงประสงค์
แทนที่จะมีสามัคคีธรรมกับพระองค์ มนุษย์กลับหนีจากพระองค์ รักตนเอง ทำตามใจตนเอง
ดังนั้นเขาจึงถูกตัดขาดจากพระเจ้า เขาอยู่อย่างสภาพสิ้นหวัง
แต่โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ละทิ้งมนุษย์ พระองค์ทรงมีแผนการเพื่อช่วยเขาให้รอด
แผนการนี้สำเร็จเมื่อองค์พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
พระเยซูเสด็จมาบังเกิดในครรภ์ของมารีย์
ซึ่งเป็นหญิงสาวพรหมจารีย์ชาวอิสราเอล เป็นการปฏิสนธิโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ไม่ใช่ทางการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงตามธรรมชาติ พระนามของพระองค์ “เยซู”
นั้นแปลว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรอด” นั้นหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์
เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากความพินาศเพราะ “บาป” (ลก.1:26-38;2:1-20) พระองค์ทรงเป็น “พระคริสต์” แปลว่าผู้ที่ได้รับการเจิม
หมายความว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้โดยเฉพาะเพื่อช่วยผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์
ให้ได้รับการยกโทษ “บาป” (กจ.10:38-43)
การเสด็จมาของพระองค์ในโลกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ครั้งปฐมกาล
และทรงแจ้งให้มนุษย์รู้ล่วงหน้าโดยทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเพื่อพยากรณ์แก่อิสราเอลทราบล่วงหน้าเป็นระยะๆ
เรื่อยมา เช่น อิสยาห์(อสย.7:14) และนาธัน(2ซมอ.7:12-13)
พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วยความบริสุทธิ์พร้อมทุกประการ
พระองค์ไม่เคยกระทำบาปอย่างใดเลย แต่ทรงสำแสดงความรักเมตตา และความอ่อนสุภาพเป็นที่ทราบแก่คนทั่วไป
พระองค์ไม่ใช่ศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนา
แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษย์รอดจากความพินาศ
พระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์อย่างสมบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น