วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

จงหนีจากราคะตัณหาของคนหนุ่ม

ทิโมธีคงเป็นคริสเตียนหลังจากที่ อ.เปาโลเดินทางไปประกาศที่เมืองลิสตรา ในการเดินทางรับใช้พระเจ้าเที่ยวแรกของท่าน (กจ.16:1-5 เขามาถึงเมืองเดอร์บี จากนั้นไปยังเมืองลิสตรา ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อ ทิโมธี อาศัยอยู่ มารดาของเขาเป็นผู้เชื่อชาวยิวแต่บิดาของเขาเป็นชาวกรีก 2 ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พี่น้องที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนียูม 3 เปาโลต้องการจะพาทิโมธีไปด้วยจึงให้เขาเข้าสุหนัตเพราะเห็นแก่ชาวยิวที่อยู่แถบนั้นเนื่องจากใครๆ ก็รู้ว่าบิดาของเขาเป็นคนกรีก 4 ขณะเดินทางไปยังเมืองต่างๆ พวกเขาก็ถ่ายทอดมติของเหล่าอัครทูตและพวกผู้ปกครองที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อให้คนทั้งหลายปฏิบัติตาม 5 ดังนั้นคริสตจักรต่างๆ จึงได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งในความเชื่อและสมาชิกก็เพิ่มขึ้นทุกวัน) แม่และยายของทิโมธีได้อบรมเขา ตามแบบยิวให้รู้พระคัมภีร์อย่างดีอยู่แล้ว
          เมื่อ อ.เปาโลมาเยี่ยมลิสตราครั้งที่สอง ทิโมธีได้กลายมาเป็นสาวกของพระเยซูที่ได้รับความเคารพนับถือ เขามิได้ลังเลที่จะร่วมเดินทางกับ อ.เปาโลและสิลาส การที่เขาเต็มใจเข้าสุหนัตขณะที่เป็นผู้ใหญ่แล้วนั้น แสดงถึงการอุทิศตนของเขาอย่างชัดเจน (พื้นเพของทิโมธีมีเชื้อสายของกรีกกับยิวผสมกัน บิดาเป็นกรีกและแม่เป็นยิวอาจสร้างปัญหาในการเดินทางไปประกาศได้ เพราะผู้ฟังหลายคนเป็นชาวยิวซึ่งเคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณี การที่ทิโมธียอมตนเข้าสุหนัตช่วยหลีกเลี่ยงมิให้เกิดปัญหา) ทิโมธีไม่เคยโทษครอบครัวที่เป็นแบบนี้เขามีความภูมิใจในฐานะของเขา แต่พระเจ้าได้ยกทิโมธีขึ้นและสามารถทรงใช้เขาให้เกิดผลได้ ชีวิตของพวกเราก็เช่นกัน เมื่อใครดูถูก อย่าให้เป็นอุปสรรคหรือสิ่งขัดขวางทางชีวิตของพวกเรา แต่ให้คำดูถูกนั้นเป็นแรงพลัดดันชีวิตของพวกเราให้เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ ให้บอกกับพระองค์ว่าขอให้พระเจ้าทรงใช้เราเถอะ และต้องมั่นใจว่าพระเจ้าสามารถทรงใช้เราได้
          2ทธ.2:22  ท่านจงหนีจากราคะตัณหาของคนหนุ่มและจงใฝ่หาความชอบธรรม ความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับบรรดาผู้ที่ร้องเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์  ทิโมธีเริ่มรับใช้เมื่ออายุประมาณ 30 กว่าๆ ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่ม อ.เปาโลจึงเตือนท่านในการดำเนินชีวิตที่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า คือต้องพร้อมที่จะต้องปกป้องความสัมพันธ์นี้ไว้ให้ดีเสมอ “จงหนีจากราคะตัณหาของคนหนุ่ม” เมื่อเกิดความปรารถนาเช่นนั้น ทิโมธีต้อง “หลีกหนีจากความชั่วร้าย” นั้น นี่เป็นพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า 2ทธ.2:19 แต่รากฐานมั่นคงของพระเจ้าตั้งอยู่อย่างไม่คลอนแคลน ประทับตราด้วยข้อความที่ว่า พระเจ้าทรงรู้จักบรรดาผู้ที่เป็นของพระองค์และ ทุกคนที่เอ่ยพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงหลีกหนีจากความชั่วร้าย องค์พระเยซูคริสต์ก็ตรัสทำนองเดียวกันว่า “ถ้าตาของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงควักทิ้งเสีย” มธ.18:9 และถ้าตาของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงควักทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตโดยมีตาข้างเดียวยังดีกว่ามีสองตาแต่ต้องถูกทิ้งลงในไฟนรก การมีชีวิตแบบเป็นคนพิการตาเดียวก็ยังดีกว่า การเผชิญกับการพิพากษาของพระเจ้าในนรก โดยที่ยังมีตาทั้งสองข้างอย่างสมบูรณ์ ซึ่งตาทั้งสองข้างนั้นได้มอบไว้ให้แก่ความบาปเสียแล้ว คริสเตียนที่เชื่อฟังคำแนะนำนี้ และต้องการรักษาสัมพันธภาพกับพระเจ้าไว้

!!!...ต้องจัดการกับพฤติกรรมชั่วร้ายนี้ทันที และต้องกระทำด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่...!!!

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

ผู้เลี้ยง (ตอนสุดท้าย)

เป็นคำสอนที่ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็น “พระเจ้า”
           วลีที่ว่า “เขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว” ในพระธรรมยูดาบทที่ 1ข้อที่ 4 นั้นเป็นสถานการณ์ที่คุกคามความเชื่อที่มีต่อองค์พระเยซูคริสต์ 
“ลัทธินอสติก”เชื่อว่าวัตถุในโลกเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง หรือเป็นแก่นแห่งความชั่ว เป็นคำสอนที่ขัดกับความเชื่อพื้นฐานในพระคัมภีร์ ความเชื่อแบบนี้ทำลายหลักความเชื่อเกี่ยวกับการเนรมิตสร้างโลก เพราะพระเจ้าจะสร้างสิ่งที่ไม่เป็นจริง หรือสิ่งที่ชั่วได้อย่างไร มันทำลายหลักความเชื่อเกี่ยวกับการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าจะอยู่ในร่างกายได้อย่างไร ถ้าร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริง และชั่วช้า พวกเขาพยายามผสมผสานคำสอนเรื่องวัตถุนี้ให้เข้ากับคำสอน ของอัครทูตเกี่ยวกับ
พระคริสต์ โดยอธิบายว่าพระกายของพระองค์ไม่ใช่ร่างกายของมนุษย์จริงๆ แต่เป็นภาพลวงตา พระองค์เพียงแต่ดูเหมือนว่าสถิตอยู่ในร่างกายมนุษย์ พวกนี้เรียก   ตัวเองว่า “โดเซทิส” แต่ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ก็เป็นของปลอมด้วย ดังนั้นข่าวประเสริฐก็เป็นเรื่องราวของการโกหก และปราศจากฤทธิ์อำนาจ
                                    1ยน4:1-3 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก 2 โดยข้อนี้ ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า คือ วิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาญนั้นก็มาจากพระเจ้า 3 และวิญญาณทั้งปวงที่ไม่ยอมรับเชื่อพระเยซู วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินว่าจะมา และบัดนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว ในช่วงเวลานั้นคริสเตียนได้รับคำเตือนให้ระวังผู้ที่ปฏิเสธการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสต์  อ.ยอห์นพูดถึงวิญญาณอื่นๆที่แพร่กระจายคำสอนเท็จให้ระบาดไปทั่ว ท่านเตือนให้ระวังคำสอนผิดดังกล่าวไว้สองประการคือ อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆ วิญญาณ” และ “จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่” ต้องมีการ ทดสอบ ตรวจสอบ พิสูจน์ หรือ พินิจพิเคราะห์ ว่าสิ่งที่พูดนั้นแท้หรือไม่ คำสอนผิดออกมาจาก “วิญญาณ” วิญญาณเหล่านั้นเป็นวิญญาณที่ชั่วร้าย ซาตานเป็นผู้ให้กำเนิดความจริงแบบหลอกๆ ทั้งปวง พวกเราได้รับคำเตือนให้พินิจพิเคราะห์ลมปากแห่งหลักคำสอนทั้งปวง โดยเปรียบเทียบกับพระคำของพระเจ้า เพื่อไม่ให้พวกเราจะถูกวิญญาณที่หลอกลวงนำพาให้หลงผิด อ.ยอห์นจึงให้หลักเกณฑ์บางประการที่ช่วยพวกเราในการแยกแยะ ความจริงและความเท็จ คือ “โดยข้อนี้ ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า คือ วิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาญนั้นก็มาจากพระเจ้า และวิญญาณทั้งปวงที่ไม่ยอมรับเชื่อพระเยซู วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า” อ.ยอห์นหักล้างคำสอนเท็จของพวก โดเซทิกนอสติกที่กำลังแพร่หลายในสมัยนั้น คำสอนที่ว่าคือพระคริสต์ได้เสด็จมาจริงๆ แต่ไม่ได้มาในรูปกายมนุษย์ พวกเขากลับสอนว่าพระองค์เสด็จมาปรากฏในรูปของวิญญาณ กล่าวอีกนียหนึ่งพวกเขาเชื่อว่าพระเยซูแห่งนาซาเล็ธ ไม่ใช่พระคริสต์ พวกเขาอ้างว่าพระคริสต์ได้เสด็จมาในรูปวิญญาณที่ลึกลับ พวกเขาจึงปฏิเสธการเสด็จมารับสภาพมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ ในฐานะเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์
            ถ้าหากเชื่อแบบนี้ก็ขัดแย้งกับแก่นแท้แห่งหลักคำสอนเกี่ยวกับพระคริสต์ ถ้าพระเยซูแห่งนาซาเล็ธไม่ใช่มนุษย์ผู้เป็นพระเจ้า หลักการเกี่ยวกับการเสด็จมารับสภาพของมนุษย์ของพระคริสต์ และพระราชกิจในการทรงไถ่ของพระองค์ก็เป็น “โมฆะ” คำสอนเท็จที่ถูกเผยแพร่โดยวิญญาณชั่วเหล่านั้น ระบาดไปทั่วในสมัยอ.ยอห์น ดังนั้นท่านจึงย้ำให้สรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์สถิติอยู่ในเรา คือ “ พระวิญญาณบริสุทธิ์” พระองค์ทรงเป็นใหญ่กว่าอำนาจของซาตาน ถึงแม้ว่าอาจมีการสู้รบดุเดือดในสมรภูมินี้ก็ตาม แต่สำหรับคริสเตียนที่บังเกิดใหม่และดำเนินชีวิตอยู่ในความเชื่อแท้แล้ว ย่อมรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่กว่าซาตานที่อยู่บนโลกใบนี้แน่นอน ปรากฏการณ์นี้มีภาพเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ กลุ่มลัทธิเทียมเท็จต่างๆ ได้รับการยอมรับในโลกทุกวันนี้ ในทางตรงกันข้าม คริสเตียนที่ ปฏิบัติตามพระคัมภีร์ เชื่อพระคัมภีร์ และทำตามแบบของพระเจ้า กลับถูกโลกเมินเฉยหรือไม่ก็ถูกโลกเยาะเย้น ยน.17:14 ข้าพระองค์ได้มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่เขาแล้ว และโลกนี้ได้เกลียดชังเขา เพราะเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก องค์พระเยซูคริสต์ตรัสล่วงหน้าถึงเรื่องนี้มาแล้ว นั้นคือคนที่เชื่อพระคัมภีร์อย่างแท้จริงจะไม่มีวันเป็นที่ยอมรับของโลก ในทางตรงกันข้ามโลกจะยอมรับคนที่อยู่ฝ่ายโลกเท่านั้น
จงระวังบรรดาผู้สอนเท็จที่โลกให้การยอมรับอย่างกว้างขวาง !!!

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

ผู้เลี้ยง (ตอนสอง)

                        ๒  เป็นคำสอนที่หาช่องทางทำบาปโดย “อ้างพระคุณ”
                                    ยด.1:4 เพราะว่า มีบางคนได้แอบแฝงเข้ามา ซึ่งพระคัมภีร์ได้บ่งไว้นานแล้วว่า เขาจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างนี้ เขาเหล่านั้นเป็นคนอธรรม ที่ถือเอาพระคุณของพระเจ้าของเราเป็นเหตุให้กระทำความชั่วช้าลามก และเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว “แอบแฝงเข้ามา” อ.ยูดาพบว่ามีบางคนในพวกนี้เล็ดลอดเข้ามาโดยที่คริสตจักรทั้งหลายไม่รู้ตัวเลย ซาตานรู้ว่าไม่สามารถมีชัยต่อคริสตจักรได้ พวกมันจึงแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรเพื่อบิดเบือนความจริง “คนอธรรม”  “ถือเอาพระคุณของพระเจ้าเป็นเหตุให้กระทำความชั่วช้าลามก” กลุ่มผู้สอนเท็จมักจะทึกทักเอาเองว่าความรอดโดยพระคุณ ทำให้พวกเขามีสิทธิ์ทำบาปได้ไม่ยั้ง ซึ่งอาจเป็นเพราะพระเจ้าทรงพระคุณและจะอภัยโทษบาปทั้งสิ้น หรือไม่ก็เป็นเพราะทำบาปแล้วจะยิ่งทำให้พระคุณพระเจ้ายิ่งใหญ่ขึ้น
                                    อ.เปาโลต่อต้านคำสอนเท็จนี้ ในพระคำ รม.5:20 เมื่อมีธรรมบัญญัติ ก็ทำให้มีการละเมิดธรรมบัญญัติปรากฏมากขึ้น แต่ที่ใดมีบาปปรากฏมากขึ้น ที่นั้นพระคุณก็จะไพบูลย์ยิ่งขึ้น ; 6:1-2ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ 2       อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกเราที่ตายต่อบาปแล้ว จะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้ “ธรรมบัญญัติ” การที่ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเพิ่มเข้ามานั้น ธรรมบัญญัติจะช่วยบ่งบอกว่าอะไรเป็นบาป และระบุว่าผู้ที่กระทำบาปก็มีความผิด ด้วยเหตุนี้เมื่อธรรมบัญญัติปรากฏขึ้น ความบาปซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วก็ถูกให้คำจำกัดความที่ชัดเจนขึ้น  และถือว่าการกระทำแบบนั้นเป็นความบาป ดังนั้นความบาปจึงดูเหมือนว่าปรากฏเพิ่มมากขึ้น “แต่ที่ใดมีบาปปรากฏมากขึ้นที่นั้นพระคุณก็จะไพบูลย์ยิ่งขึ้น” ถึงแม้ว่าธรรมบัญญัติทำให้บาปนั้นดูเหมือนเพิ่มมากขึ้น โดยการที่ได้กำหนดคำจำกัดความของคำว่า “บาป” แต่เมื่อเทียบกับพระคุณของพระเจ้าแล้วก็มีมากยิ่งกว่าที่จะยกโทษต่อความผิดบาปในชีวิตที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าโดยพระคุณจะเสริมให้กระทำบาปมากยิ่งขึ้น “ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป”...หรือ? อ.เปาโลท้าทายความคิดผิดๆ ที่ว่าผู้เชื่อสามารถดำเนินชีวิตในบาปต่อไปได้ และยังคงรอพ้นจากการปรับโทษของพระเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ที่มาทางพระคริสต์ อ.เปาโลโต้ตอบการบิดเบือนต่อคำสอนเรื่อง “พระคุณ” โดยเน้นรากฐานความจริงประการหนึ่งที่ว่า ผู้เชื่อแท้คือผู้ที่อยู่ “ในพระคริสต์”โดยการรับบัพติสมาเข้าในพระคริสต์ และผู้เชื่อแท้ตายแล้วต่อบาป พวกเขาถูกโยกย้ายจากอาณาจักรของบาปเข้าสู่อาณาจักรแห่งชีวิตกับพระคริสต์ “ตายต่อบาป” นั่นคือความเป็นหนึ่งเดียวของผู้เชื่อกับพระคริสต์ ทั้งในความตายและชีวิตของพระองค์ ฉะนั้นถ้าพวกเราเป็นผู้เชื่อแท้ พวกเราก็ตายต่อบาปแล้วนับแต่การรับบัพติสมาในน้ำ พวกเราต้องมุ่งดำเนินชีวิตในความจริงที่ว่า
                        ๑ รม.6:5-10 เพราะว่า ถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วย 6เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป 7เพราะว่า ผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป 8 แต่ถ้าเราตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย 9 เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า พระคริสต์ที่ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้นแล้ว จะหาตายอีกไม่ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่ 10 ด้วยว่า ซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้น พระองค์ได้ทรงตายต่อบาปหนเดียวเป็นพอ แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตสนิทกับพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้าพวกเราตายต่อบาปแล้ว พวกเราเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงถือว่าตายแล้วกับพระคริสต์บนไม้กางเขน และฟื้นคืนจากความตาย เช่นเดียวกับการเป็นขึ้นมาขององค์พระเยซูคริสต์
                        ๒ รม.6:14-18,22 เพราะว่า บาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ 15           ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาปเพราะมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณกระนั้นหรือ ก็อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย 16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า ถ้าท่านยอมตัวรับใช้ฟังคำของผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น คือเป็นทาสของบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม17 แต่จงขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นทาสของบาป แต่บัดนี้ ท่านมีใจเชื่อฟังหลักคำสอนนั้น ซึ่งทรงให้ครอบครองท่าน 18 เมื่อท่านพ้นจากบาปแล้ว ท่านก็ได้เป็นทาสของความชอบธรรม , 20แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลสนองที่ท่านได้รับ ก็คือการชำระให้บริสุทธิ์ และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์ พวกเราตายต่อบาปแล้ว เมื่อบังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณ ได้รับฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์เพื่อต่อต้านบาป เพื่อดำเนินชีวิตที่ตายต่อบาปทุกวันโดยการประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกาย (รม.8:13 เพราะว่า ถ้าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังแล้ว ท่านจะต้องตาย แต่ถ้าโดยฝ่ายพระวิญญาณ ท่านได้ทำลายการของฝ่ายกายเสีย ท่านก็จะดำรงชีวิตได้) และจะได้มีชีวิตใหม่ที่เชื่อฟังพระเจ้า
                        ๓ รม 6:3-5 ท่านไม่รู้หรือว่า เราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้น เข้าในความตายของพระองค์ 4    เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน5 เพราะว่า ถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วย พวกเราตายต่อบาปแล้วในการ
บัพติศมาในน้ำ การบัพติศมาซึ่งกระทำควบคู่ไปกับความเชื่อแท้ เป็นส่วนหนึ่งของการที่เราปฏิเสธบาป และอุทิศตัวแด่พระคริสต์ เป็นผลให้พระคุณและชีวิตของพระเจ้าไหลมายังเราอย่างต่อเนื่อง การบัพติศมาหมายถึงการร่วมในความตายและการถูกฝังกับพระคริสต์ เพื่อเราจะมีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระชนม์ชีพที่ฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เช่นเดียวกับพระคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย สำหรับพวกเราผู้ที่มีความเชื่อแท้ที่นำไปสู่ความรอดในพระองค์ก็จะดำเนินใน“ชีวิตใหม่” แน่นอนเช่นกัน เมื่อพวกเราประกาศตนว่าตายต่อบาป และอุทิศตนที่จะปฏิเสธบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์ ย่อมแยกออกจากบาปอย่างชัดเจน พวกเราจะไม่ดำเนินชีวิตต่อไปในบาป ซึ่งในทางกลับกันคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในบาปต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อแท้ รม 6:11-13 เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ 12 เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น 13 อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า
อ.เปาโลเน้นว่าไม่มีใครสามารถเป็นทาสทั้งของบาป และของพระคริสต์ในเวลาเดียวกันได้ ถ้ายังยอมมอบตัวเองให้แก่บาปผลก็คือ การปรับโทษและความตายนิรันดร์ (ม 6:23 เพราะว่า ค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้า คือ ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา)                                                     กลับมาที่ ยด.1:4 เขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว” ในสมัยของอ.ยูดามีผู้ละทิ้งความเชื่อเปิดเผยตัวในรูปของหลักคำสอนที่เบี่ยงเบนไป 2คร.11:4เพราะว่า ถ้าคนใดจะมาเทศนาสั่งสอนถึงพระเยซูอีกองค์หนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับที่เราได้เทศนาสั่งสอนนั้น หรือถ้าท่านจะรับพระวิญญาณ ซึ่งแตกต่างกับที่ท่านได้รับแต่ก่อน หรือรับกิตติคุณซึ่งแตกต่างกับที่ท่านได้รับไว้แล้ว แหม ท่านทั้งหลายช่างอดทนสนใจฟังเขาเสียจริงๆ อ.เปาโลพูดอย่างประชดประชัน ถึงพวกถือลัทธิยิวที่เข้ามารังควานคริสตจักรที่เมืองโครินธ์  พวกนี้เทศนาถึงพระเยซูอื่น , วิญญาณอื่น  และข่าวประเสริฐอื่นที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ความพยายามเอาลัทธิยิวมาผสมกับข่าวประเสริฐ ไปจนถึงลัทธินอสติกที่ปฏิเสธเรื่องการเสด็จมารับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ ไปจนถึงการแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรยุคต้นโดยลัทธิถือผี ซึ่งในปัจจุบันก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นข่าวบ่อยๆ เช่นกัน
                        ในพระคำ มธ.3:8 เหตุฉะนั้น จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น ; กท.6:15 เพราะว่า การที่ถือพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่ถือ ไม่เป็นของสำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ ; อฟ.2:10เพราะว่า เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ หนุนให้เกิดความชัดเจนในเรื่อง พระคุณ และการทำดี ว่า เหตุฉะนั้น จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่า การกลับใจใหม่จะแสดงผลของมันออกมา การกลับใจใหม่ที่แท้จริงจะแสดงผลออกมาเป็นชีวิตที่ถูกเปลี่ยนแปลง นั้นก็หมายความว่าจำเป็นต้องกลับใจใหม่จริงๆเพราะว่า การที่ถือพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่ถือ ไม่เป็นของสำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ” ในพระเยซูคริสต์การเข้าหรือไม่เข้าพิธีสุหนัตไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันไม่มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญก็คือ “การเป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์” (ยน.3:3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ (หรือ จากเบื้องบน) ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้") นี่แหล่ะคือประเด็นสำคัญ เป็นข้อสรุปของความเชื่อแบบคริสเตียน พวกเราต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ ดังนั้นการเข้าหรือไม่เข้าสุหนัตก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว เพราะว่า เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ” ย้ำ เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์” พระองค์ไม่เพียงแต่ช่วยพวกเราให้รอดเท่านั้น แต่พระองค์ทรงสร้างเราให้เป็นคนใหม่ในพระคริสต์แล้วด้วย ดังนั้นพวกเราได้ถูก “สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดี”พระประสงค์ของพระเจ้าในการช่วยเราให้รอด อย่างหนึ่งก็คือ เพื่อให้เราจะได้ปรมนิบัติพระองค์ พวกเราไม่ได้รอดด้วยการทำดี แต่พวกเรารอดแล้วเพื่อที่เราจะประกอบการดี พระเจ้าจึงได้ทรง ดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ”
                        1คร.15:58 เหตุฉะนั้น พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า ท่านจงตั้งมั่นอยู่ อย่าหวั่นไหว จงปฏิบัติงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า โดยองค์พระผู้เป็นเจ้า การของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้ ; ทต 3:1,8 จงเตือนเขาให้นอบน้อมต่อเจ้าบ้านผ่านเมือง ให้เชื่อฟัง และพร้อมที่จะปฏิบัติงานสัมมาอาชีพใดๆ , 8 คำนี้เป็นคำจริง ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเน้นเรื่องเหล่านี้ เพื่อคนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้อุตส่าห์กระทำการดี (หรือ เลี้ยงชีพชอบ) การเหล่านี้ดี และเป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า แผนการที่ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระองค์ ก็คือ ให้พวกเราดำเนินชีวิตในการปรนนิบัติพระองค์นั่นเอง หากมองในภาพรวมโดยสรุปแล้วคริสเตียนรอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อไม่ใช่การกระทำ แต่คริสเตียนจะพิสูจน์ผลของความเชื่อด้วยการกระทำนั้นเอง

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/