๒ เป็นคำสอนที่หาช่องทางทำบาปโดย “อ้างพระคุณ”
ยด.1:4 เพราะว่า
มีบางคนได้แอบแฝงเข้ามา ซึ่งพระคัมภีร์ได้บ่งไว้นานแล้วว่า
เขาจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างนี้ เขาเหล่านั้นเป็นคนอธรรม
ที่ถือเอาพระคุณของพระเจ้าของเราเป็นเหตุให้กระทำความชั่วช้าลามก และเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์
ผู้ทรงเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว “แอบแฝงเข้ามา”
อ.ยูดาพบว่ามีบางคนในพวกนี้เล็ดลอดเข้ามาโดยที่คริสตจักรทั้งหลายไม่รู้ตัวเลย
ซาตานรู้ว่าไม่สามารถมีชัยต่อคริสตจักรได้
พวกมันจึงแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรเพื่อบิดเบือนความจริง “คนอธรรม” “ถือเอาพระคุณของพระเจ้าเป็นเหตุให้กระทำความชั่วช้าลามก”
กลุ่มผู้สอนเท็จมักจะทึกทักเอาเองว่าความรอดโดยพระคุณ
ทำให้พวกเขามีสิทธิ์ทำบาปได้ไม่ยั้ง
ซึ่งอาจเป็นเพราะพระเจ้าทรงพระคุณและจะอภัยโทษบาปทั้งสิ้น
หรือไม่ก็เป็นเพราะทำบาปแล้วจะยิ่งทำให้พระคุณพระเจ้ายิ่งใหญ่ขึ้น
อ.เปาโลต่อต้านคำสอนเท็จนี้
ในพระคำ รม.5:20 เมื่อมีธรรมบัญญัติ
ก็ทำให้มีการละเมิดธรรมบัญญัติปรากฏมากขึ้น แต่ที่ใดมีบาปปรากฏมากขึ้น
ที่นั้นพระคุณก็จะไพบูลย์ยิ่งขึ้น ; 6:1-2ถ้าเช่นนั้นแล้ว
เราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ 2 อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย
พวกเราที่ตายต่อบาปแล้ว จะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้ “ธรรมบัญญัติ” การที่ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเพิ่มเข้ามานั้น ธรรมบัญญัติจะช่วยบ่งบอกว่าอะไรเป็นบาป
และระบุว่าผู้ที่กระทำบาปก็มีความผิด ด้วยเหตุนี้เมื่อธรรมบัญญัติปรากฏขึ้น
ความบาปซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วก็ถูกให้คำจำกัดความที่ชัดเจนขึ้น และถือว่าการกระทำแบบนั้นเป็นความบาป
ดังนั้นความบาปจึงดูเหมือนว่าปรากฏเพิ่มมากขึ้น “แต่ที่ใดมีบาปปรากฏมากขึ้นที่นั้นพระคุณก็จะไพบูลย์ยิ่งขึ้น”
ถึงแม้ว่าธรรมบัญญัติทำให้บาปนั้นดูเหมือนเพิ่มมากขึ้น
โดยการที่ได้กำหนดคำจำกัดความของคำว่า “บาป” แต่เมื่อเทียบกับพระคุณของพระเจ้าแล้วก็มีมากยิ่งกว่าที่จะยกโทษต่อความผิดบาปในชีวิตที่ผ่านมา
ไม่ใช่ว่าโดยพระคุณจะเสริมให้กระทำบาปมากยิ่งขึ้น “ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป”...หรือ?
อ.เปาโลท้าทายความคิดผิดๆ ที่ว่าผู้เชื่อสามารถดำเนินชีวิตในบาปต่อไปได้
และยังคงรอพ้นจากการปรับโทษของพระเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ที่มาทางพระคริสต์
อ.เปาโลโต้ตอบการบิดเบือนต่อคำสอนเรื่อง “พระคุณ”
โดยเน้นรากฐานความจริงประการหนึ่งที่ว่า ผู้เชื่อแท้คือผู้ที่อยู่ “ในพระคริสต์”โดยการรับบัพติสมาเข้าในพระคริสต์
และผู้เชื่อแท้ตายแล้วต่อบาป พวกเขาถูกโยกย้ายจากอาณาจักรของบาปเข้าสู่อาณาจักรแห่งชีวิตกับพระคริสต์
“ตายต่อบาป” นั่นคือความเป็นหนึ่งเดียวของผู้เชื่อกับพระคริสต์
ทั้งในความตายและชีวิตของพระองค์ ฉะนั้นถ้าพวกเราเป็นผู้เชื่อแท้
พวกเราก็ตายต่อบาปแล้วนับแต่การรับบัพติสมาในน้ำ
พวกเราต้องมุ่งดำเนินชีวิตในความจริงที่ว่า
๑
รม.6:5-10 เพราะว่า
ถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์
ในการเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วย 6เราทั้งหลายรู้แล้วว่า
ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป
และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป 7เพราะว่า
ผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป 8 แต่ถ้าเราตายแล้วกับพระคริสต์
เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย 9 เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า พระคริสต์ที่ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้นแล้ว
จะหาตายอีกไม่ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่ 10 ด้วยว่า
ซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้น พระองค์ได้ทรงตายต่อบาปหนเดียวเป็นพอ
แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตสนิทกับพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้าพวกเราตายต่อบาปแล้ว
พวกเราเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงถือว่าตายแล้วกับพระคริสต์บนไม้กางเขน
และฟื้นคืนจากความตาย เช่นเดียวกับการเป็นขึ้นมาขององค์พระเยซูคริสต์
๒
รม.6:14-18,22 เพราะว่า
บาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ
แต่อยู่ใต้พระคุณ 15 ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป
เราจะทำบาปเพราะมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณกระนั้นหรือ
ก็อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย 16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า
ถ้าท่านยอมตัวรับใช้ฟังคำของผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น
คือเป็นทาสของบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย
หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม17 แต่จงขอบพระคุณพระเจ้า
เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นทาสของบาป แต่บัดนี้ ท่านมีใจเชื่อฟังหลักคำสอนนั้น
ซึ่งทรงให้ครอบครองท่าน 18 เมื่อท่านพ้นจากบาปแล้ว
ท่านก็ได้เป็นทาสของความชอบธรรม , 20แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป
และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลสนองที่ท่านได้รับ ก็คือการชำระให้บริสุทธิ์
และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์ พวกเราตายต่อบาปแล้ว
เมื่อบังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณ ได้รับฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์เพื่อต่อต้านบาป
เพื่อดำเนินชีวิตที่ตายต่อบาปทุกวันโดยการประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกาย (รม.8:13 เพราะว่า
ถ้าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังแล้ว ท่านจะต้องตาย
แต่ถ้าโดยฝ่ายพระวิญญาณ ท่านได้ทำลายการของฝ่ายกายเสีย ท่านก็จะดำรงชีวิตได้)
และจะได้มีชีวิตใหม่ที่เชื่อฟังพระเจ้า
๓ รม 6:3-5 ท่านไม่รู้หรือว่า เราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์
ก็ได้รับบัพติศมานั้น เข้าในความตายของพระองค์ 4 เหตุฉะนั้น
เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น
เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย
โดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน5 เพราะว่า
ถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วย พวกเราตายต่อบาปแล้วในการ
บัพติศมาในน้ำ
การบัพติศมาซึ่งกระทำควบคู่ไปกับความเชื่อแท้
เป็นส่วนหนึ่งของการที่เราปฏิเสธบาป และอุทิศตัวแด่พระคริสต์
เป็นผลให้พระคุณและชีวิตของพระเจ้าไหลมายังเราอย่างต่อเนื่อง
การบัพติศมาหมายถึงการร่วมในความตายและการถูกฝังกับพระคริสต์
เพื่อเราจะมีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระชนม์ชีพที่ฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์
เช่นเดียวกับพระคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย สำหรับพวกเราผู้ที่มีความเชื่อแท้ที่นำไปสู่ความรอดในพระองค์ก็จะดำเนินใน“ชีวิตใหม่” แน่นอนเช่นกัน เมื่อพวกเราประกาศตนว่าตายต่อบาป
และอุทิศตนที่จะปฏิเสธบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์
ย่อมแยกออกจากบาปอย่างชัดเจน พวกเราจะไม่ดำเนินชีวิตต่อไปในบาป
ซึ่งในทางกลับกันคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในบาปต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อแท้ รม 6:11-13 เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป
และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ 12 เหตุฉะนั้น
อย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น 13 อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป
ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า
เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว
และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า
อ.เปาโลเน้นว่าไม่มีใครสามารถเป็นทาสทั้งของบาป
และของพระคริสต์ในเวลาเดียวกันได้ ถ้ายังยอมมอบตัวเองให้แก่บาปผลก็คือ
การปรับโทษและความตายนิรันดร์ (ม 6:23 เพราะว่า
ค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้า คือ
ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา) กลับมาที่ ยด.1:4 “เขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์
ผู้ทรงเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว” ในสมัยของอ.ยูดามีผู้ละทิ้งความเชื่อเปิดเผยตัวในรูปของหลักคำสอนที่เบี่ยงเบนไป
2คร.11:4เพราะว่า
ถ้าคนใดจะมาเทศนาสั่งสอนถึงพระเยซูอีกองค์หนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับที่เราได้เทศนาสั่งสอนนั้น
หรือถ้าท่านจะรับพระวิญญาณ ซึ่งแตกต่างกับที่ท่านได้รับแต่ก่อน
หรือรับกิตติคุณซึ่งแตกต่างกับที่ท่านได้รับไว้แล้ว แหม
ท่านทั้งหลายช่างอดทนสนใจฟังเขาเสียจริงๆ อ.เปาโลพูดอย่างประชดประชัน ถึงพวกถือลัทธิยิวที่เข้ามารังควานคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ พวกนี้เทศนาถึงพระเยซูอื่น
, วิญญาณอื่น และข่าวประเสริฐอื่นที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์
ซึ่งเริ่มตั้งแต่ความพยายามเอาลัทธิยิวมาผสมกับข่าวประเสริฐ
ไปจนถึงลัทธินอสติกที่ปฏิเสธเรื่องการเสด็จมารับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์
ไปจนถึงการแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรยุคต้นโดยลัทธิถือผี
ซึ่งในปัจจุบันก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นข่าวบ่อยๆ เช่นกัน
ในพระคำ
มธ.3:8 เหตุฉะนั้น
จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น ; กท.6:15 เพราะว่า การที่ถือพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่ถือ
ไม่เป็นของสำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ ; อฟ.2:10เพราะว่า เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์
เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ หนุนให้เกิดความชัดเจนในเรื่อง
พระคุณ และการทำดี ว่า “เหตุฉะนั้น จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น” นั่นหมายความว่า
การกลับใจใหม่จะแสดงผลของมันออกมา
การกลับใจใหม่ที่แท้จริงจะแสดงผลออกมาเป็นชีวิตที่ถูกเปลี่ยนแปลง
นั้นก็หมายความว่าจำเป็นต้องกลับใจใหม่จริงๆ “เพราะว่า
การที่ถือพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่ถือ ไม่เป็นของสำคัญอะไร
แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ” ในพระเยซูคริสต์การเข้าหรือไม่เข้าพิธีสุหนัตไม่ได้ช่วยอะไรเลย
มันไม่มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญก็คือ “การเป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์”
(ยน.3:3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า
"เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ (หรือ จากเบื้องบน)
ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้") นี่แหล่ะคือประเด็นสำคัญ เป็นข้อสรุปของความเชื่อแบบคริสเตียน
พวกเราต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์
ดังนั้นการเข้าหรือไม่เข้าสุหนัตก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว “เพราะว่า
เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดี
ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ” ย้ำ “เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์” พระองค์ไม่เพียงแต่ช่วยพวกเราให้รอดเท่านั้น
แต่พระองค์ทรงสร้างเราให้เป็นคนใหม่ในพระคริสต์แล้วด้วย ดังนั้นพวกเราได้ถูก “สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์
เพื่อให้ประกอบการดี”พระประสงค์ของพระเจ้าในการช่วยเราให้รอด
อย่างหนึ่งก็คือ เพื่อให้เราจะได้ปรมนิบัติพระองค์ พวกเราไม่ได้รอดด้วยการทำดี
แต่พวกเรารอดแล้วเพื่อที่เราจะประกอบการดี พระเจ้าจึงได้ทรง “ดำริไว้ล่วงหน้า
เพื่อให้เรากระทำ”
1คร.15:58 เหตุฉะนั้น
พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า ท่านจงตั้งมั่นอยู่ อย่าหวั่นไหว
จงปฏิบัติงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า
โดยองค์พระผู้เป็นเจ้า การของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้ ; ทต 3:1,8 จงเตือนเขาให้นอบน้อมต่อเจ้าบ้านผ่านเมือง ให้เชื่อฟัง
และพร้อมที่จะปฏิบัติงานสัมมาอาชีพใดๆ , 8 คำนี้เป็นคำจริง
ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเน้นเรื่องเหล่านี้
เพื่อคนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้อุตส่าห์กระทำการดี (หรือ เลี้ยงชีพชอบ)
การเหล่านี้ดี และเป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
แผนการที่ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระองค์ ก็คือ
ให้พวกเราดำเนินชีวิตในการปรนนิบัติพระองค์นั่นเอง หากมองในภาพรวมโดยสรุปแล้วคริสเตียนรอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อไม่ใช่การกระทำ
แต่คริสเตียนจะพิสูจน์ผลของความเชื่อด้วยการกระทำนั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น