วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนสุดท้าย)

          4. ควรจำนนต่อพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์อย่างสุดใจ
                   หนุนใจเสริมให้เขา ยอมจำนนและพึ่งพาองค์พระผู้เป็นเจ้า  เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกินหรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารและร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่านหรือเก็บเกี่ยวหรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวลแล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้?[b]28 แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม?จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้นเราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอนเมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 30 ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนั้น ต้นหญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้และพรุ่งนี้ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ31 ฉะนั้นอย่ากังวลว่า เราจะเอาอะไรกิน?’ หรือ เราจะเอาอะไรดื่ม?’ หรือ เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม?’ 32 เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้าขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ 33 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย 34 เพราะฉะนั้นอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีความเดือดร้อนของมันพออยู่แล้ว (มธ.6:25-34) จงอย่ากังวลเราควรยอมมอบชีวิตของเราให้กับพระเจ้า ผู้ทรงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิติและสถานการณ์ของเราได้อย่างอัศจรรย์ พระองค์ย้ำกับเราเสมอว่าให้เราวางภาระ และความกังวลทั้งสิ้นของเราไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรัก ห่วงใย และต้องการจะช่วยเราจริงๆ เพียงแต่เราต้องยอมที่จะฟัง และรับความช่วยเหลือจากพระองค์อย่างเต็มใจ
          “แต่ละคนควรสำรวจการกระทำของตนเองจึงจะมีข้อภาคภูมิใจในตัวเอง โดยไม่ต้องเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะว่าแต่ละคนต้องแบกภาระของตัวเอง”(กท.6:4-5) อย่าไปเปรียบเทียบชีวิตของตนกับผู้อื่นเลย ซึ่งมีหลายคนเชื่อว่าเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจและสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกอยุติธรรมนี้ได้ ก็คือการมองผู้อื่นที่ลำบากหรือด้อยกว่าเรา จริงอยู่อาจช่วยได้ชั่วขณะหนึ่ง ลองถามตนเองว่าวิธีนี้ช่วยเราได้จริงๆ หรือ ทำไมเราไม่ทำวิธีที่กลับกันคือมองขึ้นไปข้างบนเหนือกว่าเรานั้นคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ผู้พร้อมที่จะช่วยเหลือเราเสมอ และพระองค์ก็มีวิธีการที่จะช่วยเหลือ คนของพระองค์แตกต่างกันด้วย  ดั่งพระสัญญาที่ว่า  ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”(อสย.55:9) พวกเราทุกคนต้องช่วยเหลือพี่น้องเหล่านี้ ไม่ใช่ซ้ำเติม เพราะเราทุกคนต่างเป็นอวัยวะที่อยู่ในพระกายเดียวกันเมื่ออวัยวะหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย(1คร.12:12) ไม่ใช่หรือ?
                 ทำไมหนอจึงยังให้แสงสว่างแก่ผู้ที่ทุกข์ลำเค็ญ และให้ชีวิตแก่ผู้ที่ขมขื่นในดวงวิญญาณ? 21 แก่ผู้ที่กระหายหาความตายแต่ไม่พบ ทั้งๆ ที่เขาเสาะหามันยิ่งกว่าขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ 22 ผู้เต็มไปด้วยความเปรมปรีดิ์ และชื่นชมยินดีเมื่อพวกเขาได้ไปถึงหลุมฝังศพ 23 ทำไมยังให้ชีวิต กับชายจนตรอก ผู้ที่พระเจ้าทรงปิดทางออกของชีวิตไว้? 24 เพราะการทอดถอนใจมาถึงข้าแทนข้าวปลาอาหาร เสียงครวญครางของข้าพรั่งพรูออกมาเหมือนสายน้ำ25 สิ่งที่ข้ากลัวได้มาถึงข้า สิ่งที่ข้าหวาดหวั่นเกิดขึ้นกับข้าแล้ว26 ข้าไม่มีสันติสุข ไม่มีความสงบ ข้าไม่ได้พักผ่อน มีแต่ความวุ่นวายเท่านั้น (โยบ3:21-26) โยบใคร่ครวญว่าทำไมคนเหล่านั้นที่ทุกใจยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำไหมผู้ที่ทุกข์ทรมานอย่างนี้ ยังได้รับแสงสว่าง และผู้ที่มีใจขมขื่นได้รับชีวิต โยบรู้สึกว่าในตัวของเขามืดมิดมาก แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังส่องสว่างบนตัวเขา เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ปล่อยให้เขาตายไปเสีย โยบรู้สึกว่าราวกับว่าพระเจ้ากักขังเขาไว้เพื่อให้แน่นใจว่าเขาจะไม่ตาย มีชีวิตเหมือนอยู่ในคุกมืด พระเจ้าป้อนความเจ็บปวดและน้ำตาให้แก่เขา พระองค์จะไม่ปล่อยเขาได้พักสงบ นี้เป็นจุดทดสอบความเชื่อของโยบเป็นอย่างมาก เขาระมัดระวังเสมอที่จะไหว้วัตถุสิ่งของ ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนการทรงสถิตและความโปรดปรานของพระเจ้า ได้ละออกห่างจากตัวเขาไป โยบเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่โยบก็ไม่ได้แช่งสาปพระเจ้า เขายังอธิษฐานต่อพระองค์เพื่อทูลขอพระเมตตา และการปลดปล่อย(โยบ6:8-9)  เพราะ38 ...ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว[n]ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” (รม.8:38-39) มนุษย์มีขีดจำกัดที่จะเข้าใจน้ำพระทัยแห่งความรักของพระเจ้าได้ โดยพระสัญญาของพระองค์ที่ถ่ายทอดจากการสอนของอ.เปาโลนั้น พระองค์สอนว่าไม่มีอะไรพรากเราไปจากความรักชองพระเจ้าได้
          โดยภาพรวมของพระคำตอนนี้มุ่งหนุนจิตชูใจเราให้ ประพฤติตนเป็นเพื่อนที่ดี เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน มองตนเองอย่างมีคุณค่า  มอบถวายชีวิตให้แก่พระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอย่างไรต่อชีวิตก็ตาม เพราะโดยพระสัญญาของพระเจ้าแล้วพระองค์จะ   ไม่มีการทดลองใดๆ มาถึงท่านนอกจากการทดลองที่เกิดกับมนุษย์ทั่วไป และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ แต่เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้ท่านมีทางออกด้วยเพื่อท่านจะยืนหยัดได้ภายใต้การทดลอง” (คร.10:13) ...เอเมน 

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนหก)

          2. ควรแสดงความรักด้วยการกระทำ
        นอกจากคำพูดที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจอันจริงใจ คำปลอบโยนและการอธิษฐานเผื่อ ร้องวิงวอนกับพระเจ้าเพื่อเขา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากและขาดไม่ได้แล้ว เรายังต้องแสดงความรักความห่วงใยของเรากับเขาอย่างเป็นรูปธรรมด้วย ใช่แค่พูดว่า “โอ้! น่าเห็นใจจริงๆ ฉันจะอธิษฐานเผื่อทุกวันนะ” แล้วก็จบกันไป  พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ15 สมมุติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน 
16 ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่นและอิ่มหนำเถิดแต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขาจะมีประโยชน์อันใด17 เช่นกันความเชื่อเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการ
กระทำก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์[d](ยก.2:14-17) อ.ยากอบได้เตือนและหนุนใจพี่น้องคริสเตียนไว้ว่าความเชื่อต้องสำแดงออกด้วยการกระทำ ดังเมื่อเชื่อว่าพระเจ้าเป็นความรัก ในฐานะสาวกก็ควรสำแดงความรักออกมาเป็นการกระทำต่อพี่น้อง ดังนั้นอะไรที่เราสามารถช่วยเขาได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนเราก็ควรจะทำ และทำอย่างดีที่สุด โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย กำลังกายและมันสมองของเรา บ้างครั้งเขาอาจจะไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการที่เรายอมสละเวลา ละจากงานที่ทำอยู่สักครู่มารับฟังเขาก็ได้ “เหตุฉะนั้นเมื่อมีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ” (กท.6:16)
          3. ควรใช้พระคำหนุนใจอย่างถูกต้อง
                   พระคำของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจเพราะ “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับย่างก้าวของข้าพระองค์เป็นแสงสว่างส่องทางของข้าพระองค์” (สดด.119:105) และ  เพราะว่าพระดำรัสของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณข้อต่อและไขกระดูก วินิจฉัยความคิดและท่าทีในใจ” (ฮบ.4:12) พระคำของพระเจ้าเป็นโคมส่องทางสำหรับคริสเตียนในการดำเนินชีวิต เป็นดาบที่ใช้รุกไล่และฟาดฟันศัตรู และเป็นอาหารที่บำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณผู้ที่กระหายและรักพระคำพระเจ้าจะได้สติปัญญา พบสันติสุข และมีชีวิตที่สัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับพระบิดา ดังนั้นเราต้องตั้งใจศึกษา ใคร่ครวญ ตีความ และนำไปใช้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าเราอ่านและศึกษาพระคัมภีร์อย่างมักง่ายขอไปที ตีความเข้าข้างตัวเอง เล็งแต่ข้อที่ชอบ หาคำตอบแบบสุ่ม และขาดความเข้าใจในภูมิหลัง ภัยจะมาถึงตัวแน่นอน ซาตานสามารถใช้ความเข้าใจผิดของเราโจมตีเราได้เช่นกัน เพราะมันเองก็รู้พระคัมภีร์ไม่น้อยเลย แล้วมารนำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์และให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหาร แล้วทูลว่า ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าจงกระโดดลงไปเถิด เพราะมีคำเขียนไว้ว่า“ ‘พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ให้ดูแลท่านทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่านเพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน (มธ.4:5-6) ซาตานเคยพยายามใช้ข้อพระคัมภีร์ล่อลวงให้พระเยซูคริสต์กระโดนลงมาจากยอดหลังคาพระวิหาร ด้วยอ้างว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะปกป้องพระองค์ให้พ้นอันตรายทั้งปวง แต่องค์พระเยซูคริสต์เองก็ใช้พระคัมภีร์โต้ตอบไปเช่นกัน “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน (มธ.4:7) ในที่สุดซาตานก็ต้องล่าถอยไป

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนห้า)


         โยบยังคร่ำครวญถึงชีวิตตัวเองต่อไป 11 ทำไมหนอข้าจึงไม่ตายตั้งแต่เกิด? ทำไมไม่สิ้นลมตั้งแต่คลอด? 12 ทำไมหนอจึงมีตักที่รองรับข้าไว้มีอ้อมอกที่เลี้ยงดู? 13 ไม่เช่นนั้นป่านนี้ข้าคงได้นอนอย่างสงบ ข้าคงได้หลับและพักอย่างสบาย 14 กับบรรดากษัตริย์และที่ปรึกษาของโลก ผู้สร้างสถานที่สำหรับตนซึ่งบัดนี้ปรักหักพัง 15 กับบรรดาผู้ครอบครองซึ่งมีเงินทองเต็มบ้าน 16 ทำไมหนอข้าจึงไม่ถูกดินกลบหน้าเหมือนทารกที่ตายตั้งแต่ยังไม่คลอด ที่ไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวัน? 17 ที่นั่นคนชั่วหยุดวุ่นวาย และคนเหนื่อยอ่อนก็ได้พักสงบ 18 เชลยอยู่อย่างสบาย ไม่ได้ยินเสียงตะคอกจากนายทาสอีกต่อไป 19 ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยอยู่ที่นั่น และทาสก็เป็นอิสระจากนาย(โยบ3:11-19) โยบทุกข์ทรมานแสนสาหัสทางร่างกาย นอกจากนี้เขายังโศกเศร้าที่สูญเสียครอบครัวและทรัพย์สินไป ไม่แปลกเลยที่โยบคิดอยากตาย เหมือนกับบรรดากษัตริย์และเจ้านายที่มีชีวิตอยู่และก็ตาย โยบคิดเสมอว่าตนน่าจะตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา หรืออย่างน้อยก็ตายเลยหลังจากคลอดออกมาไม่นาน โยบคิดว่าในความตายนั้น พวกคนชั่วก็จะไม่ไม่สร้างความลำบากให้แก่คนอื่นอีกต่อไป ในความตายของคนที่เหนื่อยล้าพวกเขาก็จะได้หยุดพัก พวกนักโทษก็ไม่ต้องได้ยินเสียงของผู้คุมที่บีบบังคับต่อไป พวกคนรับใช้ก็เป็นอิสระจากนายของตน และสุดท้ายแล้ว ด้วยความตาย ทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน ที่ผู้ใหญ่และผู้น้อย จะรวมกันอยู่ที่นั้น สภาพจิตใจของโยบสับสนวุ่นวาย เขามีทางเลือกเพียงสองทางคือ เขาจะแช่งด่าพระเจ้าและยอมแพ้ หรือ วางใจในพระเจ้าและรับกำลังจากพระองค์เพื่อสู้ต่อไป
          ทำไมหนอข้าจึงไม่ตายตั้งแต่เกิด? ทำไมไม่สิ้นลมตั้งแต่คลอด?(โยบ3:11) เมื่อผู้เชื่อมีความคิดอยากจะตายนั้น “เหมาะสมหรือไม่” บางครั้งปัญหาการทำมาหากิน และสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ทำให้เกิดความเครียดได้ อย่างรุนแรง และรวดเร็วแก่ทุกคน นำมาซึ่งความรู้สึกซึมเศร้า และอาจทำให้หลายคนคิดฆ่าตัวตาย คนที่คิดฆ่าตัวตายมักจะเกิดอารมณ์ซึมเศร้านำมาก่อน อาการอาจเริ่มต้นจาก อารมณ์เบื่อ ไม่สนุกสนาน ไม่ร่าเริงแจ่มใส ไม่ค่อยสนใจหรืออยากจะทำอะไรแม้แต่ กิจกรรมที่เคยชอบทำหรือเคยเพลิดเพลิน เบื่องาน หรือ เบื่อการเรียน เบื่อคนที่อยู่รอบข้าง เบื่อ โลก เบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่อยากพูดคุยกับใคร ฉุนเฉียวง่าย หงุดหงิด ง่าย กังวลง่าย ท้อแท้ เบื่ออาหาร รับประประทานอะไรไม่อร่อย ไม่มีรสชาติ น้ำหนักลดลงเร็ว นอนไม่หลับหรือหลับ ๆ ตื่นๆ หรือตื่นดึกๆ แล้วนอนหลับต่อไปไม่ได้ สมาธิความจำเสียไป การฝึกและเคลื่อนไหวช้าลง ทำงานหรือเรียนได้ช้าจนเสียงาน รู้สึกตนเองผิด ไม่มีประโยชน์ ไร้ค่า เบื่อชีวิต และคิดอยากตาย อาการเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วในเวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน 
          พระคัมภีร์กล่าวถึงคนสี่คนที่ฆ่าตัวตาย คือ ซาอูล (1 ซามูเอล 31:4) อาหิโธเฟล (2 ซามูเอล 17:23), ซิมรี (1 พงศ์กษัตริย์ 16:18), และยูดาส (มัทธิว 27:5) คนเหล่านี้แต่ละคนชั่วร้ายและเป็นคนบาป พระคัมภีร์มองว่าการฆ่าตัวตายคือการฆ่าคน - นั่นคือ การฆ่าตัวเอง พระเจ้าคือผู้เดียวที่เป็นผู้ตัดสินว่าเมื่อไหร่คน ๆ นั้นจะถึงเวลาตาย และจะตายอย่างไร การนำอำนาจนี้มาใช้เสียเอง พระคัมภีร์ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า ทุกคนจึงควรเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และเฝ้าระวังการฆ่าตัวตาย โดยการสังเกตและ สอบถามคนที่อยู่ใกล้ชิดเสมอเมื่อสงสัยว่าเขาจะเกิดอารมณ์ซึมเศร้าหรือคิดฆ่าตัวตาย ด้วยการ.....
          1. ควรเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
                   “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่าง
ต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจ และความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ฟป.4:6-7) สำหรับผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติที่จะคิดฆ่าตัวตาย เพราะตามปกติคริสเตียนควรจะมีความหวังในพระเจ้า และในพระสัญญาของพระองค์เสมอ แม้ในยามที่ประสบกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเราควรจะมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่กับเรา และไม่ทอดทิ้ง (อสย.49:15) พระองค์จะประทานกำลัง ความชื่นชมยินดี และสันติสุขให้เมื่อเราร้องทูลขอต่อพระองค์คริสเตียนที่คิดฆ่าตัวตาย มักคิดว่าพระเจ้าไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้อีกแล้ว เพราะการอธิษฐานไม่เกิดผลไม่มีคำตอบจากพระเจ้า เขาอ่านพระคัมภีร์แต่พระคำพระเจ้าก็ไม่ได้ให้วิธีการ หรือความช่วยเหลืออะไรเลย เพื่อนพี่น้องก็หาความจริงใจยาก และเหตุผลอื่นๆอีกมากมายที่เขาคิดเอาเอง ในฐานะที่เราเป็นสหายแห่งความเชื่อเดียวกัน ต้องช่างสังเกตและเอาใจใส่ต่อความต้องการของพี่น้องรอบข้าง เหมือนที่องค์พระเยซูคริสต์ได้ทรงสังเกตและเอาใจใส่ตัวเรา

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/