วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนหก)

          2. ควรแสดงความรักด้วยการกระทำ
        นอกจากคำพูดที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจอันจริงใจ คำปลอบโยนและการอธิษฐานเผื่อ ร้องวิงวอนกับพระเจ้าเพื่อเขา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากและขาดไม่ได้แล้ว เรายังต้องแสดงความรักความห่วงใยของเรากับเขาอย่างเป็นรูปธรรมด้วย ใช่แค่พูดว่า “โอ้! น่าเห็นใจจริงๆ ฉันจะอธิษฐานเผื่อทุกวันนะ” แล้วก็จบกันไป  พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ15 สมมุติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน 
16 ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่นและอิ่มหนำเถิดแต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขาจะมีประโยชน์อันใด17 เช่นกันความเชื่อเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการ
กระทำก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์[d](ยก.2:14-17) อ.ยากอบได้เตือนและหนุนใจพี่น้องคริสเตียนไว้ว่าความเชื่อต้องสำแดงออกด้วยการกระทำ ดังเมื่อเชื่อว่าพระเจ้าเป็นความรัก ในฐานะสาวกก็ควรสำแดงความรักออกมาเป็นการกระทำต่อพี่น้อง ดังนั้นอะไรที่เราสามารถช่วยเขาได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนเราก็ควรจะทำ และทำอย่างดีที่สุด โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย กำลังกายและมันสมองของเรา บ้างครั้งเขาอาจจะไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการที่เรายอมสละเวลา ละจากงานที่ทำอยู่สักครู่มารับฟังเขาก็ได้ “เหตุฉะนั้นเมื่อมีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ” (กท.6:16)
          3. ควรใช้พระคำหนุนใจอย่างถูกต้อง
                   พระคำของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจเพราะ “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับย่างก้าวของข้าพระองค์เป็นแสงสว่างส่องทางของข้าพระองค์” (สดด.119:105) และ  เพราะว่าพระดำรัสของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณข้อต่อและไขกระดูก วินิจฉัยความคิดและท่าทีในใจ” (ฮบ.4:12) พระคำของพระเจ้าเป็นโคมส่องทางสำหรับคริสเตียนในการดำเนินชีวิต เป็นดาบที่ใช้รุกไล่และฟาดฟันศัตรู และเป็นอาหารที่บำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณผู้ที่กระหายและรักพระคำพระเจ้าจะได้สติปัญญา พบสันติสุข และมีชีวิตที่สัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับพระบิดา ดังนั้นเราต้องตั้งใจศึกษา ใคร่ครวญ ตีความ และนำไปใช้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าเราอ่านและศึกษาพระคัมภีร์อย่างมักง่ายขอไปที ตีความเข้าข้างตัวเอง เล็งแต่ข้อที่ชอบ หาคำตอบแบบสุ่ม และขาดความเข้าใจในภูมิหลัง ภัยจะมาถึงตัวแน่นอน ซาตานสามารถใช้ความเข้าใจผิดของเราโจมตีเราได้เช่นกัน เพราะมันเองก็รู้พระคัมภีร์ไม่น้อยเลย แล้วมารนำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์และให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหาร แล้วทูลว่า ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าจงกระโดดลงไปเถิด เพราะมีคำเขียนไว้ว่า“ ‘พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ให้ดูแลท่านทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่านเพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน (มธ.4:5-6) ซาตานเคยพยายามใช้ข้อพระคัมภีร์ล่อลวงให้พระเยซูคริสต์กระโดนลงมาจากยอดหลังคาพระวิหาร ด้วยอ้างว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะปกป้องพระองค์ให้พ้นอันตรายทั้งปวง แต่องค์พระเยซูคริสต์เองก็ใช้พระคัมภีร์โต้ตอบไปเช่นกัน “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน (มธ.4:7) ในที่สุดซาตานก็ต้องล่าถอยไป

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น