2.
ควรแสดงความรักด้วยการกระทำ
นอกจากคำพูดที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ
ความเข้าใจอันจริงใจ คำปลอบโยนและการอธิษฐานเผื่อ ร้องวิงวอนกับพระเจ้าเพื่อเขา
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากและขาดไม่ได้แล้ว เรายังต้องแสดงความรักความห่วงใยของเรากับเขาอย่างเป็นรูปธรรมด้วย
ใช่แค่พูดว่า “โอ้! น่าเห็นใจจริงๆ ฉันจะอธิษฐานเผื่อทุกวันนะ” แล้วก็จบกันไป
“ พี่น้องทั้งหลาย
ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ? 15 สมมุติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน
16 ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ไปเถิด
ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่นและอิ่มหนำเถิด” แต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขาจะมีประโยชน์อันใด? 17 เช่นกันความเชื่อเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการ
กระทำก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์[d]”(ยก.2:14-17)
อ.ยากอบได้เตือนและหนุนใจพี่น้องคริสเตียนไว้ว่าความเชื่อต้องสำแดงออกด้วยการกระทำ
ดังเมื่อเชื่อว่าพระเจ้าเป็นความรัก
ในฐานะสาวกก็ควรสำแดงความรักออกมาเป็นการกระทำต่อพี่น้อง
ดังนั้นอะไรที่เราสามารถช่วยเขาได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนเราก็ควรจะทำ
และทำอย่างดีที่สุด โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน อาหาร เสื้อผ้า
ที่อยู่อาศัย กำลังกายและมันสมองของเรา บ้างครั้งเขาอาจจะไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการที่เรายอมสละเวลา
ละจากงานที่ทำอยู่สักครู่มารับฟังเขาก็ได้ “เหตุฉะนั้นเมื่อมีโอกาส
ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ”
(กท.6:16)
3.
ควรใช้พระคำหนุนใจอย่างถูกต้อง
พระคำของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจเพราะ “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับย่างก้าวของข้าพระองค์เป็นแสงสว่างส่องทางของข้าพระองค์”
(สดด.119:105) และ “ เพราะว่าพระดำรัสของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงอานุภาพ
คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณข้อต่อและไขกระดูก
วินิจฉัยความคิดและท่าทีในใจ” (ฮบ.4:12) พระคำของพระเจ้าเป็นโคมส่องทางสำหรับคริสเตียนในการดำเนินชีวิต
เป็นดาบที่ใช้รุกไล่และฟาดฟันศัตรู และเป็นอาหารที่บำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณผู้ที่กระหายและรักพระคำพระเจ้าจะได้สติปัญญา พบสันติสุข
และมีชีวิตที่สัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับพระบิดา ดังนั้นเราต้องตั้งใจศึกษา ใคร่ครวญ
ตีความ และนำไปใช้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าเราอ่านและศึกษาพระคัมภีร์อย่างมักง่ายขอไปที
ตีความเข้าข้างตัวเอง เล็งแต่ข้อที่ชอบ หาคำตอบแบบสุ่ม และขาดความเข้าใจในภูมิหลัง
ภัยจะมาถึงตัวแน่นอน ซาตานสามารถใช้ความเข้าใจผิดของเราโจมตีเราได้เช่นกัน เพราะมันเองก็รู้พระคัมภีร์ไม่น้อยเลย
“แล้วมารนำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์และให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหาร 6 แล้วทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าจงกระโดดลงไปเถิด
เพราะมีคำเขียนไว้ว่า“ ‘พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ให้ดูแลท่านทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่านเพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน (มธ.4:5-6)
ซาตานเคยพยายามใช้ข้อพระคัมภีร์ล่อลวงให้พระเยซูคริสต์กระโดนลงมาจากยอดหลังคาพระวิหาร
ด้วยอ้างว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะปกป้องพระองค์ให้พ้นอันตรายทั้งปวง
แต่องค์พระเยซูคริสต์เองก็ใช้พระคัมภีร์โต้ตอบไปเช่นกัน “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน’
” (มธ.4:7) ในที่สุดซาตานก็ต้องล่าถอยไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น