4.
ควรจำนนต่อพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์อย่างสุดใจ
หนุนใจเสริมให้เขา
ยอมจำนนและพึ่งพาองค์พระผู้เป็นเจ้า “เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกินหรือเอาอะไรดื่ม
หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม
ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารและร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ? 26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่านหรือเก็บเกี่ยวหรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง
แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก
ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ? 27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวลแล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้?[b]28 “แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม?จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร
มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้นเราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอนเมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ
ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 30 ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนั้น
ต้นหญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้และพรุ่งนี้ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ
ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ? 31 ฉะนั้นอย่ากังวลว่า ‘เราจะเอาอะไรกิน?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม?’ หรือ
‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม?’ 32 เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้าขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้
และพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ 33 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย 34 เพราะฉะนั้นอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง
แต่ละวันก็มีความเดือดร้อนของมันพออยู่แล้ว (มธ.6:25-34) จงอย่ากังวลเราควรยอมมอบชีวิตของเราให้กับพระเจ้า
ผู้ทรงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิติและสถานการณ์ของเราได้อย่างอัศจรรย์
พระองค์ย้ำกับเราเสมอว่าให้เราวางภาระ และความกังวลทั้งสิ้นของเราไว้กับพระองค์
เพราะพระองค์ทรงรัก ห่วงใย และต้องการจะช่วยเราจริงๆ เพียงแต่เราต้องยอมที่จะฟัง
และรับความช่วยเหลือจากพระองค์อย่างเต็มใจ
“แต่ละคนควรสำรวจการกระทำของตนเองจึงจะมีข้อภาคภูมิใจในตัวเอง
โดยไม่ต้องเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น 5 เพราะว่าแต่ละคนต้องแบกภาระของตัวเอง”(กท.6:4-5) อย่าไปเปรียบเทียบชีวิตของตนกับผู้อื่นเลย
ซึ่งมีหลายคนเชื่อว่าเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจและสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกอยุติธรรมนี้ได้
ก็คือการมองผู้อื่นที่ลำบากหรือด้อยกว่าเรา จริงอยู่อาจช่วยได้ชั่วขณะหนึ่ง
ลองถามตนเองว่าวิธีนี้ช่วยเราได้จริงๆ หรือ
ทำไมเราไม่ทำวิธีที่กลับกันคือมองขึ้นไปข้างบนเหนือกว่าเรานั้นคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ผู้พร้อมที่จะช่วยเหลือเราเสมอ และพระองค์ก็มีวิธีการที่จะช่วยเหลือ
คนของพระองค์แตกต่างกันด้วย ดั่งพระสัญญาที่ว่า “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”(อสย.55:9) พวกเราทุกคนต้องช่วยเหลือพี่น้องเหล่านี้
ไม่ใช่ซ้ำเติม เพราะเราทุกคนต่างเป็นอวัยวะที่อยู่ในพระกายเดียวกันเมื่ออวัยวะหนึ่งเจ็บ
อวัยวะทั้งหมดก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย(1คร.12:12) ไม่ใช่หรือ?
“ทำไมหนอจึงยังให้แสงสว่างแก่ผู้ที่ทุกข์ลำเค็ญ และให้ชีวิตแก่ผู้ที่ขมขื่นในดวงวิญญาณ?
21 แก่ผู้ที่กระหายหาความตายแต่ไม่พบ ทั้งๆ
ที่เขาเสาะหามันยิ่งกว่าขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ 22 ผู้เต็มไปด้วยความเปรมปรีดิ์ และชื่นชมยินดีเมื่อพวกเขาได้ไปถึงหลุมฝังศพ 23 ทำไมยังให้ชีวิต กับชายจนตรอก ผู้ที่พระเจ้าทรงปิดทางออกของชีวิตไว้?
24 เพราะการทอดถอนใจมาถึงข้าแทนข้าวปลาอาหาร เสียงครวญครางของข้าพรั่งพรูออกมาเหมือนสายน้ำ25 สิ่งที่ข้ากลัวได้มาถึงข้า สิ่งที่ข้าหวาดหวั่นเกิดขึ้นกับข้าแล้ว26 ข้าไม่มีสันติสุข ไม่มีความสงบ ข้าไม่ได้พักผ่อน มีแต่ความวุ่นวายเท่านั้น”
(โยบ3:21-26)
โยบใคร่ครวญว่าทำไมคนเหล่านั้นที่ทุกใจยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำไหมผู้ที่ทุกข์ทรมานอย่างนี้
ยังได้รับแสงสว่าง และผู้ที่มีใจขมขื่นได้รับชีวิต
โยบรู้สึกว่าในตัวของเขามืดมิดมาก แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังส่องสว่างบนตัวเขา
เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ปล่อยให้เขาตายไปเสีย โยบรู้สึกว่าราวกับว่าพระเจ้ากักขังเขาไว้เพื่อให้แน่นใจว่าเขาจะไม่ตาย
มีชีวิตเหมือนอยู่ในคุกมืด พระเจ้าป้อนความเจ็บปวดและน้ำตาให้แก่เขา
พระองค์จะไม่ปล่อยเขาได้พักสงบ นี้เป็นจุดทดสอบความเชื่อของโยบเป็นอย่างมาก
เขาระมัดระวังเสมอที่จะไหว้วัตถุสิ่งของ
ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนการทรงสถิตและความโปรดปรานของพระเจ้า ได้ละออกห่างจากตัวเขาไป
โยบเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่โยบก็ไม่ได้แช่งสาปพระเจ้า
เขายังอธิษฐานต่อพระองค์เพื่อทูลขอพระเมตตา และการปลดปล่อย(โยบ6:8-9) เพราะ“38 ...ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าความตายหรือชีวิต
ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว[n]ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า
ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” (รม.8:38-39)
มนุษย์มีขีดจำกัดที่จะเข้าใจน้ำพระทัยแห่งความรักของพระเจ้าได้
โดยพระสัญญาของพระองค์ที่ถ่ายทอดจากการสอนของอ.เปาโลนั้น
พระองค์สอนว่าไม่มีอะไรพรากเราไปจากความรักชองพระเจ้าได้
โดยภาพรวมของพระคำตอนนี้มุ่งหนุนจิตชูใจเราให้
ประพฤติตนเป็นเพื่อนที่ดี เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน มองตนเองอย่างมีคุณค่า มอบถวายชีวิตให้แก่พระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอย่างไรต่อชีวิตก็ตาม
เพราะโดยพระสัญญาของพระเจ้าแล้วพระองค์จะ “ ไม่มีการทดลองใดๆ มาถึงท่านนอกจากการทดลองที่เกิดกับมนุษย์ทั่วไป
และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ
พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ แต่เมื่อท่านถูกทดลอง
พระองค์จะทรงให้ท่านมีทางออกด้วยเพื่อท่านจะยืนหยัดได้ภายใต้การทดลอง” (คร.10:13) ...เอเมน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น