โยบยังคร่ำครวญถึงชีวิตตัวเองต่อไป
“11 “ทำไมหนอข้าจึงไม่ตายตั้งแต่เกิด? ทำไมไม่สิ้นลมตั้งแต่คลอด?
12 ทำไมหนอจึงมีตักที่รองรับข้าไว้มีอ้อมอกที่เลี้ยงดู?
13 ไม่เช่นนั้นป่านนี้ข้าคงได้นอนอย่างสงบ ข้าคงได้หลับและพักอย่างสบาย
14 กับบรรดากษัตริย์และที่ปรึกษาของโลก ผู้สร้างสถานที่สำหรับตนซึ่งบัดนี้ปรักหักพัง
15 กับบรรดาผู้ครอบครองซึ่งมีเงินทองเต็มบ้าน
16 ทำไมหนอข้าจึงไม่ถูกดินกลบหน้าเหมือนทารกที่ตายตั้งแต่ยังไม่คลอด
ที่ไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวัน? 17 ที่นั่นคนชั่วหยุดวุ่นวาย
และคนเหนื่อยอ่อนก็ได้พักสงบ 18 เชลยอยู่อย่างสบาย
ไม่ได้ยินเสียงตะคอกจากนายทาสอีกต่อไป 19 ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยอยู่ที่นั่น
และทาสก็เป็นอิสระจากนาย(โยบ3:11-19) โยบทุกข์ทรมานแสนสาหัสทางร่างกาย
นอกจากนี้เขายังโศกเศร้าที่สูญเสียครอบครัวและทรัพย์สินไป
ไม่แปลกเลยที่โยบคิดอยากตาย เหมือนกับบรรดากษัตริย์และเจ้านายที่มีชีวิตอยู่และก็ตาย
โยบคิดเสมอว่าตนน่าจะตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา หรืออย่างน้อยก็ตายเลยหลังจากคลอดออกมาไม่นาน
โยบคิดว่าในความตายนั้น พวกคนชั่วก็จะไม่ไม่สร้างความลำบากให้แก่คนอื่นอีกต่อไป
ในความตายของคนที่เหนื่อยล้าพวกเขาก็จะได้หยุดพัก
พวกนักโทษก็ไม่ต้องได้ยินเสียงของผู้คุมที่บีบบังคับต่อไป
พวกคนรับใช้ก็เป็นอิสระจากนายของตน และสุดท้ายแล้ว ด้วยความตาย
ทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน ที่ผู้ใหญ่และผู้น้อย จะรวมกันอยู่ที่นั้น สภาพจิตใจของโยบสับสนวุ่นวาย
เขามีทางเลือกเพียงสองทางคือ เขาจะแช่งด่าพระเจ้าและยอมแพ้ หรือ
วางใจในพระเจ้าและรับกำลังจากพระองค์เพื่อสู้ต่อไป
“ทำไมหนอข้าจึงไม่ตายตั้งแต่เกิด? ทำไมไม่สิ้นลมตั้งแต่คลอด?”(โยบ3:11)
เมื่อผู้เชื่อมีความคิดอยากจะตายนั้น “เหมาะสมหรือไม่” บางครั้งปัญหาการทำมาหากิน
และสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ทำให้เกิดความเครียดได้ อย่างรุนแรง และรวดเร็วแก่ทุกคน
นำมาซึ่งความรู้สึกซึมเศร้า และอาจทำให้หลายคนคิดฆ่าตัวตาย คนที่คิดฆ่าตัวตายมักจะเกิดอารมณ์ซึมเศร้านำมาก่อน
อาการอาจเริ่มต้นจาก อารมณ์เบื่อ ไม่สนุกสนาน ไม่ร่าเริงแจ่มใส
ไม่ค่อยสนใจหรืออยากจะทำอะไรแม้แต่ กิจกรรมที่เคยชอบทำหรือเคยเพลิดเพลิน เบื่องาน
หรือ เบื่อการเรียน เบื่อคนที่อยู่รอบข้าง เบื่อ โลก เบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง
อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่อยากพูดคุยกับใคร ฉุนเฉียวง่าย หงุดหงิด ง่าย กังวลง่าย
ท้อแท้ เบื่ออาหาร รับประประทานอะไรไม่อร่อย ไม่มีรสชาติ น้ำหนักลดลงเร็ว
นอนไม่หลับหรือหลับ ๆ ตื่นๆ หรือตื่นดึกๆ แล้วนอนหลับต่อไปไม่ได้
สมาธิความจำเสียไป การฝึกและเคลื่อนไหวช้าลง ทำงานหรือเรียนได้ช้าจนเสียงาน รู้สึกตนเองผิด
ไม่มีประโยชน์ ไร้ค่า เบื่อชีวิต และคิดอยากตาย
อาการเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วในเวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน
พระคัมภีร์กล่าวถึงคนสี่คนที่ฆ่าตัวตาย
คือ ซาอูล (1 ซามูเอล 31:4) อาหิโธเฟล (2 ซามูเอล 17:23), ซิมรี
(1 พงศ์กษัตริย์ 16:18), และยูดาส
(มัทธิว 27:5) คนเหล่านี้แต่ละคนชั่วร้ายและเป็นคนบาป
พระคัมภีร์มองว่าการฆ่าตัวตายคือการฆ่าคน - นั่นคือ – การฆ่าตัวเอง
พระเจ้าคือผู้เดียวที่เป็นผู้ตัดสินว่าเมื่อไหร่คน ๆ นั้นจะถึงเวลาตาย
และจะตายอย่างไร การนำอำนาจนี้มาใช้เสียเอง พระคัมภีร์ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า ทุกคนจึงควรเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
และเฝ้าระวังการฆ่าตัวตาย โดยการสังเกตและ
สอบถามคนที่อยู่ใกล้ชิดเสมอเมื่อสงสัยว่าเขาจะเกิดอารมณ์ซึมเศร้าหรือคิดฆ่าตัวตาย ด้วยการ.....
1. ควรเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
“อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่าง
ต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน
กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจ
และความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ฟป.4:6-7) สำหรับผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติที่จะคิดฆ่าตัวตาย
เพราะตามปกติคริสเตียนควรจะมีความหวังในพระเจ้า และในพระสัญญาของพระองค์เสมอ
แม้ในยามที่ประสบกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเราควรจะมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่กับเรา และไม่ทอดทิ้ง (อสย.49:15) พระองค์จะประทานกำลัง ความชื่นชมยินดี
และสันติสุขให้เมื่อเราร้องทูลขอต่อพระองค์คริสเตียนที่คิดฆ่าตัวตาย
มักคิดว่าพระเจ้าไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้อีกแล้ว เพราะการอธิษฐานไม่เกิดผลไม่มีคำตอบจากพระเจ้า
เขาอ่านพระคัมภีร์แต่พระคำพระเจ้าก็ไม่ได้ให้วิธีการ หรือความช่วยเหลืออะไรเลย
เพื่อนพี่น้องก็หาความจริงใจยาก และเหตุผลอื่นๆอีกมากมายที่เขาคิดเอาเอง
ในฐานะที่เราเป็นสหายแห่งความเชื่อเดียวกัน
ต้องช่างสังเกตและเอาใจใส่ต่อความต้องการของพี่น้องรอบข้าง
เหมือนที่องค์พระเยซูคริสต์ได้ทรงสังเกตและเอาใจใส่ตัวเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น