อิสราเอลได้ทำพันธสัญญากับพระเจ้า โดยสัญญาว่าจะเชื่อฟังพระองค์
ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าของพวกเขา และพระองค์เองจะทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาด้วย
พร้อมจะประทานกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินคานาอัน และปกป้องพวกเขา
แต่ประชาชนกลับไม่เชื่อฟัง และหันไปหาพระอื่นๆ “ เจ้าจงกล่าวแก่เขาว่า
พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า
คนหนึ่งคนใดที่ไม่เชื่อฟังถ้อยคำในพันธสัญญานี้ให้ผู้นั้นเป็นที่แช่งเถิด
4
ซึ่งเป็นพันธสัญญาที่เราบัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย
ผู้ซึ่งเราได้นำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ จากเตาไฟเหล็ก กล่าวว่าจงฟังเสียงของเรา
และจงกระทำทุกอย่างที่เราบัญชาเจ้าไว้
เจ้าจึงจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า 5 เพื่อเราจะกระทำให้สำเร็จตามคำสาบาน
ซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของเจ้าว่า จะประทานแผ่นดินซึ่งมีน้ำนม
และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์แก่เขา
อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้" แล้วข้าพเจ้าจึงทูลตอบว่า "ข้าแต่พระเจ้า
ขอให้เป็นดังนั้นเถิด" (ยรม.11:3-5) “ให้ผู้นั้นเป็นที่แช่งเถิด”
ใน เฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ยี่สิบแปด ข้อสิบห้าเป็นต้นไปจนจบบทนั้น พระเจ้าทรงตรัสถึงคำแช่งสาปต่างๆ
ซึ่งจะตกแก่อิสราเอลหากพวกเขาเพิกเฉย และไม่เชื่อฟังพันธสัญญา ซึ่งอาจทำให้เราคิดได้ว่าพระเจ้าทรงอารมณ์ร้าย
และพร้อมจะทำลายทุกคนที่ทำผิด แต่เราต้องเข้าใจว่าข้อห้ามเหล่านี้ไม่ใช่คำข่มขู่
แต่เป็นการตักเตือนด้วยความรัก
เปรียบเหมือนพ่อแม่ที่เตือนลูกให้อยู่ห่างจากเตาร้อนๆ
พระเจ้าก็ทรงเตือนให้เราอยู่ห่างจากการกระทำที่อันตราย
เป็นกฎธรรมชาติหากเราทำผิดต่อผู้อื่น พระเจ้าจะทำให้เกิดผลร้ายตามมา
พระเจ้าไม่ได้ทรงปล่อยให้เรารับแต่คำแช่งสาป หรือผลที่ตามมาเพียงอย่างเดียว
เพราะทันทีที่มีคำแช่งสาป พระองค์ก็ประทานพรอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีผลจากการดำเนินชีวิตตามที่พระองค์ตรัสไว้ใน เฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ยี่สิบแปด ข้อหนึ่งถึงข้อสิบสี่
พรเหล่านี้ทำให้เรามีแรงจูงใจที่จะเชื่อฟังบทบัญญัติของพระเจ้า แม้เราอาจจะไม่ได้รับพรในช่วงชีวิตนี้
แต่ผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้าจะพบพระพรที่สมบูรณ์ของพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่ และโลกใหม่
“จงฟังเสียงของเรา
และจงกระทำทุกอย่างที่เราบัญชาเจ้าไว้” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสย้ำถึงสัญญาที่มีระหว่างกันเพื่อเตือนให้ระลึกถึงพระคุณที่พระองค์ได้ประทานให้
“เหตุฉะนี้ ถ้าเจ้าฟังเสียงเรา และรักษาพันธสัญญาของเราไว้
เจ้าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราที่เราเลือกสรรจากท่ามกลางชนชาติทั้งปวง
เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา 6 เจ้าทั้งหลายจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต
และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา
นี่เป็นถ้อยคำที่เจ้าต้องบอกให้คนอิสราเอลฟัง" (อพย.19:5-6) เมื่อพระเจ้าทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์
พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นอย่างทรงฤทธิ์ และเปี่ยมด้วยพระกรุณา
พระองค์จึงได้เสนอทำพันธสัญญากับพวกเขา เงื่อนไขในส่วนของอิสราเอลนั้น คือ (1) เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และ (2)
รักษาพันธสัญญาของพระองค์
อิสราเอลจึงตกลงตามนั้นและตอบพระองค์ว่า ..... "สิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าตรัสนั้น
ข้าพเจ้าทั้งหลายจะกระทำตาม"..... (อพย.19:8) เมื่อพวกเขาดำเนินชีวิตตามเงื่อนไขทั้งสองประการนี้พระเจ้าก็จะประทาน “แผ่นดินซึ่งมีน้ำนม
และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์” นั่นคือดินแดนคานาอันที่จะมอบให้อิสราเอลเพื่อตั้งถิ่นฐาน
และพระเจ้าจะทรงยกให้อิสราเอลเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิต
นั้นคือเป็น กลุ่มชนพิเศษที่จะเข้าถึง และรับใช้พระเจ้าโดยตรง กาลเวลาล่วงเลยมาอิสราเอลหลงออกจากเส้นทางที่ควรจะเป็น
ความยากลำบากต่างๆ ทำให้ ความเชื่อ
และการเชื่อฟังพระเจ้าลดน้อยลง พระองค์จึงได้ส่งผู้รับใช้มาเตือนพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
ความสับสนวุ่นวายในโลกปัจจุบันก็ไม่แพ้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคพันธสัญญาเดิม
แล้วชีวิตของผู้เชื่อที่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าล่ะ....จะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น