วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

จงฟังเสียงของเรา(ตอนสุดท้าย)


                   4 สำแดงชีวิตของการเป็นคริสเตียน ลักษณะชีวิต หรือ อุปนิสัยใหม่ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ ในฐานะที่เป็นบุคคลที่ได้รับการไถ่ ชำระ และได้รับการสร้างใหม่ ที่สะท้อนผ่านความเป็น คริสเตียนหรือ ลูกของพระเจ้าออกไปในแต่ละด้าน ผ่านวิถีชีวิตในกิจวัตรประจำวันนั้น ต้องถือว่า เป็นบทบาท เป็นหน้าที่ และ เป็นความรับผิดชอบ ที่พระเจ้าทรงโปรดมอบให้ ซึ่งคริสเตียนแต่ละคน ควรจะต้อง ใส่ใจ”  ต้อง กระทำ หรือ นำเสนอ ออกไปให้ดีที่สุด เนื่องเพราะ ไม่ว่าจะด้วย การกระทำ คำพูด หรือพฤติกรรมใดๆ  ที่สำแดงออกไป คนทั่วๆ ไปก็มองเห็นและอ่านออกได้ว่า เอาเข้าจริงแล้ว ธาตุแท้ หรือ เบื้องลึก ภายในความคิด และจิตใจของเรานั้นเป็นคนแบบไหน  นิสัยใจคอเป็นเช่นไร “ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย” (กท.5:22-23) เราเคยตรวจสอบความเป็นคริสเตียนที่สำแดงชีวิตแบบพระเยซูคริสต์ตลอดเวลา หรือไม่ ลักษณะชีวิตคริสเตียนแบบใด ที่คนทั่วไปจะมองเห็นพระเยซูในชีวิตของเรา คำตอบ คือ ให้เราดู ผลของพระวิญญาณในชีวิตว่ามีมากน้อยเพียงใด เราเคยกระทำอะไรให้คนอื่นเห็นแล้วขัดแย้งกับพระลักษณะหรือไม่ เช่น ไปทำงานสาย เกี่ยงงาน ทำแต่เฉพาะงานตัวเองเสร็จไม่สนใจคนอื่น, เอาของบริษัทมาใช้ส่วนตัว, ทำผิดกฎระเบียบกฎหมายเพื่อความสะดวกสบาย และการกระทำอื่นๆ ที่ตรงข้ามกับการแสดงออกตามแบบผลขอพระวิญญาณ เป็นต้น เราต้องตระหนักเสมอว่า “แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์” (1 ปต. 2:9) ชีวิตคริสเตียนคือการบังเกิดใหม่ เราจึงไม่ใช่ คนเดิมอีกต่อไป แต่เป็น ลูกแห่งความสว่าง เราต้องใช้ทุกเวลาให้คนอื่นๆมองเห็นพระเจ้าในตัวเรา เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าให้เราเป็นตะเกียงที่ส่องสว่าง ตะเกียงให้ความอบอุ่นท่ามกลางความหนาว ให้แสงสว่างส่องนำทาง ดังนั้นตะเกียงจึงช่วยแก้ปัญหาให้คนหลงทาง โดยพาพวกเขาไปสู่ทางที่ดีขึ้น คือทางของพระเจ้า...มีชีวิตที่ชัดเจนในพระคริสต์”
          การได้รับพระคุณการไถ่จากพระคริสต์ ชีวิตเราก็ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ ศักยภาพและความสามารถที่เคยเสื่อมเสียไป หรือ ทำอะไรไม่ได้เลยนั้น ก็จะไม่มีอีกต่อไป เพราะชีวิตใหม่ที่ได้รับมานั้น เป็นชีวิตที่มีพระเจ้าเข้ามากระทำกิจ ผ่านทางฤทธิ์เดชของพระคำ และ ผ่านผู้นำ-พี่เลี้ยง ที่พระองค์ส่งเข้ามาในชีวิตเราที่เต็มไปด้วยความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตที่ยึดถือพระคำของพระองค์กำกับการกระทำของตน ชีวิตที่ร่วมกันช่วยเหลือสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และชีวิตที่สำแดงการเป็นคริสเตียนอย่างสม่ำเสมอ นั่นเอง หากเราอยากจะมีชีวิตในแบบที่ว่านี้ มีอยู่ทางเลือกเดียว คือ “ถ่อมใจลงยอมรับการสร้างใหม่” ซึ่งทำได้ไม่ยากเลยลองดูสิ  !!        อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

จงฟังเสียงของเรา(ตอนสี่)

                   2 ให้พระคำนำชีวิต “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์” (สดด. 119:105) และ “เพราะว่า ถ้าผู้ใดฟังพระวจนะ และไม่ได้ประพฤติตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตัวในกระจกเงา” (ยก. 1:23) ฝึกฝนตนเองให้รักการอ่าน เรียนรู้ศึกษาพระคำของพระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง...และส่องสว่างออกไป พระคำจะปรับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ให้มีชีวิตที่ดูดีสวยงาม อย่าประพฤติเหมือนการส่องกระจกในยามเช้า กระทำด้วยความรีบเร่ง เพื่อจะไปทำกิจธุระอื่นๆ ในชีวิตประจำวันต่อไป ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับหน้าตาและการแต่งตัวของตนเอง เพราะใจจดจออยู่กับการงานที่จะทำในวันนั้น คนที่แค่ฟังพระคำ และไม่รับมาปลูกฝั่งไว้ในใจ จนถึงขั้นประพฤติตาม ก็จะเป็นเช่นเดียวกับการส่องกระจกในยามเช้า หากเราไม่ใช้พระคำของพระเจ้า ส่องดูชีวิตของเราเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตรงไหนไม่ดี ตรงไหนบกพร่อง ตรงไหนมีจุดด่างดำ และจะแก้ไข จะปรับปรุงให้ดีได้อย่างไร “เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตาย และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูก และไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิด และความมุ่งหมายในใจด้วย” (ฮบ.4:12) พระคำของพระเจ้าไม่เพียงแต่เป็นคำตรัสจากพระเจ้า ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารความคิดเท่านั้น แต่พระคำนั้นมีชีวิต สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต และมีพลังขับเคลื่อน นั้นหมายความว่าพระคำนั้นทำงานภายในตัวเรา เปรียบเหมือนมีดในมือหมอผ่าตัด พระคำเปิดเผยให้เห็นว่าเราเป็นใคร และเราไม่ใช่ใคร ตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในเราทั้งดี และร้าย ดังนั้นเราไม่เพียงต้องฟังพระคำ แต่ต้องยอมให้พระคำขัดเกลาชีวิตเราด้วย พระคำจะเตรียมเราให้พร้อมที่จะรับใช้พระเจ้า พระคำจะนำชีวิตของเรา ช่วยให้เรามีความเข้าใจมากกว่าบรรดาผู้สอนของเรา “ เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา 25 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา 26 แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย 27 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง" (มธ.7:24-27)พระคำจะช่วยไม่ให้เราต้องเสียเวลาในชีวิตไปกับสิ่งที่ไม่ถาวรมั่นคง และไร้สาระ เราต้องศึกษาเพื่อที่เราจะนำความรู้นั้นมาปรับใช้ได้ หาไม่เช่นนั้นมันก็เหมือนกับการกลืนอาหารโดยไม่ได้เคี้ยวแล้วต้องคายออกมาภายหลังร่างกายไม่ได้รับคุณค่าทางอาหารเลย ดังนั้นการศึกษาเรียนรู้ใคร่ครวญพระคำ เปรียบเสมือนการขุดทอง หากเราพยายามเพียงแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ ร่อนตะแกรงไปมาผ่านก้อนหินในลำธารเราก็จะได้แค่เศษทองเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากเรา ขุดอย่างเอาจริงเอาจังเราก็จะได้รับรางวัลคุ้มค่าเหนื่อยแน่นอน
                   3 สามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน “ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต 2 (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดา และได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย) 3 ซึ่งเราได้เห็น และได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์” (1ยน.1:1-3)การสามัคคีธรรมกับคริสเตียนคนอื่นๆ การชุมนุมกันเป็นสิ่งสำคัญของความสัมพันธ์ของพี่น้องคริสเตียน พระคำบอกว่า ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ต้องการทั้ง แนวตั้ง และ แนวนอน รวมกัน นั่นคือ เราต้องมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าซึ่งเป็นแนวตั้ง(1ยน.1:1-2) และสามัคคีธรรมกับผู้เชื่ออื่นๆ ซึ่งเป็นแนวนอน(1ยน.1:3) เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรักพระเจ้า และไม่รักพี่น้อง ถ้าเรามีปัญหาในการรักคริสเตียนคนอื่น เราก็มีปัญหาในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าด้วย “แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน”(มธ.6:15) “การให้อภัยต่อกัน” เป็นหัวใจที่เราควรปฏิบัติต่อกันเพราะพระเจ้าก็จะกระทำเช่นนั้นแก่ชีวิตของเราด้วยเช่นกัน การดูแลตนเองในความรัก และสามัคคีธรรมกับผู้เชื่ออื่น ทำให้เราถ่อมลงจำเพาะพระเจ้า เพื่อว่าพระโลหิตของพระคริสต์จะทรงชำระเราจากความบาปต่อๆ ไป(1 ยน.1:7)

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

จงฟังเสียงของเรา(ตอนสาม)

          องค์พระเยซูคริสต์ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (มธ.5:14-16แสงสว่าง  ในพระคัมภีร์เล็งถึงพระองค์  ดังนั้นในพระคำนี้ทำให้เห็นภาพของ “เมืองที่ตั้งบนภูเขา” ไม่สามารถปิดบังได้  เมื่อจุดตะเกียงภายในบ้านแล้ว ตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน  เราไม่ได้เอาอะไรครอบไว้ เมื่อพระองค์ตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” เราจะต้องเป็นแหล่งพลังสำหรับคนอื่น และฉายแสงเพื่อให้คนอื่นๆ ได้เห็นกิจการดีในตัวเรา ดุจดังพระอาทิตย์ที่ให้ความสว่างแก่โลก  อย่า!! นิ่งเงียบในยามที่เราควรประกาศพระกิตติคุณ อย่าคล้อยตามคนหมู่มาก อย่าปล่อยให้ความผิดบาปบังความสว่างของเรา อย่าละเลยความต้องการของผู้อื่น จงเป็นประภาคารแห่งความจริง ที่จะส่องสว่าง ช่วยขจัดความมืดให้หมดสิ้นไปและทำให้เกิดความสว่าง พระเยซูคริสต์ต้องการให้ผู้ติดตามพระองค์มีชีวิตที่บริสุทธิ์ เพื่อนำคนอื่นให้มาพบพระเจ้า เป็นเหมือนประภาคารที่ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงให้ใครได้ยิน เพียงแต่ส่องสว่างให้ผู้เดินทางได้เห็น ชีวิตของคริสเตียนต้องส่องสว่างให้คนอื่นได้เห็นกิจการดีที่เรากระทำ เพื่อนำทาง ช่วยให้คนอื่นได้มองเห็นทาง และเดินตรงไปยังเป้าหมายอย่างปลอดภัย การประกาศพระกิตติคุณ และการเป็นคริสเตียนจึงมิใช่การเก็บไว้กับตัวเอง หรืออยู่โดยลำพัง แต่ต้องประกาศเรื่องขององค์พระเยซูคริสต์ เพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า  และประภาคารจะช่วยเตือนให้ผู้เดินทางได้รู้ถึงอันตรายข้างหน้า คริสเตียนจึงต้องเป็นเหมือนสัญญาณไฟที่เตือนให้ทราบถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น มีลักษณะผู้นำ ที่ร้อนรนไม่มีความกลัวใดๆ เพื่อเราจะได้เป็นต้นแบบ และเตือนผู้อื่นให้เดินในหนทางที่ถูกต้อง
          ตัวอย่างชีวิตที่ดีในพระคัมภีร์ น่าจะเป็นชีวิตของดาเนียน เมื่อบาบิโลนเข้ายึดกรุงเยรูซาเล็ม และกวาดตอนเชลยไปเป็นจำนวนมาก และกษัตริย์ได้บัญชาให้คัดเลือกเด็กหนุ่มที่มีศักยภาพเข้ามารับการฝึกฝน รวมทั้งเข้าสู่กระบวนการทำลายความเชื่อดั้งเดิม แต่ดาเนียนและเพื่อนๆ ทั้งสามตั้งใจอย่างแน่วแน่ ที่จะยืนหยัด และยอมตายในความเชื่อ มียิวบางคนที่ฝ่าพระบาทได้แต่งตั้งให้จัดธุรกิจในเมืองบาบิโลน คือ ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ข้าแต่พระราชา คนเหล่านี้ไม่เชื่อฟังฝ่าพระบาท เขามิได้ปฏิบัติพระของฝ่าพระบาท หรือนมัสการปฏิมากรทองคำ ซึ่งฝ่าพระบาทได้ทรงตั้งไว้" (ดนล.3:12) ดาเนียนมีจุดยืนที่หนักแน่น และดำเนินชีวิตอย่างดีมากๆ จนคนที่จ้องจะหาเรื่อง ไม่รู้จะจับผิดดาเนียนตรงไหนได้เลย ชีวิตเปโตรและยอห์นก็เช่นกัน เมื่อเขาทั้งสองเริ่มประกาศพระกิตติคุณในเยรูซาเล็ม มีคนเชื่อมากมาย บรรดาปุโรหิต หัวหน้ารักษาพระวิหาร และพวกสะดูสีรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก จึงจับขังคุกและข่มขู่ให้เลิกประกาศ  แต่การกระทำเช่นนี้ ไม่มีผลอะไรกับเขาทั้งสอง เพราะสุดท้ายเปโตรและยอห์น ก็ยังคงรักษาจุดยืนที่หนักแน่ในพระเจ้าเช่นเดิม แล้วพวกเราล่ะจะดำเนินชีวิตในความสว่างเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้...อย่างไร ?
                   1 ต้องใช้ความจริงสู้ "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”  (ยน.14:6) เราต้องเข้าอยู่ในความสว่าง และให้ความสว่างอยู่ในเรา คือพระเยซูคริสต์ เราจึงจะชนะความมืดและมีความสว่างในชีวิตมักจะมีคำถามว่า “เราจะพบพระเจ้าได้อย่างไร”คำตอบก็คือ “โดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น” พระเยซูคริสต์เป็นหนทางสู่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นมนุษย์ การผูกพันชีวิตเราเข้ากับพระองค์ เราก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า จงเชื่อวางใจให้พระเยซูคริสต์นำเราไปถึงพระบิดา แล้วพระพรประเสริฐทั้งสิ้น ของการได้เป็นบุตรของพระเจ้าจะเป็นของเรา

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

จงฟังเสียงของเรา(ตอนสอง)

            อิสราเอลได้ทำพันธสัญญากับพระเจ้า โดยสัญญาว่าจะเชื่อฟังพระองค์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าของพวกเขา และพระองค์เองจะทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาด้วย พร้อมจะประทานกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินคานาอัน และปกป้องพวกเขา แต่ประชาชนกลับไม่เชื่อฟัง และหันไปหาพระอื่นๆ “ เจ้าจงกล่าวแก่เขาว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า คนหนึ่งคนใดที่ไม่เชื่อฟังถ้อยคำในพันธสัญญานี้ให้ผู้นั้นเป็นที่แช่งเถิด 4 ซึ่งเป็นพันธสัญญาที่เราบัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย ผู้ซึ่งเราได้นำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ จากเตาไฟเหล็ก กล่าวว่าจงฟังเสียงของเรา และจงกระทำทุกอย่างที่เราบัญชาเจ้าไว้ เจ้าจึงจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า 5 เพื่อเราจะกระทำให้สำเร็จตามคำสาบาน ซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของเจ้าว่า จะประทานแผ่นดินซึ่งมีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์แก่เขา อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้" แล้วข้าพเจ้าจึงทูลตอบว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอให้เป็นดังนั้นเถิด" (ยรม.11:3-5) “ให้ผู้นั้นเป็นที่แช่งเถิด”  ใน เฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ยี่สิบแปด ข้อสิบห้าเป็นต้นไปจนจบบทนั้น พระเจ้าทรงตรัสถึงคำแช่งสาปต่างๆ ซึ่งจะตกแก่อิสราเอลหากพวกเขาเพิกเฉย และไม่เชื่อฟังพันธสัญญา ซึ่งอาจทำให้เราคิดได้ว่าพระเจ้าทรงอารมณ์ร้าย และพร้อมจะทำลายทุกคนที่ทำผิด แต่เราต้องเข้าใจว่าข้อห้ามเหล่านี้ไม่ใช่คำข่มขู่ แต่เป็นการตักเตือนด้วยความรัก เปรียบเหมือนพ่อแม่ที่เตือนลูกให้อยู่ห่างจากเตาร้อนๆ พระเจ้าก็ทรงเตือนให้เราอยู่ห่างจากการกระทำที่อันตราย เป็นกฎธรรมชาติหากเราทำผิดต่อผู้อื่น พระเจ้าจะทำให้เกิดผลร้ายตามมา พระเจ้าไม่ได้ทรงปล่อยให้เรารับแต่คำแช่งสาป หรือผลที่ตามมาเพียงอย่างเดียว เพราะทันทีที่มีคำแช่งสาป พระองค์ก็ประทานพรอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีผลจากการดำเนินชีวิตตามที่พระองค์ตรัสไว้ใน เฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ยี่สิบแปด ข้อหนึ่งถึงข้อสิบสี่ พรเหล่านี้ทำให้เรามีแรงจูงใจที่จะเชื่อฟังบทบัญญัติของพระเจ้า แม้เราอาจจะไม่ได้รับพรในช่วงชีวิตนี้ แต่ผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้าจะพบพระพรที่สมบูรณ์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่ และโลกใหม่ 
                   “จงฟังเสียงของเรา และจงกระทำทุกอย่างที่เราบัญชาเจ้าไว้” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสย้ำถึงสัญญาที่มีระหว่างกันเพื่อเตือนให้ระลึกถึงพระคุณที่พระองค์ได้ประทานให้ “เหตุฉะนี้ ถ้าเจ้าฟังเสียงเรา และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ เจ้าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราที่เราเลือกสรรจากท่ามกลางชนชาติทั้งปวง เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา 6 เจ้าทั้งหลายจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา นี่เป็นถ้อยคำที่เจ้าต้องบอกให้คนอิสราเอลฟัง" (อพย.19:5-6) เมื่อพระเจ้าทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นอย่างทรงฤทธิ์ และเปี่ยมด้วยพระกรุณา พระองค์จึงได้เสนอทำพันธสัญญากับพวกเขา เงื่อนไขในส่วนของอิสราเอลนั้น คือ (1) เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และ (2) รักษาพันธสัญญาของพระองค์ อิสราเอลจึงตกลงตามนั้นและตอบพระองค์ว่า ..... "สิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าตรัสนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะกระทำตาม"..... (อพย.19:8) เมื่อพวกเขาดำเนินชีวิตตามเงื่อนไขทั้งสองประการนี้พระเจ้าก็จะประทาน “แผ่นดินซึ่งมีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์” นั่นคือดินแดนคานาอันที่จะมอบให้อิสราเอลเพื่อตั้งถิ่นฐาน และพระเจ้าจะทรงยกให้อิสราเอลเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิต นั้นคือเป็น   กลุ่มชนพิเศษที่จะเข้าถึง และรับใช้พระเจ้าโดยตรง กาลเวลาล่วงเลยมาอิสราเอลหลงออกจากเส้นทางที่ควรจะเป็น  ความยากลำบากต่างๆ ทำให้ ความเชื่อ และการเชื่อฟังพระเจ้าลดน้อยลง พระองค์จึงได้ส่งผู้รับใช้มาเตือนพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ความสับสนวุ่นวายในโลกปัจจุบันก็ไม่แพ้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคพันธสัญญาเดิม แล้วชีวิตของผู้เชื่อที่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าล่ะ....จะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้อย่างไร

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/