2
ให้พระคำนำชีวิต “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์
และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์” (สดด. 119:105) และ “เพราะว่า ถ้าผู้ใดฟังพระวจนะ และไม่ได้ประพฤติตาม
ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตัวในกระจกเงา” (ยก. 1:23)
ฝึกฝนตนเองให้รักการอ่าน เรียนรู้ศึกษาพระคำของพระเจ้า
เราก็จะดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง...และส่องสว่างออกไป พระคำจะปรับตัวเรา
แก้ไขตัวเรา ให้มีชีวิตที่ดูดีสวยงาม อย่าประพฤติเหมือนการส่องกระจกในยามเช้า
กระทำด้วยความรีบเร่ง เพื่อจะไปทำกิจธุระอื่นๆ ในชีวิตประจำวันต่อไป
ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับหน้าตาและการแต่งตัวของตนเอง เพราะใจจดจออยู่กับการงานที่จะทำในวันนั้น
คนที่แค่ฟังพระคำ และไม่รับมาปลูกฝั่งไว้ในใจ จนถึงขั้นประพฤติตาม
ก็จะเป็นเช่นเดียวกับการส่องกระจกในยามเช้า หากเราไม่ใช้พระคำของพระเจ้า
ส่องดูชีวิตของเราเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตรงไหนไม่ดี ตรงไหนบกพร่อง
ตรงไหนมีจุดด่างดำ และจะแก้ไข จะปรับปรุงให้ดีได้อย่างไร “เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตาย
และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ
ตลอดข้อกระดูก และไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิด และความมุ่งหมายในใจด้วย” (ฮบ.4:12) พระคำของพระเจ้าไม่เพียงแต่เป็นคำตรัสจากพระเจ้า
ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารความคิดเท่านั้น แต่พระคำนั้นมีชีวิต
สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต และมีพลังขับเคลื่อน นั้นหมายความว่าพระคำนั้นทำงานภายในตัวเรา
เปรียบเหมือนมีดในมือหมอผ่าตัด พระคำเปิดเผยให้เห็นว่าเราเป็นใคร และเราไม่ใช่ใคร
ตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในเราทั้งดี และร้าย ดังนั้นเราไม่เพียงต้องฟังพระคำ
แต่ต้องยอมให้พระคำขัดเกลาชีวิตเราด้วย พระคำจะเตรียมเราให้พร้อมที่จะรับใช้พระเจ้า
พระคำจะนำชีวิตของเรา ช่วยให้เรามีความเข้าใจมากกว่าบรรดาผู้สอนของเรา “ เหตุฉะนั้น
ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา
สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา 25 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น
แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา 26 แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา
และไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย 27
ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง
และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง" (มธ.7:24-27)พระคำจะช่วยไม่ให้เราต้องเสียเวลาในชีวิตไปกับสิ่งที่ไม่ถาวรมั่นคง
และไร้สาระ เราต้องศึกษาเพื่อที่เราจะนำความรู้นั้นมาปรับใช้ได้
หาไม่เช่นนั้นมันก็เหมือนกับการกลืนอาหารโดยไม่ได้เคี้ยวแล้วต้องคายออกมาภายหลัง…
ร่างกายไม่ได้รับคุณค่าทางอาหารเลย ดังนั้นการศึกษาเรียนรู้ใคร่ครวญพระคำ
เปรียบเสมือนการขุดทอง หากเราพยายามเพียงแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ “ร่อนตะแกรงไปมาผ่านก้อนหินในลำธาร” เราก็จะได้แค่เศษทองเล็ก
ๆ น้อย ๆ แต่หากเรา ‘ขุดอย่างเอาจริงเอาจัง” เราก็จะได้รับรางวัลคุ้มค่าเหนื่อยแน่นอน
3
สามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน “ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล
ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น
เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต 2 (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน
และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดา
และได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย) 3 ซึ่งเราได้เห็น และได้ยินนั้น
เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย
เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดา
และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์” (1ยน.1:1-3)การสามัคคีธรรมกับคริสเตียนคนอื่นๆ การชุมนุมกันเป็นสิ่งสำคัญของความสัมพันธ์ของพี่น้องคริสเตียน พระคำบอกว่า ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ต้องการทั้ง
“แนวตั้ง” และ “แนวนอน” รวมกัน นั่นคือ
เราต้องมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าซึ่งเป็นแนวตั้ง(1ยน.1:1-2) และสามัคคีธรรมกับผู้เชื่ออื่นๆ ซึ่งเป็นแนวนอน(1ยน.1:3) เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรักพระเจ้า และไม่รักพี่น้อง ถ้าเรามีปัญหาในการรักคริสเตียนคนอื่น
เราก็มีปัญหาในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าด้วย “แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์
พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน”(มธ.6:15) “การให้อภัยต่อกัน” เป็นหัวใจที่เราควรปฏิบัติต่อกันเพราะพระเจ้าก็จะกระทำเช่นนั้นแก่ชีวิตของเราด้วยเช่นกัน
การดูแลตนเองในความรัก และสามัคคีธรรมกับผู้เชื่ออื่น ทำให้เราถ่อมลงจำเพาะพระเจ้า
เพื่อว่าพระโลหิตของพระคริสต์จะทรงชำระเราจากความบาปต่อๆ ไป(1 ยน.1:7)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น