วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คืนดี...ปรองดอง(ตอนสี่)

           “จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่าง อยู่ห่างไกลจากท่านเถิด 32 และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”
(อฟ.4:31-32) อ.เปาโลยืนยันว่า ความขมขื่น ความเกรี้ยวกราด และความโกรธแค้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สมควรมีอยู่ในชีวิตของผู้ที่เรียกตนเองว่าคริสเตียน สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกขจัดออกไปเสีย เราต้องยอมรับความจริงว่า ในทุกความสัมพันธ์จะต้องพบกับวิกฤตการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคนเราเกิดความขุ่นเคืองแล้ว ก็จะเริ่มห่างเหิน ความคิดเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าคำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็ตามมาความสัมพันธ์ก็จะตึงเครียด ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวก็ทำให้การดำเนินชีวิตทนทุกข์ทรมานได้เหมือนกัน และถ้าเราตอบสนองตามใจอยากก็มีแต่จะทำให้ยิ่งแย่ลง หลายครั้งที่เราพยายามแก้ไขปัญหา แต่กลับไม่ได้ผลเอาเสียเลย การแก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกสลายแล้วให้กลับฟื้นคืนดีอีกนั้น นับว่าเป็นเรื่องยากแสนเข็ญ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ในชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ทรงแก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ด้วย พระองค์ทรงรัก พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง พระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์เชื้อเชิญให้คืนดี และพระองค์ทรงยกโทษ ดังนั้นในชีวิตคริสเตียนทุกคนควรจะยึดองค์พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่าง นั้นคือเราควรจัดการกับความสัมพันธ์ที่แตกร้าวด้วย ความรัก ความถ่อมใจ เต็มใจที่จะทนทุกข์ ชักชวนคืนดีกัน และให้อภัยกัน เช่นเดียวกับพระบิดาของเรา
          ความรัก พระเจ้าเป็นความรัก “โดยข้อนี้ ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือ พระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร 10 ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญา ที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา” (1 ยน.4:9-10) แม้เราจะเป็นคนบาปแต่พระเจ้าก็เป็นผู้เริ่มต้นของการคืนดี ด้วยเหตุนี้เราเองควรจะเป็นผู้เริ่มคืนดีกับคนที่เราผิดใจด้วย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย “เหตุฉะนั้น ท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก 2 และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลาย และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวาย และเครื่องบูชาอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”(อฟ.5:1-2) แต่ด้วยเราเป็นบุตรของพระเจ้าเราต้องเลียนแบบพระองค์ การเริ่มต้นที่จะ “ยอมรักเขา” เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ต้องรักด้วยใจจริง(รม.12:9) อดทนไม่แสดงอารมณ์ในทางลบ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิเสธตัวเอง ....."ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบก และตามเรามา" (มธ.16:24) ซึ่งองค์พระเยซูคริสต์เรียกร้องให้เรากระทำ
          ถ่อมใจ  พระเจ้าถ่อมพระองค์ลง พระเจ้าพระบุตร ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์คือ พระเยซูคริสต์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลง ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟป.2:8) พระองค์ไม่ได้เห็นแก่ราชศักดิ์ และสิทธิ์ทั้งปวง พระองค์ไม่ถือสิทธิ์ แต่ทรงห่วงใยเรายิ่งกว่าตัวพระองค์เอง การถ่อมลงเป็นสิ่งสำคัญมากในการซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างเรากับพระเจ้า แม้แต่พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้ายังลดพระองค์ลงเพื่อสร้างสันติกับคนบาปได้ เราก็ต้องลดตัวเองลงเพื่อสร้างสันติกับผู้อื่นได้เช่นกัน “เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้ถูกจำจอง เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจ อันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น 2 คือ จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพ อดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก 3 จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้น ด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ” (อฟ.4:1-3) ความหยิ่งยโสอาจเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดการโต้เถียงกับคนอื่น บางครั้งผู้คนมักมองว่าการสร้างสันติต่อกันเป็นความอ่อนแอ ดังนั้นเราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นคนอ่อนแอจึงปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองโดยการปิดกั้นตัวเองจากคู่กรณี การแสดงท่าทีที่เย็นชาต่อกันเป็นสิ่งไม่ถูกต้องสำหรับคริสเตียน “จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง” นี่เป็นคำสั่งในพระคำของพระเจ้า ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เรามีปัญหากับผู้อื่น “เราควรเข้าหาด้วยใจถ่อม”   
         
อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น