เต็มใจที่จะทนทุกข์ ความบาปได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า
และมีแต่การเสียสละอันเจ็บปวดเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้ทุกอย่างดีขึ้นดังเดิม
พระคำกล่าวว่า“ด้วยว่าพระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ {สำเนาต้นฉบับบางฉบับว่า ทนทุกข์} ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป
คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า
ฝ่ายกายพระองค์จึงสิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์”
(1ปต.3:18)
การที่องค์พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเพื่อสละพระชนม์นั้น
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเสียสละเพื่อเรา พระองค์ทรงอดทนที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์
ซึ่งเราก็ควรกระทำเช่นนั้นด้วย ในความสัมพันธ์ที่แตกร้าว โดยปกติแล้ว
เรามักจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด จากการถูกนินทาว่าร้าย การถูกเข้าใจผิด
และถูกปฏิเสธ แต่หากจะให้ความขัดแย้งระหว่างกันคลี่คลายได้
เราก็ต้องยอมทนความเจ็บปวดในการนี้ให้ได้ ไม่มีใครชอบความเจ็บปวด
แต่ก็คุ้มค่าหากจะทำให้มิตรภาพที่เคยมี กลับมาอีกครั้ง
ชวนมาคืนดีกัน
โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเชื้อเชิญทั้งชาวยิวและชนต่างชาติ
นี่เป็นข้อเสนอแห่งสันติสุข เพราะการเสียสละพระชนม์ชีพของพระบุตร
เป็นโอกาสดีที่จะกลับมาหาพระเจ้า นี่เป็นคำเชิญชวน
ให้เราสนใจและรับข้อเสนอที่จะคืนดีกลับพระองค์ “และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล
และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ 18เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”
(อฟ.2:17-18) นี้เป็นพระคำยืนยันจากพระเจ้า ในความขัดแย้งสิ่งหนึ่งที่ทำได้ยากที่สุดก็คือนั่งลงและพูดกันให้เข้าใจ“หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิดบาปต่อท่าน
จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขา สองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน
ท่านจะได้พี่น้องคืนมา” (มธ.18:15) การหลบหน้ากัน
การระเบิดโทสะใส่กัน ย่อมง่ายกว่าการพูดคุยกันอย่างเงียบๆ
เรามักจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันเพราะ ความอาย ความกลัว และความโกรธ แต่หากเราตั้งใจที่จะแก้ไขเรื่องนี้จริงๆ
เมื่อไหร่ที่เกิดความขัดแย้งเราต้องชวนอีกฝ่ายมาคุยกันในเรื่องนั้นๆ
ว่าจะแก้ไขความไม่ลงรอยนี้ได้อย่างไร
ให้อภัย
เราดื้อ แต่พระเจ้าก็ยังทรงพระกรุณาเรา เราสมควรถูกลงโทษ แต่พระองค์ยังทรงมีพระประสงค์จะสำแดงพระกรุณา
แทนที่พระเจ้าจะทรงถือโทษเรา พระองค์ปรารถนาจะยกโทษให้เราผ่านทางพระบุตรของพระองค์
“ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์
คือได้รับการอภัยโทษบาป ของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์” (อฟ.1:7) ในชีวิตจริงเรามักจะคิดกันว่า “ฉันไม่โกรธหรอก แต่ฉันจะเอาคืน”
ด้วยความคิดแบบนี้จึงยากที่จะเข้าใจพระกรุณาที่เราไม่สมควรได้รับนี้
องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ประสงค์จะเอาคืน
พระองค์ปรารถนาจะนำเราให้กลับมาสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ ในการดำเนินชีวิตนั้นความสัมพันธ์ที่แตกร้าวจะไม่อาจฟื้นคืนได้
หากเราไม่พร้อมที่จะทำสิ่งที่ยากนี้ ต้องเต็มใจและยอมรับคนที่ทำร้ายเรา“และท่านจงเมตตาต่อกัน
มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน
เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”
(อฟ.4:32) การอภัยให้กันและกัน บางครั้งต้องเลือกที่จะยกโทษทั้งๆ
ที่ขัดกับความรู้สึก พระคำกล่าวว่า “แม้ว่าพระเจ้าจะทรงเสียพระทัยและพิโรธเพราะความบาปของเรา(สดด.7:11) แต่พระองค์ก็ทรงเลือกที่จะให้อภัย(อฟ.4:23)” เราต้องทำแบบนี้ต่อกันด้วย ต้องพยายามอย่างจริงจังที่จะพูดคุยแก้ไขกับคู่กรณี
ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ก็ไม่อาจดีดังเดิมได้
แนวทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นทางที่ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อพระองค์ทรงพยายามคืนดีกับเรา
พระองค์ทรงพยายามวางแบบอย่างของความรัก ความถ่อมใจ การทนทุกข์ การเชิญชวน
และการให้อภัย ไว้ หากเรารับพระคุณนี้ แต่กลับปฏิเสธที่จะแสดงน้ำใจอย่างเดียวกันต่อผู้ที่ทำผิดต่อเรา
ก็ถือว่าเราไม่รู้พระคุณอย่างแท้จริงเลยทีเดียว .......Amen.......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น