วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คืนดี...ปรองดอง(ตอนสุดท้าย)

            เต็มใจที่จะทนทุกข์ ความบาปได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า และมีแต่การเสียสละอันเจ็บปวดเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้ทุกอย่างดีขึ้นดังเดิม พระคำกล่าวว่า“ด้วยว่าพระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ {สำเนาต้นฉบับบางฉบับว่า ทนทุกข์} ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า ฝ่ายกายพระองค์จึงสิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์” (1ปต.3:18) การที่องค์พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเพื่อสละพระชนม์นั้น พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเสียสละเพื่อเรา พระองค์ทรงอดทนที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์ ซึ่งเราก็ควรกระทำเช่นนั้นด้วย ในความสัมพันธ์ที่แตกร้าว โดยปกติแล้ว เรามักจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด จากการถูกนินทาว่าร้าย การถูกเข้าใจผิด และถูกปฏิเสธ แต่หากจะให้ความขัดแย้งระหว่างกันคลี่คลายได้ เราก็ต้องยอมทนความเจ็บปวดในการนี้ให้ได้ ไม่มีใครชอบความเจ็บปวด แต่ก็คุ้มค่าหากจะทำให้มิตรภาพที่เคยมี กลับมาอีกครั้ง
          ชวนมาคืนดีกัน โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเชื้อเชิญทั้งชาวยิวและชนต่างชาติ นี่เป็นข้อเสนอแห่งสันติสุข เพราะการเสียสละพระชนม์ชีพของพระบุตร เป็นโอกาสดีที่จะกลับมาหาพระเจ้า นี่เป็นคำเชิญชวน ให้เราสนใจและรับข้อเสนอที่จะคืนดีกลับพระองค์ “และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ 18เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน” (อฟ.2:17-18) นี้เป็นพระคำยืนยันจากพระเจ้า ในความขัดแย้งสิ่งหนึ่งที่ทำได้ยากที่สุดก็คือนั่งลงและพูดกันให้เข้าใจ“หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิดบาปต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขา สองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา” (มธ.18:15) การหลบหน้ากัน การระเบิดโทสะใส่กัน ย่อมง่ายกว่าการพูดคุยกันอย่างเงียบๆ เรามักจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันเพราะ ความอาย ความกลัว และความโกรธ แต่หากเราตั้งใจที่จะแก้ไขเรื่องนี้จริงๆ เมื่อไหร่ที่เกิดความขัดแย้งเราต้องชวนอีกฝ่ายมาคุยกันในเรื่องนั้นๆ ว่าจะแก้ไขความไม่ลงรอยนี้ได้อย่างไร
          ให้อภัย เราดื้อ แต่พระเจ้าก็ยังทรงพระกรุณาเรา เราสมควรถูกลงโทษ แต่พระองค์ยังทรงมีพระประสงค์จะสำแดงพระกรุณา แทนที่พระเจ้าจะทรงถือโทษเรา พระองค์ปรารถนาจะยกโทษให้เราผ่านทางพระบุตรของพระองค์ “ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์” (อฟ.1:7) ในชีวิตจริงเรามักจะคิดกันว่า “ฉันไม่โกรธหรอก แต่ฉันจะเอาคืน” ด้วยความคิดแบบนี้จึงยากที่จะเข้าใจพระกรุณาที่เราไม่สมควรได้รับนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ประสงค์จะเอาคืน พระองค์ปรารถนาจะนำเราให้กลับมาสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ ในการดำเนินชีวิตนั้นความสัมพันธ์ที่แตกร้าวจะไม่อาจฟื้นคืนได้ หากเราไม่พร้อมที่จะทำสิ่งที่ยากนี้ ต้องเต็มใจและยอมรับคนที่ทำร้ายเรา“และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น” (อฟ.4:32) การอภัยให้กันและกัน บางครั้งต้องเลือกที่จะยกโทษทั้งๆ ที่ขัดกับความรู้สึก พระคำกล่าวว่า “แม้ว่าพระเจ้าจะทรงเสียพระทัยและพิโรธเพราะความบาปของเรา(สดด.7:11) แต่พระองค์ก็ทรงเลือกที่จะให้อภัย(อฟ.4:23)” เราต้องทำแบบนี้ต่อกันด้วย ต้องพยายามอย่างจริงจังที่จะพูดคุยแก้ไขกับคู่กรณี ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ก็ไม่อาจดีดังเดิมได้
          แนวทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นทางที่ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อพระองค์ทรงพยายามคืนดีกับเรา พระองค์ทรงพยายามวางแบบอย่างของความรัก ความถ่อมใจ การทนทุกข์ การเชิญชวน และการให้อภัย ไว้ หากเรารับพระคุณนี้ แต่กลับปฏิเสธที่จะแสดงน้ำใจอย่างเดียวกันต่อผู้ที่ทำผิดต่อเรา ก็ถือว่าเราไม่รู้พระคุณอย่างแท้จริงเลยทีเดียว                             .......Amen.......


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น