วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561

ปรับเปลี่ยน

“เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไปนี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
(2 คร.5:17)
           สิ่งที่เราเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องรอให้เวลาผ่าน คือการ “เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ”  ให้กับชีวิต โดยถือโอกาสปีใหม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยเรื่องดีๆ “ทบทวนตัวเอง” คิดย้อนว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาเราดำเนินชีวิตคริสเตียนถึงเป้าหมายที่อยากทำแล้วหรือยัง อยากปรับปรุงอะไรบ้าง ให้เวลากับองค์พระเยซูคริสต์ที่เรารัก และพระองค์ที่รักเรา ด้วยความเร่งรีบหรือเปล่า เราลืมให้เวลา ให้วามสำคัญ กับพระองค์หรือเปล่า  เรียนรู้ตัวเองจากความผิดพลาด ความผิดพลาดทุกอย่าง คือบทเรียนสำหรับเริ่มต้นสิ่งใหม่ องค์พระผู้เป็นเจ้า “ตรัสดังนี้ว่า "อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่าก่อน 19ดูเถิด เรากำลังกระทำสิ่งใหม่ งอกขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ เราจะทำทางในถิ่นทุรกันดาร และแม่น้ำในที่แห้งแล้ง 20สัตว์ป่าทุ่งจะให้เกียรติเรา คือหมาป่าและนกกระจอกเทศ เพราะเราให้น้ำในถิ่นทุรกันดาร ให้แม่น้ำในที่แห้งแล้ง เพื่อให้น้ำดื่มแก่ชนชาติผู้เลือกสรรของเรา 21คือชนชาติที่เราปั้นเพื่อเราเอง เพื่อเขาจะถวายสรรเสริญเรา” (อสย.43:18-21) นี้เป็นพันธกิจองค์พระผู้เป็นเจ้า ในการช่วยกู้ชนชาติอิสราเอล จากการเป็นเชลยที่บาบิโลน เพราะบาปผิดอันมหันต์ของพวกเขา แต่โดยความรักมั่นคงของพระเจ้า พระองค์ทรงให้โอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง  ทรงเป็นพระเจ้าผู้ให้โอกาส ในการเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ในพระเจ้าไม่มีทางตัน ไม่มีจุดจบ ไม่มีสิ้นหวัง สำหรับผู้ที่เชื่อวางใจ
          อย่าดำรงชีวิตด้วยการมองกลับหลังตลอดเวลา เพราะถ้าเราทำแบบนั้นชีวิตเราในปีใหม่ก็คงจะไม่ก้าวหน้าไปไหนเหมือนเดิม เพราะคงไม่มีใครสามารถหันหลังเดินเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้าแน่ๆ 
พระคำในพระธรรม อิสยาห์ 43: 18-19  นี้ ได้เน้นในชนชาติอิสราเอล จงลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว อย่าฝังใจกับอดีตดูเถิด เรากำลังทำสิ่งใหม่ ! มันเริ่มขึ้นแล้ว เจ้าไม่เห็นหรอกหรือ? เรากำลังสร้างทางในถิ่นกันดาร และสายธารต่างๆ ในที่แห้งแล้ง สำหรับคริสเตียนแล้ว พระธรรมตอนนี้ หนุนใจเป็นอย่างมาก ถ้าเรายังยอมให้อดีตอันขมขื่นของเราเสียงดังกว่าพระสัญญาของพระเจ้า  ทุกสิ่งในชีวิตเราก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้  สิ่งที่เราจะต้องลงมือทำก่อนก็คือ  ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว อย่าฝังใจกับอดีต   ให้มองไปข้างหน้า อย่ามองย้อนกลับไปที่อดีต อย่ามัวแต่จ้องมองและร้องไห้คร่ำครวญ อยู่กับประตูบานที่ถูกปิดไปนานแล้ว  พระเจ้าทรงเปิดประตูใหม่ให้เราอีกบาน ที่ใหญ่กว่า กว้างกว่า และดีกว่าเดิม  แต่เราก็ไม่เคยเหลียวมาดู  เพราะยังจดจ่ออยู่กับอดีต กับประตูบานเก่า  จงให้อภัยตัวเองและให้อภัยผู้คนที่ทำให้คุณขมขื่น เพื่อคุณจะได้ก้าวพ้นจากอดีตอันขมขื่นนั้น  และเริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่ดีกว่าที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับคุณ
          พระเจ้านี่แหละ ทรงเป็นผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า ทรงกระทำให้หนทางของข้าพเจ้าดีพร้อม(สดด. 18:32) จดจ่ออยู่กับถ้อยคำพระเจ้า : อ่านพระคัมภีร์  ฟังซีดีเทศนา  เมื่อเราอยู่ติดสนิท กับถ้อยคำพระเจ้า จะทำให้เราลืมอดีตไปได้แต่ไม่ใช่ลืมไปได้เพราะกำลังของตัวคุณเอง แต่เป็นด้วยกำลังของพระเจ้าที่เข้าไปเติมเต็มในความคิด และจิตใจของเรา ไม่ให้เหลือที่ว่างในการคิดคำนึงถึงเรื่องอดีต องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นความสว่าง และความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องเกรงกลัวผู้ใด? องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นที่กำบังแข็งแกร่ง สำหรับชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องหวาดกลัวผู้ใด?”  (สดด. 27: 1)
 ......................................................................................................
อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ตรงไปเลย(ตอนสุดท้าย)

ภายใต้พันธสัญญาเดิม ความรอดและความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้มาโดยความเชื่อที่แสดงออกโดยการเชื่อฟังบทบัญญัติของพระองค์ และระบบการถวายเครื่องบูชา เครื่องบูชาในพันธสัญญาเดิมมีความมุ่งหมาย ๓ ประการคือ ประการแรก พระเจ้าต้องการสอนประชากรของพระองค์ ให้รู้จักความรุนแรงของบาป บาปแยกมนุษย์ออกจากพระเจ้าผู้ซึ่งทรงความบริสุทธิ์ และการคืนดีกันเพื่อที่มนุษย์จะได้รับการอภัยบาปก็โดยทางการหลั่งเลือดเท่านั้น(อพย.๑๒:๓-๑๔) ประการที่สอง เป็นการจัดเตรียมหนทางให้ชนชาติอิสราเอลเข้าหาพระเจ้าได้โดย ความเชื่อ การเชื่อฟัง และความรัก(ฮบ.๔:๑๖) และประการที่สาม เป็นการชี้ให้เห็นหรือเป็นเงาเล็งถึง เครื่องบูชาอันสมบูรณ์ของพระเยซูคริสต์เพื่อไถ่บาปของมวลมนุษย์(๑ปต.๑:๑๘-๑๙) จากเหตุผลประการที่สาม เยเรมีย์พยากรณ์ว่าในอนาคตพระเจ้าจะทรงทำพันธสัญญาใหม่ที่ดีกว่ากับประชากรของพระองค์ “พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ 32ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ 33แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา 34และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตนและพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า 'จงรู้จักพระเจ้า' เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาทั้งหลายอีกต่อไป"(ยรม.๓๑:๓๑-๓๔) เป็นพันธสัญญาที่ดีกว่าเดิม เพราะมีการให้อภัยบาปแก่ผู้กลับใจให้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ให้ใจ และธรรมชาติใหม่ เพื่อเราจะรัก และเชื่อฟังพระองค์โดยไม่ลังเลใจ(ฮบ.๘:๑๐)องค์พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา 7ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์"(ยน.๑๔:๖-๗) พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้สถาปนาพันธสัญญาใหม่ และพระราชกิจในสวรรค์ของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่กว่าการรับใช้ของเหล่าปุโรหิตบนโลกในพันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่เป็นข้อตกลง ที่บ่งบอกพระประสงค์ในการมอบพระคุณ และพระพรของพระเจ้าลงมาเหนือผู้ที่ตอบสนองต่อพระเจ้าด้วยความเชื่อที่เชื่อฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพันธสัญญาแห่งพระสัญญาสำหรับผู้ที่ยอมรับ พระเยซูคริสต์โดยความเชื่อว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า รับพระสัญญาของพระองค์ และอุทิศตนแด่พระองค์ และมีความรับผิดชอบในพันธสัญญาใหม่เป็นการส่วนตัว  
        “เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้แล้วว่า "เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆและเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาลบบาป (ที่เขาได้บูชาตามพระบัญญัตินั้น) พระองค์ไม่ทรงประสงค์และไม่ทรงพอพระทัย 9แล้วพระองค์จึงตรัสว่า "ข้าพระองค์มาแล้วพระเจ้าข้า เพื่อจะกระทำตามน้ำพระทัยพระองค์ พระองค์ทรงยกเลิกระบบเดิมนั้นเสีย เพื่อจะทรงตั้งระบบใหม่ 10และโดยน้ำพระทัยนั้นเองที่เราทั้งหลายได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น 11ฝ่ายปุโรหิตทุกคนก็ยืนปฏิบัติกิจอยู่ทุกวัน โดยการนำเครื่องบูชาอย่างเดียวกันมาถวายเนืองๆเครื่องบูชานั้นจะลบล้างบาปไม่ได้เลย 12แต่เมื่อพระคริสต์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องสัตวบูชา เพราะบาปเพียงครั้งเดียวเป็นเครื่องบูชาที่ลบบาปได้ตลอดไป พระองค์ก็เสด็จประทับเบื้องขวาของพระเจ้า 14โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นถึงความสมบูรณ์เป็นนิตย์”(ฮบ.๑๐:๘-๑๒,๑๔) องค์พระเยซูคริสต์ในฐานะคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ ตั้งอยู่บนพื้นฐานการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชา เครื่องบูชาของพระเยซูคริสต์ดีกว่าเครื่องบูชาในพันธสัญญาเดิม เพราะเป็นเครื่องบูชาที่ถวายด้วยความสมัครใจ และการเชื่อฟังของผู้ชอบธรรมผู้หนึ่งแทนที่จะเป็นสัตว์ที่ไม่ได้สมัครใจเป็นเครื่องถวายบูชา เครื่องบูชาของพระคริสต์ และการกระทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ เป็นสิ่งที่สมบูรณ์ครบถ้วน ดังนั้น จึงเปิดทางไปสู่การอภัยบาป การกลับคืนดี และการชำระให้บริสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุผลนี้ย่อมพูดได้ว่า “พระองค์คือทางที่จะไปถึงที่นั้น” ถึงแม้เราไม่รู้ว่าที่ประทับของพระบิดาอยู่ตรงไหนของจักรวาลนี้ แต่โดยทางพระเยซูคริสต์ เราจะสามารถไปที่นั้นได้ และสามารถเข้าไปอยู่ที่สวรรค์ได้ด้วย เพราะเรารู้จักกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าของสวรรค์ นั้นคือ การที่เรารู้จักพระเยซูคริสต์ก็เท่ากับเรารู้จักกับพระเจ้าด้วย(ยน.๑๔:๗) ..................... เอเมน

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

ตรงไปเลย(ตอนแรก)

แต่เมื่อพระคริสต์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องสัตวบูชา
เพราะบาปเพียงครั้งเดียวเป็นเครื่องบูชาที่ลบบาปได้ตลอดไป
พระองค์ก็เสด็จประทับเบื้องขวาของพระเจ้า (ฮบ.10:12)

บทอ่าน ฮบ.๑๐:๑-๓๙
        เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงดลใจให้ อ.มัทธิว เขียนพระกิตติคุณขึ้น พระกิตติคุณของ อ.มัทธิว ถ่ายทอดออกมาในลักษณะของการเติมเต็มให้สมบูรณ์ พระเยซูคริสต์สำแดงออกมาในฐานะผู้ที่ทำให้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมสำเร็จ เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างพันธสัญญาทั้งสองภาค ระหว่างการเตรียม และการสำเร็จอย่างสมบูรณ์ พระเยซูในฐานะการเติมเต็มที่ทำให้คำพยากรณ์ต่างๆ เป็นจริง คือ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้าที่รอคอยได้มาถึงแล้ว พระเยซูคริสต์ ตรัสว่า“อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มธ.๕:๑๗-๑๘,๒๐)
ในสายตาคนร่วมสมัยกับพระเยซูคริสต์อาจจะดูว่าพระองค์เหมือนจะไม่ให้ความเคารพต่อพระบัญญัติ อย่างเช่น การทำผิดกฎวันสะบาโต การดูถูกกฎของความบริสุทธิ์ที่ได้จากพิธีกรรม และการเมินเฉยต่อบัญญัติของการถืออดอาหาร แต่พระองค์ย้ำว่าพระองค์นั้นเคารพบัญญัติของพระเจ้าเสมอ  เหมือนที่พระองค์ตรัสใน มัทธิวบทที่๕ข้อ๑๗ข้อ๑๘และข้อ๒๐ สาวกของพระองค์เองคงสงสัยเหมือนกันว่าพวกเขาจะชอบธรรมมากกว่าพวกฟาริสีที่เป็นพวกชอบธรรมที่สุดในโลก แล้วด้วยสาเหตุอะไรผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ จึงมีความชอบธรรมมากกว่าพวกที่ชอบธรรมที่สุดในโลก แต่ความชอบธรรมของคริสเตียน ชอบธรรมกว่าของฟาริสีเพราะมีความล้ำลึกมากกว่าพระองค์กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ 22เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า "อ้ายโง่" ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า "อ้ายบ้า" ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก 23เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน 24จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน 25จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ 26เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้กว่าจะได้ใช้หนี้จนครบ 27"ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา 28ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว 29ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวหลงผิด จงควักออกทิ้งเสียเพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวของท่านจะต้องลงนรก30ถ้ามือข้างขวาทำให้หลงผิด จงตัดทิ้งเสียเพราะถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก”(มธ.๕:๒๑-๓๐) สิ่งนี้เป็นความชอบธรรมทางจิตใจ เป็นความชอบธรรมที่ไม่ได้มาจากคำพูด และการกระทำเท่านั้น แต่ด้วยความคิดและจุดมุ่งหมาย ดังนั้นโดยความเข้าใจเช่นนี้พระองค์จึงเป็นส่วนที่เติมเต็มให้แก่ธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงนำไปถึงจุดจบที่สมเหตุสมผล

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ทุกอย่างกำหนด...แล้ว(สุดท้าย)

คนที่พูดว่า ฉันเลือกทางชีวิตของฉันเองได้ ฉันสามารถ เอาชนะอำนาจของความบาปได้คนเช่นนั้นเขาไม่เข้าใจ
ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์  ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ (รม.7:18)อาจารย์เปาโลมอบตัวท่านเป็นแบบสอนพวกเรา เปรียบได้ว่า มนุษย์นั้นตั้งใจจะไม่โลภแต่เมื่อถูกเย้ายวนด้วยเงินทองก็ไม่สามารถ อดใจไว้ได้ เขาตั้งใจจะมีใจบริสุทธิ์แต่ความคิดของเขากลับเต็มไปด้วยความปรารถนาชั่ว ดังคกล่าวที่ว่า ถ้าใต้ถุนเตี้ยเราจะไม่ก้มศีรษะหรือ?” จะเห็นว่าศีลธรรมในใจมนุษย์ได้เสื่อมถอยขณะที่วิทยาศาสตร์กลังก้าวหน้า ยิ่งคุณธรรมของมนุษย์เสื่อมทรามลงมากเท่าใด เขายิ่งหาทางทบาปได้มากขึ้นเท่านั้น มนุษย์ได้หลงทางไปแล้วจริง ๆ
                “ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวง เพราะการละเมิดครั้งเดียวฉันใด การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียว ก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น 19เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาป เพราะคนคนเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรม เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น” (รม.5:18-19) พระเจ้าจัดการกับบาปของเรา  เมื่อเราเชื่อว่า “องค์พระเยซูคริสต์”  ได้ทรงตายแทนเรา และทรงเป็น “พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” พระองค์ก็ทรงรับบาปของเราไปเสีย เมื่อพระเจ้าทรงเอาบาปออกจากตัวเรานั้น พระองค์ทรงแยกมันไว้ห่างไกลมาก ไม่มีทางที่เราจะพบอีกเลย พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราทราบข้อนี้ พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะให้เราหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา ว่า สักวันหนึ่งเราต้องเผชิญกับบาปนั้นอีก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงมีคำสอนที่แสดงให้เราเห็นว่า ความผิดของเราได้หลุดพ้นไปแล้ว และเราจะไม่พบบาปนั้นอีก
                เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้ เราได้ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมอก จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว ( อสย.43:25 ; 44:22) การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเอาความบาปของพวกเราออกไป สุดท้ายแล้วก็เพื่อเห็นแก่พระองค์เองเมื่อพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาในการขจัดความบาปของเรา นั่นก็นำสง่าราศีมาสู่พระนามของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงสัญญาว่า จะไม่จดจำความบาปทั้งหลายของพวกเราเลย พระองค์ตรัสไว้ในฮีบรูว่า เพราะเราจะกรุณาต่อการอธรรมของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาไว้เลย.....และเราจะไม่จดจำบาปกับการอธรรมของเขาทั้งหลายอีกต่อไป” (ฮบ.8:12;10:17พวกเราเคยสังเกตเมฆก้อนใหญ่ในท้องฟ้าบ้างไหม พอเฝ้าดูสักครูหนึ่ง เมฆก้อนนั้นก็สลายตัวไป พระเจ้าได้ทรงจัดการกับ หมอกแห่งบาป ในชีวิตของพวกเรา ด้วยวิธีเดียวกันนี้แหละ พระเจ้าทรงลบล้างบาปของเราให้หมดไปอย่างหมอก จงจดจำไว้ว่าผู้เชื่อทุกคนเป็นของพระองค์ แม้พวกเขาได้หันหลังให้พระองค์ พระองค์ก็ไม่ทรงลืมพวกเขา ช่างเป็นภาพที่ตรงข้ามกันจริงๆ แม้พวกเขาจะได้หลงลืมพระเจ้า พระองค์ก็จะไม่มีวันลืมพวกเขาเลย
                “พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา หรือทรงสนองตามบาปผิดของเรา 11เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่งเท่านั้น 12ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ทรงปลดการละเมิดของเราจากเราไปไกลเท่านั้น 13บิดาสงสารบุตรของตนฉันใด พระเจ้าทรงสงสารบรรดาคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น (สดด.103:10-13) เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาประชากรของพระองค์แล้ว พระองค์ก็คงตีสอนพวกเขาน้อยกว่า ที่พวกเขาสมควรได้รับ ความเมตตาของพระองค์จึงปรากฏชัดเจนในการละเว้น โทษที่ประชากรของพระองค์สมควรจะได้รับ ภาพเปรียบเทียบฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลกที่อยู่ห่างไกลกันแทบจะหาปลายทางไม่ได้ ความเมตตาของพระองค์ก็เป็นเช่นนั้นต่อพวกเขาที่เกรงกลัวพระองค์ หากสังเกตให้ดีความเมตตาของพระเจ้าไม่ได้มีแก่คนทั้งปวง ตรงกันข้ามมันถูกจำกัด เฉพาะแก่คนเหล่านั้นที่เกรงกลัวพระองค์ และไว้วางใจพระองค์ พระองค์ไม่เคยทำให้คนของพระองค์เองผิดหวังเลย ตะวันออกเจอตะวันตกที่ไหน.....จุดจบนั้นหาที่สุดไม่ได้ในระยะทางของมัน เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงเอาความบาปต่างๆ ขอเราทั้งหมดสิ้น ไปแล้ว นี่บอกเป็นในถึงความเมตตายิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการยกโทษ และการนับว่าเป็นคนชอบธรรมดังกล่าว อีกครั้ง เราควรมีหน้าที่ในการถวายสาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยทุกสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา  บิดาผู้ชอบธรรมย่อมจะเปี่ยมเมตตาต่อบุตรทั้งหลายของเขา ก็เช่นเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสงสารต่อคนที่ยำเกรงพระองค์เสมอ

“.....จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง”

(ปญจ.12:13)

วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ทุกอย่างกำหนด...แล้ว(ตอนแรก)


เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่
โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระกรุณาอันไพบูลย์ และ
รับของประทานคือความชอบธรรมก็จะดำรงชีวิต และครอบครองโดย
พระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์
(รม.5:17)
บทอ่าน รม.5:12-21
                ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ผู้คนมากมายที่อยู่ร่วมกัน บางคนก็ยากจน บางคนก็เจ็บป่วย บางคนเกเร กินเหล้าเมามายเหตุที่มนุษย์เราต้องมีสภาพเช่นนี้ ก็เนื่องจากผลของบาป คนเหล่านั้นจมลึกอยู่ในหลุมแห่งความผิด จึงเห็นร่องรอยแห่งความผิดบาป แต่ก็มีบางกลุ่มที่ดูภายนอกแล้ว ประหนึ่งว่า จะไม่ใช่คนบาปเลย บางคนแต่งตัวเรียบร้อยดูสวยงาม สุภาพโอบอ้อมอารี ดูแล้วเป็นสุภาพชนครบบริบูรณ์ ไม่มีอะไรบกพร่อง ลักษณะเช่นนี้ก็น่าจะไม่ใช่คนบาป แต่นั้นเพียงเป็นการมอง จากสภาพภายนอกเท่านั้น เรามองดูจิตใจคนไม่ได้ พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบถึงจิตใจของทุกคน พระเจ้าตรัสว่า เขาทุกคนหลงผิดไปหมด  เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น  ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย” (รม.3:12) บาปเริ่มเข้ามาในโลก ก็ด้วยว่า เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป (รม.5:12) เรื่องราวของ อาดัมและเอวา ในสวนเอเดนนั้น พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างสวนขึ้นก่อน จากนั้นจึงทรงเอาผงคลีดินมาปั้นเป็นกายของอาดัม ระบายลมปรานเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต (ปฐก. 2:7) หลังจากนี้ พระเจ้าทรงสร้างเอวาจากกระดูกซี่โครงของอาดัม ด้วยเหตุนี้ครอบครัวแรกจึงเริ่มขึ้น ลักษณะที่เด่นชัดอย่างหนึ่งของมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลายก็คือมนุษย์มี เจตจานงเสรีที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีอำนาจในการตัดสินใจเลือก มนุษย์อาจจะเลือกกระทำตามพระทัยของพระเจ้า หรือเลือกกระทำตามใจของตนเองก็ได้ เพื่อจะย้ำในเรื่องนี้ พระเจ้าได้ทรงสร้างต้นไม้พิเศษขึ้นต้นหนึ่งในสวนนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในสวนนั้นจะต้องมีต้นไม้นานาชนิดนับเป็นหมื่น ๆ ต้น ซึ่งมีผลอร่อยน่ารับประทาน แต่มีอยู่ต้นเดียวที่เป็น ต้นไม้ต้องห้าม คือต้นที่ชื่อว่า ต้นไม้แห่งความสานึกในความดีและความชั่ว
                พระเจ้าได้ทรงสร้างอาดัม และเอวา ให้มีอิสระที่จะเลือกกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ แต่หากว่าเขาทั้งสองไม่มีโอกาสจะเลือกในทางที่ตรงกันข้ามกับพระประสงค์ของพระองค์แล้ว จะเรียกว่า ให้เลือกได้อย่างไร แต่พระเจ้าได้ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ในอันที่จะให้มนุษย์มีใจปรารถนาที่จะเชื่อฟังพระองค์ พระองค์ทรงสร้างอาดัม และเอวาให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง เขาทั้งสองมีความคิดที่หลักแหลมสุขุมรอบคอบ พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสาหรับมนุษย์ไว้อย่างล้นเหลือ ทรงโปรดประทานอาหารให้อย่างบริบูรณ์ ประทานสภาพดินฟ้าอากาศที่น่าอยู่ที่สุด อาดัมไม่ได้ขาดอะไรเลยสักอย่างเดียวและของประทานขั้นสุดยอดที่พระเจ้าทรงโปรดประทานแก่เขา ก็คือ เอวา คู่อุปถัมภ์ที่น่ารักยิ่ง พระเจ้าทรงมอบงานให้อาดัมทำพระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวน ให้ตกแต่งและรักษาสวน (ปฐก. 2:15) พระเจ้าเสด็จเข้ามาในสวนเพื่อร่วมสามัคคีธรรมกับมนุษย์เป็นประจำ (ปฐก. 3:8) และแล้วการทดสอบก็มาถึง ฝ่ายหนึ่งคือซาตาน อีกฝ่ายหนึ่งก็คือมนุษย์ ผู้มีอำนาจครอบครองเหนือสรรพสิ่ง การทดสอบครั้งนี้ มิใช่เป็นแต่เพียงการทดสอบเพื่อดูว่าอาดัมและเอวาจะกินผลไม้จากต้นที่ต้องห้ามนั้นหรือไม่ แต่เป็นการทดสอบว่าพระราชอำนาจของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดจะมีอำนาจเหนือจิตใจมนุษย์มากกว่ากลอุบายของซาตานหรือไม่  ในที่สุด แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง เมื่อกิเลสของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม 15ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย”(ยก.1:14-15) อาดัมและเอวาไม่พอใจที่จะอยู่ในขอบเขตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้  เขาอยากจะเป็นอิสระเขาจึงละเมิดคำสั่งของพระเจ้า ยากที่มนุษย์คนใดจะเอาชนะ จุดเริ่มต้นแห่งความผิดบาปก็คือ “ความเห็นแก่ตัว” เอวาได้ แตะ เด็ด และกิน ต่อจากนั้นก็ส่งให้อาดัมซึ่งก็ได้รับผลไม้ไปกินเช่นกัน บาปได้เกิดขึ้น และความตายได้เคลื่อนเข้าสู่มนุษยชาติทั้งมวล อาดัมและเอวาได้ขัดขืนต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า ซาตานได้ชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้
                “ความจริงบาปได้มีอยู่ในโลกแล้วก่อนมีธรรมบัญญัติ แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่ถือว่ามีบาป 14อย่างไรก็ตาม ความตายก็ได้ครอบงำตลอดมาตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้คนที่มิได้ทำบาปอย่างเดียวกับการละเมิดของอาดัม ผู้ซึ่งเป็นแบบของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง 15แต่ของประทานแห่งพระคุณนั้นหาเป็นเช่นความละเมิดนั้นไม่ เพราะว่าถ้าคนเป็นอันมากต้องตายเพราะการละเมิดของคนๆเดียว มากยิ่งกว่านั้น พระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณของพระองค์ผู้เดียวนั้น คือพระเยซูคริสต์ ก็มีบริบูรณ์แก่คนเป็นอันมาก 16และของประทานนั้นก็ไม่เหมือนกับผล ซึ่งเกิดจากบาปของคนนั้นคนเดียว เพราะว่าการพิพากษาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการละเมิดเพียงครั้งเดียวนั้น ได้นำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานจากพระเจ้าภายหลังการละเมิดหลายครั้งนั้น นำไปสู่ความชอบธรรม 17เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระกรุณาอันไพบูลย์ และรับของประทานคือความชอบธรรมก็จะดำรงชีวิต และครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์” (รม.5:13-17) อาจารย์เปาโล อธิบายด้วยหลักเหตุผลว่าความบาปมีอยู่ในโลกนี้นานแล้ว ก่อนการมาถึงของพระบัญญัติของโมเสส (หรือบัญญัติใดๆก็ตาม) ก่อนการมาถึงของพระบัญญัติ ความบาปนั้นไม่ถูกนับ แต่ความตายก็ครอบงำตลอดมา  “ความตาย” คือผลของความบาป แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำบาปอย่างเดียวกับ “การละเมิด” ของอาดัมก็ตาม บาปขออาดัมคือการไม่เชื่อฟังพระเจ้า และไปกินผลไม้ต้องห้าม ไม่เคยมีใครได้ทำบาปนี้อีก เพราะหลังจากนั้นพระเจ้าได้ขับไล่พวกเขาทั้งสองออกจากสวนเอเดน แต่กระนั้นคนในรุ่นหลังก็ได้รับผลของบาปเหมือนอาดัมคือ ความตาย ในข้อ14 เป็นแบบของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง ประโยคนี้เป็นแบบเปรียบเทียบในการกระทำระหว่างอาดัมกับพระเยซูคริสต์ อาดัมเหมือนกับพระเยซูคริสต์ตรงที่ว่าสิ่งที่ทั้งสองกระทำเกี่ยวกับมนุษย์ อาดัมเป็นชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง แต่พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ อาดัมเป็นต้นกำเนิดของความบาป ทำให้มนุษย์ทุกคนอยู่ใต้อำนาจของบาป พระเยซูคริสต์เป็นต้นกำเนิดของความชอบธรรม และความชอบธรรมนี้ก็มีอิทธิพลเหนือ มนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนตายในอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็มีชีวิตในพระเยซูคริสต์ ฉันนั้น

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คืนดี...ปรองดอง(ตอนสุดท้าย)

            เต็มใจที่จะทนทุกข์ ความบาปได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า และมีแต่การเสียสละอันเจ็บปวดเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้ทุกอย่างดีขึ้นดังเดิม พระคำกล่าวว่า“ด้วยว่าพระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ {สำเนาต้นฉบับบางฉบับว่า ทนทุกข์} ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า ฝ่ายกายพระองค์จึงสิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์” (1ปต.3:18) การที่องค์พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเพื่อสละพระชนม์นั้น พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเสียสละเพื่อเรา พระองค์ทรงอดทนที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์ ซึ่งเราก็ควรกระทำเช่นนั้นด้วย ในความสัมพันธ์ที่แตกร้าว โดยปกติแล้ว เรามักจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด จากการถูกนินทาว่าร้าย การถูกเข้าใจผิด และถูกปฏิเสธ แต่หากจะให้ความขัดแย้งระหว่างกันคลี่คลายได้ เราก็ต้องยอมทนความเจ็บปวดในการนี้ให้ได้ ไม่มีใครชอบความเจ็บปวด แต่ก็คุ้มค่าหากจะทำให้มิตรภาพที่เคยมี กลับมาอีกครั้ง
          ชวนมาคืนดีกัน โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเชื้อเชิญทั้งชาวยิวและชนต่างชาติ นี่เป็นข้อเสนอแห่งสันติสุข เพราะการเสียสละพระชนม์ชีพของพระบุตร เป็นโอกาสดีที่จะกลับมาหาพระเจ้า นี่เป็นคำเชิญชวน ให้เราสนใจและรับข้อเสนอที่จะคืนดีกลับพระองค์ “และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ 18เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน” (อฟ.2:17-18) นี้เป็นพระคำยืนยันจากพระเจ้า ในความขัดแย้งสิ่งหนึ่งที่ทำได้ยากที่สุดก็คือนั่งลงและพูดกันให้เข้าใจ“หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิดบาปต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขา สองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา” (มธ.18:15) การหลบหน้ากัน การระเบิดโทสะใส่กัน ย่อมง่ายกว่าการพูดคุยกันอย่างเงียบๆ เรามักจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันเพราะ ความอาย ความกลัว และความโกรธ แต่หากเราตั้งใจที่จะแก้ไขเรื่องนี้จริงๆ เมื่อไหร่ที่เกิดความขัดแย้งเราต้องชวนอีกฝ่ายมาคุยกันในเรื่องนั้นๆ ว่าจะแก้ไขความไม่ลงรอยนี้ได้อย่างไร
          ให้อภัย เราดื้อ แต่พระเจ้าก็ยังทรงพระกรุณาเรา เราสมควรถูกลงโทษ แต่พระองค์ยังทรงมีพระประสงค์จะสำแดงพระกรุณา แทนที่พระเจ้าจะทรงถือโทษเรา พระองค์ปรารถนาจะยกโทษให้เราผ่านทางพระบุตรของพระองค์ “ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์” (อฟ.1:7) ในชีวิตจริงเรามักจะคิดกันว่า “ฉันไม่โกรธหรอก แต่ฉันจะเอาคืน” ด้วยความคิดแบบนี้จึงยากที่จะเข้าใจพระกรุณาที่เราไม่สมควรได้รับนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ประสงค์จะเอาคืน พระองค์ปรารถนาจะนำเราให้กลับมาสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ ในการดำเนินชีวิตนั้นความสัมพันธ์ที่แตกร้าวจะไม่อาจฟื้นคืนได้ หากเราไม่พร้อมที่จะทำสิ่งที่ยากนี้ ต้องเต็มใจและยอมรับคนที่ทำร้ายเรา“และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น” (อฟ.4:32) การอภัยให้กันและกัน บางครั้งต้องเลือกที่จะยกโทษทั้งๆ ที่ขัดกับความรู้สึก พระคำกล่าวว่า “แม้ว่าพระเจ้าจะทรงเสียพระทัยและพิโรธเพราะความบาปของเรา(สดด.7:11) แต่พระองค์ก็ทรงเลือกที่จะให้อภัย(อฟ.4:23)” เราต้องทำแบบนี้ต่อกันด้วย ต้องพยายามอย่างจริงจังที่จะพูดคุยแก้ไขกับคู่กรณี ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ก็ไม่อาจดีดังเดิมได้
          แนวทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นทางที่ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อพระองค์ทรงพยายามคืนดีกับเรา พระองค์ทรงพยายามวางแบบอย่างของความรัก ความถ่อมใจ การทนทุกข์ การเชิญชวน และการให้อภัย ไว้ หากเรารับพระคุณนี้ แต่กลับปฏิเสธที่จะแสดงน้ำใจอย่างเดียวกันต่อผู้ที่ทำผิดต่อเรา ก็ถือว่าเราไม่รู้พระคุณอย่างแท้จริงเลยทีเดียว                             .......Amen.......


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

คืนดี...ปรองดอง(ตอนสี่)

           “จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่าง อยู่ห่างไกลจากท่านเถิด 32 และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”
(อฟ.4:31-32) อ.เปาโลยืนยันว่า ความขมขื่น ความเกรี้ยวกราด และความโกรธแค้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สมควรมีอยู่ในชีวิตของผู้ที่เรียกตนเองว่าคริสเตียน สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกขจัดออกไปเสีย เราต้องยอมรับความจริงว่า ในทุกความสัมพันธ์จะต้องพบกับวิกฤตการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคนเราเกิดความขุ่นเคืองแล้ว ก็จะเริ่มห่างเหิน ความคิดเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าคำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็ตามมาความสัมพันธ์ก็จะตึงเครียด ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวก็ทำให้การดำเนินชีวิตทนทุกข์ทรมานได้เหมือนกัน และถ้าเราตอบสนองตามใจอยากก็มีแต่จะทำให้ยิ่งแย่ลง หลายครั้งที่เราพยายามแก้ไขปัญหา แต่กลับไม่ได้ผลเอาเสียเลย การแก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกสลายแล้วให้กลับฟื้นคืนดีอีกนั้น นับว่าเป็นเรื่องยากแสนเข็ญ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ในชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ทรงแก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ด้วย พระองค์ทรงรัก พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง พระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์เชื้อเชิญให้คืนดี และพระองค์ทรงยกโทษ ดังนั้นในชีวิตคริสเตียนทุกคนควรจะยึดองค์พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่าง นั้นคือเราควรจัดการกับความสัมพันธ์ที่แตกร้าวด้วย ความรัก ความถ่อมใจ เต็มใจที่จะทนทุกข์ ชักชวนคืนดีกัน และให้อภัยกัน เช่นเดียวกับพระบิดาของเรา
          ความรัก พระเจ้าเป็นความรัก “โดยข้อนี้ ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือ พระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร 10 ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญา ที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา” (1 ยน.4:9-10) แม้เราจะเป็นคนบาปแต่พระเจ้าก็เป็นผู้เริ่มต้นของการคืนดี ด้วยเหตุนี้เราเองควรจะเป็นผู้เริ่มคืนดีกับคนที่เราผิดใจด้วย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย “เหตุฉะนั้น ท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก 2 และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลาย และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวาย และเครื่องบูชาอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”(อฟ.5:1-2) แต่ด้วยเราเป็นบุตรของพระเจ้าเราต้องเลียนแบบพระองค์ การเริ่มต้นที่จะ “ยอมรักเขา” เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ต้องรักด้วยใจจริง(รม.12:9) อดทนไม่แสดงอารมณ์ในทางลบ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิเสธตัวเอง ....."ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบก และตามเรามา" (มธ.16:24) ซึ่งองค์พระเยซูคริสต์เรียกร้องให้เรากระทำ
          ถ่อมใจ  พระเจ้าถ่อมพระองค์ลง พระเจ้าพระบุตร ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์คือ พระเยซูคริสต์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลง ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟป.2:8) พระองค์ไม่ได้เห็นแก่ราชศักดิ์ และสิทธิ์ทั้งปวง พระองค์ไม่ถือสิทธิ์ แต่ทรงห่วงใยเรายิ่งกว่าตัวพระองค์เอง การถ่อมลงเป็นสิ่งสำคัญมากในการซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างเรากับพระเจ้า แม้แต่พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้ายังลดพระองค์ลงเพื่อสร้างสันติกับคนบาปได้ เราก็ต้องลดตัวเองลงเพื่อสร้างสันติกับผู้อื่นได้เช่นกัน “เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้ถูกจำจอง เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจ อันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น 2 คือ จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพ อดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก 3 จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้น ด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ” (อฟ.4:1-3) ความหยิ่งยโสอาจเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดการโต้เถียงกับคนอื่น บางครั้งผู้คนมักมองว่าการสร้างสันติต่อกันเป็นความอ่อนแอ ดังนั้นเราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นคนอ่อนแอจึงปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองโดยการปิดกั้นตัวเองจากคู่กรณี การแสดงท่าทีที่เย็นชาต่อกันเป็นสิ่งไม่ถูกต้องสำหรับคริสเตียน “จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง” นี่เป็นคำสั่งในพระคำของพระเจ้า ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เรามีปัญหากับผู้อื่น “เราควรเข้าหาด้วยใจถ่อม”   
         
อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/