วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ผู้เลี้ยง (ตอนแรก)

ยน.10:10
ขโมยนั้นย่อมมา เพื่อจะลัก และฆ่า และทำลายเสีย
เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
            คริสตจักร คือ กลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียกออกมาจากความบาปโดยการทรงไถ่(ด้วยความเชื่อ)เพื่อรับพระพรจากพระองค์   (อฟ.1:22-23พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุข เหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือ ซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน ; 1คร.12:25-27เพื่อไม่ให้มีการแก่งแย่งกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนพะวงซึ่งกันและกัน 26ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะอันหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยชื่นชมยินดีด้วย 27ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น) คริสตจักรเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ มีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะและผู้เชื่อแต่ละคนเป็นอวัยวะที่ต้องประสานกัน ขาดกันและกันไม่ได้ มิฉะนั้นส่วนอื่นจะกระทบกระเทือน อวัยวะทุกส่วนเกี่ยวข้องและต้องการซึ่งกันและกันอย่างมาก ดังนั้นเราจึงผูกพันและเห็นความสำคัญของกันและกันและมีใจปรารถนารับใช้กันและกันเสมอ คริสตจักรเคยดำรงอยู่สภาพอย่างสง่างามมาแล้วในอดีต และจะคงไว้ซึ่งความสง่างามต่อไปในอนาคตด้วย คริสตจักรยังคงตั้งอยู่บนโลกที่สับสนวุ่นวาย และพวกเราคริสเตียนทุกคนก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลก ดังนั้นความหวังในเรื่องชีวิตนิรันดร์จะช่วยให้พวกเรามีกำลังใจ
            อฟ.3:8  ทรงโปรดประทานพระคุณนี้แก่ข้าพเจ้า ผู้เป็นคนเล็กน้อยกว่า คนเล็กน้อยที่สุดในพวกธรรมิกชนทั้งหมด ทรงให้ข้าพเจ้าประกาศแก่คนต่างชาติ ถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์อันหาที่สุดมิได้ 9 และทำให้คนทั้งปวง เห็นแผนงานแห่งความล้ำลึก ซึ่งตั้งแต่แรกสร้างโลกทรงปิดบังไว้ที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างสารพัดทั้งปวง 10 ประสงค์จะให้เทพผู้ปกครอง และศักดิเทพในสวรรคสถาน รู้จักปัญญาอันซับซ้อนของพระเจ้าทางคริสตจักร ณ บัดนี้ หนึ่งในเป้าหมายพันธกิจอันหลากหลายของคริสตจักร คือ “คริสตจักรต้องเอาชนะวิญญาณชั่ว” คำว่า สวรรคสถาน” หมายถึงสถานที่ต่อสู้ฝ่ายจิตวิญญาณ ส่วนคำว่า เทพผู้ปกครอง และศักดิเทพ” ก็หมายถึง วิญญาณชั่วร้าย ซึ่งมักชักนำให้ผู้คนหลงไปกระทำในสิ่งที่ชั่วร้าย อ.เปาโลได้ย้ำเตือนให้พวกเรารู้ว่า เป้าหมายของพระเจ้าสำหรับคริสตจักร ก็คือ คริสตจักรจะต้องเอาชนะวิญญาณชั่วร้ายในโลกนี้ให้ได้
            ดังนั้นในพระคำ ยน 10:8-11 บรรดาผู้ที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมย และโจร แต่ฝูงแกะก็มิได้ฟังเขา 9เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเราผู้นั้นก็จะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร 10ขโมยนั้นย่อมมา เพื่อจะลัก และฆ่า และทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ 11เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมเสียสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ “ขโมยและโจร” นั้นมาก็เพื่อจะลัก และฆ่า และทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ ผู้ที่พยายามเข้าไปหาฝูงแกะโดยทางอื่นที่ไม่ใช่ประตูก็เรียกว่าขโมย จุดประสงค์ของพวกเขานั้นไม่จริงใจและเขาอาจใช้ความรุนแรง การทำลายหรือกระทั่งการฆ่าให้ตาย พวกที่ลักขโมยแกะก็เพื่อเอาไปเป็นอาหาร หรือเอาไปขาย องค์พระเยซูคริสต์ทรงเปรียบเทียบพวกผู้นำทางศาสนาว่าเป็นเหมือนขโมย เพราะพวกเขาเสนอทางอื่นที่ไม่ใช่ที่พระองค์ที่ทรงเป็นประตูแห่งความรอด พระธรรมยูดาบันทึกใน ยด.1:3-4 ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ตั้งใจจะเขียนถึงท่านเรื่องความรอดร่วมกัน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า จำเป็นจะต้องเขียนวิงวอนท่านให้ต่อสู้ เพื่อหลักคำสอนที่เชื่อกันอยู่ ที่ได้ทรงโปรดมอบไว้แก่ธรรมิกชนครั้งเดียวเป็นพอนั้น 4 เพราะว่า มีบางคนได้แอบแฝงเข้ามา ซึ่งพระคัมภีร์ได้บ่งไว้นานแล้วว่า เขาจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างนี้ เขาเหล่านั้นเป็นคนอธรรม ที่ถือเอาพระคุณของพระเจ้าของเราเป็นเหตุให้กระทำความชั่วช้าลามก และเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว พวกเราจะเห็นได้ว่าเทคนิคอย่างหนึ่งของซาตาน ที่มันชอบใช้มานานนั้นคือ แอบแฝงแทรกซึมเข้ามาแม้ในสมัยคริสตจักรยุคต้น ซาตานรู้อยู่แล้วว่าประตูนรกไม่อาจมีชัยต่อคริสตจักรได้ ยิ่งมันพยายามกำจัดคริสตจักร คริสตจักรยิ่งแพร่ขยาย ด้วยเหตุนี้ซาตานจึงหันมาใช้เทคนิคที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผล นั้นก็คือ “ถ้าสู้ไม่ได้ก็เป็นพวกเดียวกันเสียเลย” นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซาตานได้พยายามแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรเพื่อบิดเบือนความจริง อ.ยูดาเตือนถึงลักษณะของ “คำสอนผิด” ไว้อย่างน้อย สาม ประการ คือ
                        ๑ เป็นคำสอนที่ลดคุณค่า คำว่า “พระคุณ”
                                    ที่ได้ทรงโปรดมอบไว้แก่ธรรมิกชนครั้งเดียวเป็นพอ” สิ่งที่พระเยซูคริสต์มอบไว้นั่นก็คือพระคำใน 1ปต.3:18 ด้วยว่า พระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ (สำเนาต้นฉบับบางฉบับว่า ทนทุกข์) ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะความผิดบาป คือ พระองค์ผู้ชอบธรรม เพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า ฝ่ายกายพระองค์สิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์ ; ฮบ. 9:26 เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พระองค์คงจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานหลายครั้ง นับตั้งแต่สร้างโลกมา แต่ความจริง พระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้นไป โดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา 27มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่า จะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด 28พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือ พระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียว เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนเป็นอันมากไว้ พระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง มิใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อให้ได้รับความรอด พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ก็ได้รับความรอดพ้นบาป                 พวกที่ลดคุณค่า คำว่า “พระคุณ” มักจะเป็นพวกยิวที่จะสอนในเรื่อง ความรอดด้วยพิธีสุหนัตซึ่งขัดกับคำสอนที่ว่า “รอดด้วยพระคุณ และความเชื่อ” อฟ.2:8-10 ด้วยว่า ซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้น ก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ 9ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ 10เพราะว่า เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ มองเผินๆสิ่งที่ อ.ยากอบสอนว่า ยก. 2:26 เพราะกายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้น ไร้ชีพแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผลฉันนั้น จะขัดกับที่ อ.เปาโลสอนหรือเปล่า เหมือนๆจะขัดแย้งกับ  รม.3:28 เพราะเราทั้งหลายเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อลองใคร่ครวญให้ลึกลงไปจะเห็นได้ว่า คำสอนของอ.ยากอบกับอ.เปาโลไม่ขัดแย้งกัน เป็นความจริงที่การทำความดีไม่สามารถทำให้พวกเรารับความรอด แต่ความเชื่อที่แท้จริงจะส่งผลให้ชีวิตเติบโตขึ้นไปสู่ความเหมือนองค์พระเยซูคริสต์ 1คร.13:12เพราะว่า บัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า นั่นก็คือชีวิตที่เปลี่ยนแปลงสู่ การกระทำอันดีงาม อ.เปาโลคัดค้านคนที่พยายามจะรอดโดยการประพฤติแทนความเชื่อแท้  ส่วนอ.ยากอบโต้แย้งคนที่สับสนว่า ความรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์เป็นความเชื่อแท้ เพราะว่าจริงๆแล้วแม้แต่ซาตานก็รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร แต่มันไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ (ยก 2:19 ท่านเชื่อว่า พระเจ้าทรงเป็นหนึ่ง นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่น) ดังนั้นความเชื่อแท้พวกเราต้องอุทิศตนมอบกายถวายชีวิตทั้งหมด
แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น