วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เชื่อ...เถอะ...(ตอนแรก)


ฮบ.11:26


เขาถือว่าการยอมเสื่อมเสีย
เพื่อพระคริสต์ยังล้ำค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายของอียิปต์เพราะเขามองไปข้างหน้าถึงบำเหน็จของเขา

          
อียิปต์ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ พวกเขาเรียนรู้วิธีที่จะเอาชนะธรรมชาติและนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ มีการปกครองที่เป็นระเบียบมีความมั่นคงอุดมสมบูรณ์ตลอดจนมีศิลป และวัฒนธรรมชั้นสูง ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจทำให้จักรวรรดิอียิปต์มั่นคงก้าวหน้าต่อเนื่องเป็นเวลาหลายพันปี ในด้าน เกษตรกรรม พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม ด้าน เกษตรกรรม เป็น รากฐานทางเศรษฐกิจของจักรวรรดิอียิปต์ ประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่อาศัยน้ำจากแม่น้ำไนล์ในการเพาะปลูก ทำให้มีการคิดค้นระบบชลประทาน ทำคลองส่งน้ำจากแม่น้ำไนล์เข้าไปยังพื้นที่ที่ห่างจากฝั่ง ระบบชลประทานจึงเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรอียิปต์ดำเนินการเพาะ ปลูกพืชสำหรับบริโภคภายในจักรวรรดิและพืชเศรษฐกิจอื่นๆได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานไปแสวงหาดินแดนที่อุดมสมบูรณ์มากกว่า อนึ่ง ผลิตผลทางเกษตรที่สำคัญของชาวอียิปต์ ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ผัก ผลไม้ ปอ และฝ้าย  ด้าน พาณิชยกรรม จักรวรรดิอียิปต์ติดต่อค้าขายกับดินแดนอื่นๆ ตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ดินแดนที่ติดต่อค้าขายเป็นประจำ ได้แก่ เกาะครีต และดินแดนเมโสโปเตเมีย โดยเฉพาะฟีนิเชีย ปาเลสไตน์ และซีเรีย สินค้าส่งออกที่สำคัญของอียิปต์คือ ทองคำ ข้าวสาลี และผ้าลินิน ส่วนสินค้าที่นำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ แร่เงิน งาช้าง และไม้ซุง ด้าน อุตสาหกรรม อียิปต์เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมตั้งแต่ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรมมของอียิปต์เติบโตคือ การมีช่างฝีมือและแรงงานจำนวนมาก มีเทคโนโลยีและวิทยาการที่ก้าวหน้า มีวัตถุดิบ และมีการติดต่อค้าขายกับดินแดนอื่นๆ อย่างกว้างขวาง ดังนั้นอียิปต์จึงสามารถพัฒนาระบบอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าได้จำนวนมาก อุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การทำเหมืองแร่ การต่อเรือ การทำเครื่องปั้นดินเผา การทำเครื่องแก้ว และการทอผ้าลินิน “โมเสสได้รับการศึกษาในวิชาความรู้ทั้งปวงของอียิปต์ทรงอำนาจทั้งด้านวาจาและการ
กระทำ”(กจ.7:22) ด้วยสภาพความเจริญรุ่งเรืองของอียิปต์มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่โมเสสซึ่งได้รับการเลี้ยงดูในฐานะเป็นบุตรบุญธรรมของธิดากษัตริย์ฟาโรห์ ที่จะได้รับการอบรมสั่งสอนวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์ ซึ่งวิชาการเหล่านั้น ที่โด่งดังในอารยธรรมอียิปต์ได้แก่ ดาราศาสตร์ การคำนวณ อักษรภาพ การแพทย์ และวิศวกรรม
          แต่ด้วยพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะเตรียมโมเสสเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ แม่นมของโมเสสเป็นหญิงชาวฮีบรู “พี่สาวของทารกนั้นจึงทูลถามพระธิดาว่า ให้หม่อมฉันไปหาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็กให้ไหม...เด็กหญิงนั้นจึงกลับบ้านไปตามมารดาของทารกนั้นมา... ดังนั้นนางจึงอุ้มทารกกลับไปเลี้ยงดู ต่อมาเมื่อเด็กคนนั้นเติบโตขึ้น นางก็นำกลับมาเข้าเฝ้าพระธิดาของฟาโรห์ พระนางทรงรับเลี้ยงเขาเป็นโอรส และประทานนามว่าโมเสส”(อพย.2:7-10) พระคัมภีร์อาจไม่ได้บอกอะไรมากในช่วงนี้ แต่พอจะสันนิษฐานจากขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวฮีบรูในสมัยนั้นว่า แม่นมคงได้ฝึกอบรมบ่มสอนด้านจิตวิญญาณแก่ลูกๆ ตามระเบียบปฏิบัติของครอบครัวชาวฮีบรู โมเสสคงมีโอกาสเห็นครอบครัวแสดงความรักต่อพระเจ้า ตัวโมเสสเองคงร่วมในการนมัสการคราวต่างๆ ประจำครอบครัวตามระเบียบปฏิบัติ โมเสสคงได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ของบรรพบุรุษที่เดินทางมายังอียิปต์ในยุคสมัยของโยเชฟ ด้วยเหตุนี้ความรุ่งเรือง หรูหรา และวังที่ใหญ่โตโอ่อ่าที่ใครๆก็ปรารถนาจะได้เข้าอาศัยอยู่ ไม่มีผลอะไรกับตัวของโมเสสเลย จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับความรักของพระเจ้า และพี่น้องชนชาติเดียวกันกับเขา โมเสสไม่ได้เชื่อว่าหากทำงานให้ฟาโรห์ในวังต่อไป เขาจะใช้อำนาจหรือเงินทองที่ได้เพื่อช่วยพี่น้องชาวอิสราเอลได้ แต่โมเสสตั้งใจว่าจะรักพระเจ้า สุดหัวใจ สุดชีวิต และสุดกำลัง (ฉธบ.6:5) การตัดสินใจแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขาต้องเสียใจภายหลัง แม้ว่าโมเสสจะต้องทิ้งทรัพย์สมบัติมากมายในอียิปต์ แล้วไปอยู่กับพี่น้องชาวอิสราเอล แต่ในที่สุดทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็ตกเป็นของชาวอิสราเอล(อพย.12:35-36)


อ่านบทความอื่นๆได้ที่  http://theword-15.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ยอมรับซึ่งกันและกัน


รม.๑๕:
ฉะนั้นจงยอมรับซึ่งกันและกันเหมือนที่
พระคริสต์ทรงยอมรับท่าน
เพื่อจะนำการสรรเสริญมาถวายแด่พระเจ้า

          ความภาคภูมิใจคือ ความรู้สึกที่บุคคลมีต่อตนเองในทางที่ดี มีความเคารพและยอมรับตนเองว่ามีความสำคัญ มีความสามารถ และใช้ความสามารถที่มีอยู่กระทำสิ่งต่างๆให้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย ยอมรับนับถือตนเอง และมีความเชื่อมั่นในตนเอง สังคมมักจะนำเสนอภาพคนที่มีความภาคภูมิใจ และมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ว่าเป็นผู้ที่พึงเป็นแบบอย่างแก่คนอื่นๆ จนบางครั้งทำให้กลายเป็นความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเองมากเกินควร ความภาคภูมิใจเช่นนี้ทำให้มีความรู้สึกที่ไม่เหมาะสม โดยอาจคิดว่าตนเป็นคนสำคัญและเหนือกว่าผู้อื่น จนละทิ้งพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ววางเป้าหมายของการดำเนินชีวิต และแผนการสำหรับอนาคตด้วยความคิดของตนเอง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องคำนึงถึงพระประสงค์ของพระองค์เสมอ(ยก.๔:๑๓-๑๖) องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสอนผ่าน อ.ลูกาว่า อย่ากระทำตัวอย่างเศรษฐีโง่ พระองค์เล่าว่า มีชายร่ำรวยคนหนึ่งซึ่งได้สำรวจทรัพย์สมบัติของตน และกล่าวโอ้อวดกับตัวเองว่า “จิตใจเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่ สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถอะ” กระนั้น คืนนั้นเองพระเจ้าทรงเอาชีวิตเขาไป “เจ้าคนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องถูกเรียกเอาไปจากเจ้า แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า” สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือว่า เศรษฐีโง่คนนั้นจะไม่ได้เอาทรัพย์สินของตนติดตัวไปได้เลย คนอื่นจะได้มันไปแทน(ลก.๑๒:๑๖-๒๑) ด้วยเหตุนี้พวกเราต้องตระหนักว่า ความสุขแท้ และชีวิตที่มีคุณค่านั้นขึ้นอยู่กับพระเจ้าโดยสิ้นเชิง    
          องค์พระผู้เป็นเจ้าสำแดงพระประสงค์ผ่านทางอ.เปาโลว่า “อย่าทำสิ่งใดด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างเห็นแก่ตัว หรือด้วยความถือดี แต่จงทำด้วยความถ่อมใจ ถือว่าคนอื่นดีกว่าตน” (ฟป.๒:๓) ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความเห็นแก่ตัว ความถือดี สามารถทำลายความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ความถ่อมใจที่แท้จริงสามารถกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องในองค์พระเยซูคริสต์ได้เป็นอย่างดี แต่ต้องเป็นการถ่อมใจที่มองตนเองอย่างถูกต้อง นั้นคือการเห็นคุณค่าของตัวเองในทางที่ถูกเป็นสิ่งสำคัญ เพราะบางคนก็ประเมินค่าตนเองต่ำเกินไป บางคนก็คิดว่าตนสำคัญมากเกินไป กุญแจที่จะนำไปสู่การประเมินค่าอย่างซื่อตรง และถูกต้องตามความจริง คือ การรู้จักพื้นฐานคุณค่าในตัวเองที่เป็นตัวตนของเราในองค์พระเยซูคริสต์(รม.๑๒:๓) คนที่หยิ่งมักคิดว่าคนถ่อมใจเป็นคนอ่อนแอ และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่นั่นเป็นความจริงหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับพวกเราที่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณยังไม่เติมเต็มที่จะแสดงคุณลักษณะนั้น ด้วยเหตุนี้เพื่อจะเป็นคนถ่อมใจ พวกเราจำเป็นต้องเข้มแข็งกล้าหาญ และเรียนรู้ที่จะเป็นคนถ่อมใจ โดยการใคร่ครวญถึงความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเลียนแบบตัวอย่างขององค์พระเยซูคริสต์
--------------------------------------

อ่านบทความอื่นๆได้ที่http://theword-15.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จงเลือกเสียในวันนี้…แต่ส่วนข้าพเจ้า…จะปรนนิบัติพระยาห์เวห์(ตอนสุดท้าย)


          3. การรื้อฟื้นยอมจำนน ยชว.8:30-35 แล้วโยชูวาได้สร้างแท่นบูชาที่ภูเขาเอบาลถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล 31ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์บัญชาประชาชนอิสราเอล ตามที่จารึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสสว่า แท่นบูชาทำด้วยหินล้วน ซึ่งไม่มีใครใช้เครื่องมือเหล็กตกแต่งเลยแล้วพวกเขาก็ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์บนแท่นนั้น และถวายศานติบูชา 32ณ ที่นั้นท่านเขียนธรรมบัญญัติของโมเสสบนหินต่อหน้าประชาชนอิสราเอล ซึ่งเป็นสิ่งที่โมเสสได้เขียนไว้ 33อิสราเอลทั้งหมด ทั้งคนต่างด้าวและคนที่เกิดในอิสราเอล พร้อมทั้งผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่และผู้พิพากษายืนอยู่ทั้งสองข้างของหีบ ต่อหน้าคนเลวีที่เป็นปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ ครึ่งหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าภูเขาเกริซิม อีกครึ่งหนึ่งข้างหน้าภูเขาเอบาล ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้บัญชาไว้ในครั้งแรกให้พวกเขาอวยพรแก่คนอิสราเอล 34หลังจากนั้นท่านจึงอ่านถ้อยคำในธรรมบัญญัติเป็นคำอวยพรและคำแช่งสาป ตามที่มีจารึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติทุกประการ35ไม่มีคำซึ่งโมเสสได้บัญชาไว้สักคำเดียวที่โยชูวาไม่ได้อ่านต่อหน้าชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด รวมทั้งผู้หญิงกับเด็กๆ และคนต่างด้าวที่อยู่ในหมู่พวกเขา หลังจากการยึดเมืองอัยได้โยชูวาสร้างแท่นบูชาใกล้เมืองเชเคมเขาสร้างจากหินที่ไม่ได้สกัดซึ่งพบบนไหล่เขาเอบาล นี่เป็นการปฏิบัติตามสิ่งที่โมเสสได้บัญชาไว้ว่าจะต้องกระทำหลังจากที่อิสราเอลได้เดินทางข้ามแม่น้ำจอร์แดนได้อย่างปลอดภัย เขาได้ถวายเครื่องบูชาเผา คือ สัตว์ถูกเผาเพื่อเป็นพยานถึงการยอมมอบถวายตัวแด่พระเจ้า หรือยอมจำนนและพึ่งพาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และถวายศานติบูชา คือ สัตว์บูชาซึ่งเลือด ไขมัน และส่วนสำคัญต่างๆ จะถูกเผาเพื่อถวายแก่พระเจ้า ส่วนที่เหลือของสัตว์นั้นผู้ถวายจะย่างและรับประทานด้วยกันในมื้ออาหารสามัคคีธรรม อาหารมื้อนี้เป็นสัญญาลักษณ์ของการสามัคคีธรรมระหว่างพระเจ้าและประชากรของพระองค์ โยชูวาจารึกธรรมบัญญัติลงบนหินก้อนใหญ๋ซึ่งธรรมบัญญัติเหล่านั้คือสิ่งที่คนอิสราเอลจะต้องปฏิบัติตามในดินแดนคานาอัน การเชื่อฟังธรรมบัญญัติจะทำให้พวกเขามีครอบครัวที่เข้มแข็งและมีชุมชนที่ชอบธรรม ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าจะปรากฏเด่นชัดวันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ และตลอดไป ด้วยเหตุที่มนุษย์มีนิสัยชอบโอนเอียงเข้าหาบาป ดังนั้นคนของพระเจ้าจึงจำเป็นต้องรื้อฟื้นการยอมจำนนของเขาต่อพระเจ้าในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเขา

การดำเนินชีวิตควรมีท่าทีอย่างสัตย์ซื่อต่อพระคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า
                   ยชว.1:8-9 อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างจากปากของเจ้า แต่จงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะทำตามข้อความทุกประการที่เขียนไว้นั้น แล้วเจ้าจะมีความเจริญ และประสบความสำเร็จ 9 เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป
          พระบัญชานี้ตั้งอยู่บนฤทธิ์เดชของพระเจ้า ผ่านทางพระคำของพระองค์การที่พวกเราจะพบกับความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และประสบความสำเร็จจะต้องปฏิบัติตามสามแนวทางนี้ คือ
                             1. สนทนาสามัคคีธรรมอย่างสม่ำเสมอ พระคำของพระเจ้าจะต้องไม่ห่างจากปากพวกเรา ควรพูดคุยกันในเรื่องที่เกี่ยวกับพระคำของพระเจ้า
                             2. ฝึกคิดใคร่ครวญพระคำ เมื่ออ่านพระคำทุกครั้งต้องฝึกคิดใคร่ครวญตรึกตรองในพระคำนั้นว่า ให้ข้อคิดแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างไร
                             3. เปลี่ยนแปลงตนเอง อย่าหยุดสิ่งที่ได้จากการใคร่ครวญพระคำ นำสิ่งที่คิดได้มาทดลองปฏิบัติเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างระมัดระวัง โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความยากขึ้นเรื่อยๆ หากทำแบบนี้จะไม่เกิดความท้อใจเมื่อไม่ประสบความสำเร็จในช่วงแรก
            นี่คือ การเชื่อและสำแดงชีวิตตาม พระคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า “อย่าหวาดกลัวและท้อถอย” หากเริ่มที่จะฝึกฝนเปลี่ยนแปลงตนเองตามพระคำ ฤทธิ์เดชและการทรงสถิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะอยู่กับพวกเราเสมอ


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จงเลือกเสียในวันนี้…แต่ส่วนข้าพเจ้า…จะปรนนิบัติพระยาห์เวห์(ตอนแรก)

พระธรรมโยชูวา เป็นหนังสือเล่มที่ 6 ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม และเป็นบันทึกถึงประวัติศาสตร์อิสราเอลในช่วงอายุของโยชูวา ซึ่งรับบทบาทเป็นผู้นำอิสราเอลต่อจากโมเสส กล่าวถึงการยึดครองแผ่นดินคานาอัน อันเป็นแผ่นดินพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่อับราฮัม การแบ่งดินแดนคานาอัน ตามที่โมเสสได้บัญชาไว้ และสิ้นสุดเมื่อโยชูวาเสียชีวิต เชื่อกันว่า "โยชูวา" เป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวของท่านเอง ยกเว้นในบทสุดท้ายที่กล่าวถึงมรณกรรมของโยชูวา และเอเลอาซาร์ น่าจะถูกบันทึกโดยบุตรชายของเอเลอาซาร์

หลักคำสอนสำคัญ
          1. พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ ยชว.1:6-9 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะทำให้ชนชาตินี้ได้รับแผ่นดินนั้นเป็นมรดก ซึ่งเราปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะยกให้เขา 7เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหันเหจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวาหรือทางซ้าย เพื่อเจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดีในทุกแห่งที่เจ้าไป 8อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างจากปากของเจ้า แต่จงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะทำตามข้อความทุกประการที่เขียนไว้นั้น แล้วเจ้าจะมีความเจริญ และประสบความสำเร็จ 9เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้า
ทุกแห่งที่เจ้าไปจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิดคำกำชับนี้ หมายถึง พละกำลังด้านจิตใจ จิตวิญญาณ ความคิดและอารมณ์ แม้ว่าพระเจ้าประทานพละกำลังอย่างแน่นอน แต่ตรงนี้พระองค์ทรงสั่งผู้นำของพระองค์ให้เป็นคนเข้มแข็ง แทนที่จะดำเนินในเส้นทางที่เจอกับการต่อต้านน้อยที่สุด พระเจ้ากลับส่งโยชวาให้เข้มแข็งและกล้าหาญ ความกล้าหาญไม่ใช่การไปโดยปราศจากความกลัว แต่มันคือการไปเผชิญหน้ากับความกลัว มันคือความแข็งแกร่งแห่งอุปนิสัยและความเป็นผู้ ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณ เหตุที่พระเจ้าตรัสสั่งยูวาแบบนี้ก็เพราะพระองค์ มีพระสัญญากับแผ่นดินนี้ไว้แล้ว โยชูวาต้องมีกำลัง และความเข้มแข็งเพราะสงครามที่จะเกิดขึ้น เป็นสงความที่ยิ่งใหญ่มากดังนั้นยโยชูวาจะต้องได้รับการหนุนใจอย่างมาก องค์พระผู้เป็นเจ้าหนุนใจโยชูวาว่าเขาจะประสบความสำเร็จ และนำชนชาติอิสราเอลให้เข้าครอบครองดินแดนคานาอันได้ เพราะพระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กลับบรรพบุรุษของพวกเขา คือ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ว่าจะยกดินแดนนี้เป็นมรดกชั่วนิรันดร์ ความสำเร็จของโยชูวาจะเกิดขึ้นได้ปัจจัยสำคัญก็คือการเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อเสมอในการทำให้พระสัญญาของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์สำเร็จ
          2. ความยำเกรงพระเจ้า ยชว.24:14-15 “ฉะนั้น จงยำเกรงพระยาห์เวห์และปรนนิบัติพระองค์ด้วยความจริงใจและด้วยความซื่อสัตย์ จงทิ้งพระเหล่านั้นซึ่งบรรพบุรุษของท่านปรนนิบัติที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำและในอียิปต์เสีย จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ 15และถ้าพวกท่านไม่เห็นด้วยที่จะปรนนิบัติพระยาห์เวห์ ท่านก็จงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติใคร จะปรนนิบัติบรรดาพระซึ่งบรรพบุรุษของท่านปรนนิบัติอยู่ในท้องถิ่นฟากตะวันออกของแม่น้ำ หรือบรรดาพระของคนอาโมไรต์ในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่ แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์ โยชวาจึงกำชับคนอิสราเอลอย่างเข้มงวดว่า เหตุฉะนั้น บัดนี้จงยำเกรงพระยาห์เวห์และปรนนิบัติพระองค์ด้วยความจริงใจและด้วยความจริงคำกำชับนั้นยังมีผลจนถึงวันนี้ ความหมายก็คือ การปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าหมดทั้งตัว นั้นคือ อย่างสุดจิตสุดใจของพวกเขา นอกจากนี้พวกเขาจะต้องทำเช่นนั้น ด้วยความจริงโยชวาจึงเตือนสติคนอิสราเอลให้ทิ้งพระเหล่านั้นที่พวกเขาเคยปรนนิบัติในอียิปต์เสีย ชนชาติอื่นๆ ที่อยู่ล้อมรอบอิสราเอล มักมีสนธิสัญญากับประเทศเมืองขึ้นของเขาว่าเมืองนั้นต้องตัดความสัมพันธ์กับเมืองอื่นๆ ดังนั้นด้วยวิธีการเดียวกันนี้ อิสราเอลก็ต้องควรปฏิเสธพระอื่นๆ ทั้งสิ้นด้วย โยชูวาท้าทายอิสราเอลว่าพวกเขาต้องเลือกว่าจะนมัสการพระเจ้าของเมืองเออร์ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขากราบไหว้ หรือพระต่างๆ ของชาวอาโมไรค์ในคานาอัน หรือว่าจะนมัสการพระยาห์เวห์ แต่สำหรับโยชูวาและครอบครัวได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะนมัสการพระยาห์เวห์ พระเจ้านั้นพร้อมและประสงค์จะอวยพรต่อคนที่สัตย์ซื่อต่อพระองค์ และต่อน้ำพระทัยของพรองค์สำหรับชีวิตของเขา

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/