วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เชื่อ...เถอะ...(ตอนแรก)


ฮบ.11:26


เขาถือว่าการยอมเสื่อมเสีย
เพื่อพระคริสต์ยังล้ำค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายของอียิปต์เพราะเขามองไปข้างหน้าถึงบำเหน็จของเขา

          
อียิปต์ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ พวกเขาเรียนรู้วิธีที่จะเอาชนะธรรมชาติและนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ มีการปกครองที่เป็นระเบียบมีความมั่นคงอุดมสมบูรณ์ตลอดจนมีศิลป และวัฒนธรรมชั้นสูง ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจทำให้จักรวรรดิอียิปต์มั่นคงก้าวหน้าต่อเนื่องเป็นเวลาหลายพันปี ในด้าน เกษตรกรรม พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม ด้าน เกษตรกรรม เป็น รากฐานทางเศรษฐกิจของจักรวรรดิอียิปต์ ประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่อาศัยน้ำจากแม่น้ำไนล์ในการเพาะปลูก ทำให้มีการคิดค้นระบบชลประทาน ทำคลองส่งน้ำจากแม่น้ำไนล์เข้าไปยังพื้นที่ที่ห่างจากฝั่ง ระบบชลประทานจึงเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรอียิปต์ดำเนินการเพาะ ปลูกพืชสำหรับบริโภคภายในจักรวรรดิและพืชเศรษฐกิจอื่นๆได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานไปแสวงหาดินแดนที่อุดมสมบูรณ์มากกว่า อนึ่ง ผลิตผลทางเกษตรที่สำคัญของชาวอียิปต์ ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ผัก ผลไม้ ปอ และฝ้าย  ด้าน พาณิชยกรรม จักรวรรดิอียิปต์ติดต่อค้าขายกับดินแดนอื่นๆ ตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ดินแดนที่ติดต่อค้าขายเป็นประจำ ได้แก่ เกาะครีต และดินแดนเมโสโปเตเมีย โดยเฉพาะฟีนิเชีย ปาเลสไตน์ และซีเรีย สินค้าส่งออกที่สำคัญของอียิปต์คือ ทองคำ ข้าวสาลี และผ้าลินิน ส่วนสินค้าที่นำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ แร่เงิน งาช้าง และไม้ซุง ด้าน อุตสาหกรรม อียิปต์เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมตั้งแต่ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรมมของอียิปต์เติบโตคือ การมีช่างฝีมือและแรงงานจำนวนมาก มีเทคโนโลยีและวิทยาการที่ก้าวหน้า มีวัตถุดิบ และมีการติดต่อค้าขายกับดินแดนอื่นๆ อย่างกว้างขวาง ดังนั้นอียิปต์จึงสามารถพัฒนาระบบอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าได้จำนวนมาก อุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การทำเหมืองแร่ การต่อเรือ การทำเครื่องปั้นดินเผา การทำเครื่องแก้ว และการทอผ้าลินิน “โมเสสได้รับการศึกษาในวิชาความรู้ทั้งปวงของอียิปต์ทรงอำนาจทั้งด้านวาจาและการ
กระทำ”(กจ.7:22) ด้วยสภาพความเจริญรุ่งเรืองของอียิปต์มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่โมเสสซึ่งได้รับการเลี้ยงดูในฐานะเป็นบุตรบุญธรรมของธิดากษัตริย์ฟาโรห์ ที่จะได้รับการอบรมสั่งสอนวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์ ซึ่งวิชาการเหล่านั้น ที่โด่งดังในอารยธรรมอียิปต์ได้แก่ ดาราศาสตร์ การคำนวณ อักษรภาพ การแพทย์ และวิศวกรรม
          แต่ด้วยพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะเตรียมโมเสสเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ แม่นมของโมเสสเป็นหญิงชาวฮีบรู “พี่สาวของทารกนั้นจึงทูลถามพระธิดาว่า ให้หม่อมฉันไปหาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็กให้ไหม...เด็กหญิงนั้นจึงกลับบ้านไปตามมารดาของทารกนั้นมา... ดังนั้นนางจึงอุ้มทารกกลับไปเลี้ยงดู ต่อมาเมื่อเด็กคนนั้นเติบโตขึ้น นางก็นำกลับมาเข้าเฝ้าพระธิดาของฟาโรห์ พระนางทรงรับเลี้ยงเขาเป็นโอรส และประทานนามว่าโมเสส”(อพย.2:7-10) พระคัมภีร์อาจไม่ได้บอกอะไรมากในช่วงนี้ แต่พอจะสันนิษฐานจากขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวฮีบรูในสมัยนั้นว่า แม่นมคงได้ฝึกอบรมบ่มสอนด้านจิตวิญญาณแก่ลูกๆ ตามระเบียบปฏิบัติของครอบครัวชาวฮีบรู โมเสสคงมีโอกาสเห็นครอบครัวแสดงความรักต่อพระเจ้า ตัวโมเสสเองคงร่วมในการนมัสการคราวต่างๆ ประจำครอบครัวตามระเบียบปฏิบัติ โมเสสคงได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ของบรรพบุรุษที่เดินทางมายังอียิปต์ในยุคสมัยของโยเชฟ ด้วยเหตุนี้ความรุ่งเรือง หรูหรา และวังที่ใหญ่โตโอ่อ่าที่ใครๆก็ปรารถนาจะได้เข้าอาศัยอยู่ ไม่มีผลอะไรกับตัวของโมเสสเลย จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับความรักของพระเจ้า และพี่น้องชนชาติเดียวกันกับเขา โมเสสไม่ได้เชื่อว่าหากทำงานให้ฟาโรห์ในวังต่อไป เขาจะใช้อำนาจหรือเงินทองที่ได้เพื่อช่วยพี่น้องชาวอิสราเอลได้ แต่โมเสสตั้งใจว่าจะรักพระเจ้า สุดหัวใจ สุดชีวิต และสุดกำลัง (ฉธบ.6:5) การตัดสินใจแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขาต้องเสียใจภายหลัง แม้ว่าโมเสสจะต้องทิ้งทรัพย์สมบัติมากมายในอียิปต์ แล้วไปอยู่กับพี่น้องชาวอิสราเอล แต่ในที่สุดทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็ตกเป็นของชาวอิสราเอล(อพย.12:35-36)


อ่านบทความอื่นๆได้ที่  http://theword-15.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น