วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คิด...ที่แตกต่าง(ตอนสุดท้าย)

        สุดท้ายด้วยความประเสริฐเลิศของพระเจ้าเช่นนี้ โยนาห์จึงกลัวว่าพระเจ้าไม่ทรงส่งการพิพากษามายังชาวนีนะเวห์ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ โยนาห์จึงรู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง   “ข้าพระองค์ตายเสียดีกว่าอยู่” ในข้อที่๓ ความไม่เป็นผู้ใหญ่ และความเห็นแก่ตัวของโยนาห์จึงปรากฏชัดเจน สิ่งเดียวเขาสนใจคือ ตัวของเขาเอง เขาจึงมีอารมณ์ขุ่นมัว และบอกพระเจ้าให้ทรงฆ่าเขาเสีย เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาไม่ได้ตามใจอยาก เขาจึงเดือดดาลและโอดครวญ และรู้สึกสมเพชตัวเอง ภาพชีวิตของโยนาห์สะท้อนให้เห็นถึงคนไม่รู้จักโต สนใจแต่ตนเอง และไม่มีความสุข เขาวิ่งหนีจากการทรงเรียกของพระเจ้า จากนั้นเมื่อการได้รับใช้ไม่ได้ออกมาตามแบบที่เขาคิดว่าควรจะเป็น โยนาห์ก็อยากล้มเลิกเสีย
                “แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธโยนาห์ก็ออกไปอยู่นอกเมืองทางตะวันออก แล้วสร้างเพิงขึ้นหลังหนึ่ง แล้วนั่งอยู่ใต้ร่มเพิง และคอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับกรุงนีนะเวห์” (ยนา.๔:๔-๕)
        เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธคำตรัสนี้ช่วยให้ความกระจ่างว่า ทำไมโยนาห์จึงไม่อยากไปประกาศข่าวในเมืองนีนะเวห์ ทั้งนี้เพราะเขาต้องการให้ชาวนีนะเวห์ถูกทำลาย ไม่ใช่ได้รับความรอด ถูกทำโทษ ไม่ใช่ได้รับอภัยโทษ เขารู้ว่าพระเจ้าทรงพระกรุณาต่อคนบาป แต่เขาต้องการให้พระคุณนี้ มีเฉพาะต่อชาวอิสราเอลเท่านั้น เขาอยากตายเสียดีกว่าที่จะเห็นชนต่างชาติได้รับการอภัยโทษเหมือนชาวอิสราเอล ด้วยความหวังเดิมที่ว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนพระทัย และทำลายเมืองนีนะเวห์เสีย โยนาห์จึงออกไปนอกเมือง เพื่อคอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกสี่สิบวันกับเมืองนีนะเวห์
                “แล้วพระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้เถาไม้เลื้อยเถาหนึ่งงอกขึ้นเหนือโยนาห์ ช่วยบังแดดให้ศีรษะของเขา เพื่อบรรเทาความเดือดเนื้อร้อนใจของเขา โยนาห์ก็มีความสุขมากที่มีเถาไม้เลื้อยนี้ แต่พอฟ้าสางวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงให้มีหนอนกัดกินเถาไม้เลื้อยนั้น จนมันเหี่ยวเฉาไป เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นพระเจ้าทรงให้มีลมตะวันออกอันร้อนระอุพัดมา แสงอาทิตย์ก็แผดเปรี้ยงเหนือศีรษะของโยนาห์จนเขาแทบเป็นลม โยนาห์อยากตายและตัดพ้อว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่ (ยนา.๔:๖-๘)
       ข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่ประโยคเดิมที่โยนาห์ใช้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากพระเจ้าเพราะความไม่เป็นผู้ใหญ่ และความเห็นแก่ตัวของตนเอง ด้วยพระเจ้าให้บทเรียนแก่โยนาห์ โดยพระองค์ทรงกำหนดให้มีเถาไม้เลื้อยต้นหนึ่งงอกขึ้นมา เป็นที่กำบังศีรษะของเขา เพื่อบรรเทาความร้อน โยนาห์จึงขอบคุณพระเจ้า แต่แล้วพระองค์ทรงทำให้เถาไม้เลื้อยต้นนี้ตายไป โยนาห์จึงโกรธมากจนอยาก
จะตายไปเสีย
                “แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า เจ้ามีสิทธิ์จะโกรธเรื่องเถาไม้เลื้อยนี้หรือโยนาห์ทูลว่าข้าพระองค์มีสิทธิ์ ข้าพระองค์โกรธจนอยากตาย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เจ้าเสียดายเถาไม้เลื้อยนี้ ทั้งๆ ที่เจ้าไม่ได้ปลูกหรือดูแลมันให้โต มันงอกขึ้นในชั่วข้ามคืนและตายไปในชั่วข้ามคืน  ก็แล้วนีนะเวห์ซึ่งมีคนกว่า 120,000 คน ซึ่งไม่รู้ประสาว่าไหนมือซ้ายไหนมือขวา ทั้งยังมีสัตว์เลี้ยงอีกมากมาย ไม่ควรหรือที่เราจะห่วงใยนครใหญ่นั้น (ยนา.๔:๙-๑๑)
        เจ้ามีสิทธิ์จะโกรธเรื่องเถาไม้เลื้อยนี้หรือพระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้โยนาห์ทราบว่า เขาไม่ต้องการให้เถาไม้เลื้อยนี้ตาย เช่นเดียวกับที่พระเจ้าไม่ต้องการให้ชาวนีนะเวห์ตาย โยนาห์เสียใจเมื่อเถาไม้เลื้อยที่เขามิได้ลงแรงปลูกต้องตายไป แล้วพระเจ้าล่ะจะไม่เสียพระทัยหรื๊อ สำหรับประชาชนที่พระองค์ทรงสร้างแต่โง่เขลาละเลยต่อพระองค์ จนกระทั่งช่วยตนเองไม่ได้ พระเจ้าทรงใช้คำถามที่แทงใจดำโยนาห์ว่า

                นครหนึ่งซึ่งมีประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนก็สำคัญกว่าพืชเถาไม้เลื้อยธรรมดาๆ ชนิดหนึ่ง มากเท่าใด ในเมืองนีนะเวห์มีเด็กเล็กๆมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ที่ไม่รู้จักซ้าย ไม่รู้จักขวา พวกเขาไม่มีความผิดแม้แต่นิดเดียวพระเจ้าไม่ควรไว้ชีวิตเด็กเหล่านี้ พร้อมกับผู้ใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่กลับใจใหม่แล้ว และขอพระเมตตาจากพระเจ้า ไม่สมควรหรือ ที่พระองค์จะเลื่อนการพิพากษาออกไป

        พระเจ้าให้บทเรียนแก่พวกเราผ่านชีวิตโยนาห์ว่า ผู้ที่เชื่อในพระองค์ควรมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นที่หลงหายไปจากทางของพระเจ้า และกำลังจะพินาศ จงมองข้ามความเกลียดชัง "ความรักเป็นพลังเดียวที่สามารถเปลี่ยนศัตรู ให้กลายเป็นมิตรได้  และเราไม่สามารถกำจัดศัตรูด้วยการปะทะกันด้วยความเกลียดได้  เรากำจัดศัตรูด้วยการกำจัดความเป็นศัตรู" นี่เป็นคำกล่าวของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (ศาสนาจารย์ และนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ชาวอเมริกัน)  “ความรัก” เป็นคำตอบ “แต่เราบอกท่านว่าจงรักศัตรูของท่าน และอธิษฐานเผื่อบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน”(มธ. 5:44) ถ้ามีคนเกลียดชังและพยามทำลายชื่อเสียงของพวกเรา  ความเกลียดชังของคนๆนั้นอาจมีพลังอำนาจมากพอ  ที่จะล่อลวงให้พวกเราเกลียดเขาเป็นการตอบแทน  แต่พระเยซูคริสต์กลับทรงบัญชาให้เรารักศัตรูและอธิษฐานเผื่อพวกเขาด้วย ความรักอันยิ่งใหญ่ขององค์พระเยซูคริสต์ที่ได้ทรงสละพระชนม์เพื่อพวกเราที่บนกางเขน  แม้ว่าพวกเราจะเต็มไปด้วยความผิดบาป  ความรักของพระเจ้าจะหลอมละลายจิตใจของเรา  เมื่อพวกเราระลึกถึงเวลาที่พระเจ้าทรงยกโทษความผิดบาปให้พวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ก็ยังทรงอ่อนโยน และอดทนต่อพวกเราเสมอ  พระองค์จะทรงรอคอยจนกว่าพวกเราจะเรียนรู้สิ่งที่พระองค์ทรงสอน เมื่อพวกเรารู้จักความรักของพระองค์แล้ว จะเก็บความขมขื่น หรือความอาฆาตต่อคนอื่นได้อย่างไร แต่ถ้ายังคงปฏิเสธไม่ให้ความรักของพระเจ้าหลั่งไหลเข้ามาในจิตวิญญาณ  ยังคงปฏิเสธไม่ยอมละทิ้งความเกลียดชังศัตรู  นั่นก็หมายความว่า  พวกเรายังไม่เคยเชื่ออย่างแท้จริงว่า  พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อพวกเรา ขณะที่พวกเรายังเป็นคนบาปอยู่ (รม.5:8)

****************************

อ่านบทความอื่นๆได้ที่  http://theword-15.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คิด...ที่แตกต่าง(ตอนสอง)

          ในบทที่๔ บทสรุปที่น่าคิดสำหรับชีวิตพวกเรา “แต่โยนาห์ไม่พอใจมากและโกรธ 2 เขาอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ก็บอกตั้งแต่ยังอยู่ที่บ้านแล้วไม่ใช่หรือว่ามันจะเป็นอย่างนี้? เพราะเหตุนี้แหละ ข้าพระองค์ถึงได้รีบหนีไปเมืองทารชิช ข้าพระองค์รู้อยู่ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระคุณและความเอ็นดูสงสาร ทรงเป็นพระเจ้าผู้กริ้วช้าและเปี่ยมด้วยความรัก พระเจ้าทรงอดพระทัยไว้ไม่ลงโทษ 3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ขอทรงเอาชีวิตข้าพระองค์ไปเถิด ข้าพระองค์ตายเสียดีกว่าอยู่ (ยนา.๔:๑-๓)   สิ่งที่เกิดขึ้นกับโยนาห์หลังจากที่เขาได้ประกาศเรื่องกลับใจใหม่ “ไม่พอใจมากและโกรธ” ในฐานะผู้เผยพระวจนะชาวฮีบรูคนหนึ่ง โยนาห์ย่อมมีอคติและความเป็นปฏิปักษ์ต่อเพื่อนบ้านที่เป็นคนต่างชาติ พวกยิวตลอดหลายศตวรรษดูถูกคนต่างชาติ พวกเขาไม่ต้องการแบ่งปันพระดำรัสของพระเจ้ากับชนชาติอื่น เหมือนกับที่พวกเขาก็ไม่ยอมทำในสมัยอ.เปาโล เหตุการณ์ใน ๑ธส.๒:๑๔-๑๖ พี่น้องทั้งหลาย ท่านก็เหมือนกับคริสตจักรของพระเจ้าที่แคว้นยูเดียซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ คือท่านต้องเผชิญความทุกข์ยากจากพี่น้องร่วมถิ่นของตนเองเหมือนที่คริสตจักรเหล่านั้นได้รับจากพวกยิว พวกเขาได้ประหารองค์พระเยซูเจ้า เข่นฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะและขับไล่พวกเราออกมา เขาทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยและเป็นศัตรูกับคนทั้งปวง โดยการพยายามขัดขวางไม่ให้เราประกาศแก่คนต่างชาติพื่อให้คนเหล่านั้นได้รับความรอด ด้วยการกระทำเหล่านี้พวกเขาได้พอกพูนบาปผิดให้เต็มพิกัด พระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงพวกเขาในที่สุด อ.เปาโลได้รับการต่อต้านเมื่อประกาศข่าวประเสริฐแก่คนต่างชาติ การกระทำของพวกเขาแบบนี้ก็เพราะ พวกเขาลืมจุดประสงค์เดิมของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติของเขาเสียแล้ว “...และทุกประชาชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเชื้อสายของเจ้า เพราะเจ้าได้เชื่อฟังเรา (ปฐก.๒๒:๑๘) นี่เป็นจุดประสงค์ของพระเจ้า ที่ต้องการให้ชนชาติฮีบรูเป็นพระพรแก่บรรดาประชาชาติทั้งหลายในโลก โดยการแบ่งปันพระดำรัสของพระเจ้าแก่ชาวต่างชาติ โยนาห์คิดว่าพระเจ้าไม่ควรให้ความรอดแก่ชนต่างชาติที่ชั่วร้ายเช่นนี้เปล่าๆ
          ในข้อ๒ โยนาห์อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความขมขื่น และความโกรธ เป็นคำอธิษฐานที่แย่มากๆ มองย้อนกลับไปเมื่อพระเจ้าได้ทรงเรียกโยนาห์ครั้งแรก ช่วงนั้นเขายังอยู่ในอิสราเอลซึ่งเป็นชนชาติของเขา โยนาห์ได้บอกพระเจ้าว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขากลัวว่าถ้าเขาไปเมืองนีนะเวห์และเทศนา พวกเขาจะกลับใจใหม่และพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลงพระทัยจากการพิพากษา ดังนั้นโยนาห์อาจจะคิดไปว่าเขาจะถูกมองว่า เป็นผู้เผยพระวจนะเท็จที่ประกาศเรื่องการพิพากษาของพระเจ้าแล้วไม่เกิดขึ้นจริงๆ เพราะโยนาห์รู้อยู่แก่ใจถึงพระลักษณะของพระเจ้าว่า “...พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระคุณ และความเอ็นดูสงสาร ทรงเป็นพระเจ้าผู้กริ้วช้าและเปี่ยมด้วยความรัก...” ความรัก ความเอ็นดู และพระคุณของพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของความประเสริฐเลิศของพระองค์
          พระคุณของพระเจ้า        
                    “พระองค์เสด็จผ่านหน้าโมเสสไปพร้อมทั้งประกาศว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาและพระคุณ ทรงกริ้วช้า บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์
(อพย.๓๔:๖)
                    “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเชื่องช้าที่จะทำตามพระสัญญาอย่างที่บางคนคิด แต่ทรงอดทนต่อท่านเพราะพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ จงระลึกว่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้ก็เพื่อให้คนทั้งหลายมีโอกาสได้รับความรอด เหมือนที่น้องเปาโลที่รักของเราได้เขียนจดหมายมาถึงท่านด้วยสติปัญญาที่พระเจ้าประทาน” (๒ปต.๓:๙,๑๕)
          พระคุณคือ ความประเสริฐเลิศของพระเจ้า ที่ทรงสำแดงต่อผู้ที่สมควรได้รับสิ่งเลวร้าย การทรงสำแดงพระคุณก็เช่นเดียวกันกับการทรงสำแดงพระเมตตากรุณา คือแล้วแต่พระเจ้าจะทรงเลือก การกระทำของพระองค์จะต้องบริสุทธิ์ พระองค์จะเลือกสำแดง หรือไม่สำแดง พระคุณแก่คนบาปผู้สมควรแก่โทษก็ได้ พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระคุณแก่มนุษย์ทั่วไป โดยการที่พระองค์ทรงอดกลั้น เลื่อนการลงโทษบาปให้ล่าช้าออกไป     
            ความเอื้อเอ็นดูของพระเจ้า(ความเอ็นดูสงสาร)      
                                “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงดีต่อทุกคน พระองค์ทรงรักเอ็นดูสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้น ดวงตาของทุกชีวิตแหงนมองพระองค์ และพระองค์ประทานอาหารให้ในเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์มา และทรงให้ทุกชีวิตได้อิ่มเอมสมปรารถนา” (สดด.๑๔๕:๙,๑๕-๑๖)
                                “กระนั้นพระองค์โปรดให้มีพยานหลักฐานถึงพระองค์เอง คือทรงสำแดงพระคุณโดยประทานฝนจากฟ้าสวรรค์และพืชผลตามฤดูกาล พระองค์ประทานอาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่ท่านและให้จิตใจของท่านเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี (กจ.๑๔:๑๗)
          ด้วยความประเสริฐเลิศ พระองค์จึงทรงปฏิบัติต่อสรรพสิ่งที่ทรงสร้างด้วยน้ำพระทัยกว้างขวางอ่อนโยนและกรุณา ความเอื้อเอ็นดูของพระเจ้าสำแดงออกโดยความอาทรห่วงใยดูแลสิ่งที่ทรงสร้าง และสนองต่อความต้องการของสรรพสิ่งนั้น พระเจ้ามิได้จำกัดความเอื้อเอ็นดูเฉพาะผู้เชื่อเท่านั้น เพราะพระองค์ให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่ทั้งคนชอบธรรม และคนอธรรม (มธ.๕:๔๕)
          ความรักของพระเจ้า     
                   “พระองค์ตรัสว่า แน่นอน พวกเขาเป็นประชากรของเรา เป็นลูกที่จะไม่ทำผิดต่อเราแล้วพระองค์ก็ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา 9 พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของพวกเขา และทูตสวรรค์ที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ก็ช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงไถ่พวกเขาด้วยความรักและความเมตตา พระองค์ทรงยกพวกเขาขึ้นและอุ้มพวกเขาไว้ ตลอดวันคืนในสมัยก่อน” (อสย.๖๓:8-๙)
                   “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกท่านและรักท่าน ไม่ใช่เพราะท่านยิ่งใหญ่กว่าชนชาติอื่นๆ แท้จริงพวกท่านเป็นชนชาติเล็กที่สุดเสียด้วยซ้ำ  แต่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงรักท่านและทรงรักษาคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของท่าน พระองค์จึงทรงนำท่านออกมาด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และทรงไถ่ท่านออกจากแดนทาส จากอำนาจของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ (ฉธบ.๗:๗-๘)
          ความรักของพระเจ้านั้นเป็นความบริบูรณ์เพียบพร้อมที่ผลักดันพระองค์ตลอดเวลาให้เป็นฝ่ายติดต่อ ความรักนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการกระตุ้นของความรู้สึก แต่เป็นความรักจากใจอย่างมีเหตุผล เป็นความบริสุทธิ์และความจริงของพระองค์ เป็นความรักดั้งเดิมตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงเลือกรักเขา ไม่ใช่รักเพราะพวกเขาได้สร้างคุณงามความดี หรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดดีเลิศจึงสมควรได้รับความรัก
                   “ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก เช่นนี้เราจึงรู้และเชื่อมั่นในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา”(๑ยน.๔:๘,๑๖)
                   “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (รม.๕:๘)
          ความรักอันใหญ่หลวงเป็นจุดเด่นแสดงให้เห็นพระลักษณะของพระเจ้า พระคัมภีร์บรรยายถึงสภาพพระลักษณะว่า พระเจ้าคือความรัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัส หรือทรงกระทำเป็นแบบอย่างแสดงถึงความรักของพระองค์ ในน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ประสงค์ที่จะยกโทษความบาปให้แก่มนุษย์ แต่เนื่องจากพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความบริสุทธิ์ และยุติธรรม พระองค์จึงต้องจัดการกับความบาป แต่พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมทางรอดไว้ให้ด้วย เพื่อคนบาปทั้งปวงจะไม่ต้องถูกลงโทษ


อ่านบทความอื่นๆได้ที่  http://theword-15.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คิด...ที่แตกต่าง(ตอนแรก)


ยนา.๔:
“...ข้าพระองค์รู้อยู่ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า     ผู้เปี่ยมด้วยพระคุณและความเอ็นดูสงสาร
ทรงเป็นพระเจ้าผู้กริ้วช้าและเปี่ยมด้วยความรัก...”

          ประมาณ ปี๗๘๐ ก่อนคริสตศักราช มีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งชื่อ “โยนาห์” ที่มีใจแคบ เห็นแก่ตัวรับใช้พระเจ้าด้วยความไม่เต็มใจ โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะในสมัยกษัตริย์เยโรโบอัมที่๒ กษัตริย์องค์ที่๑๔แห่งอิสราเอล “ทรงเป็นผู้ยึดเขตแดนจากเลโบฮามัท จดทะเลแห่งอาราบาห์ กลับคืนมาเป็นของอิสราเอล เป็นไปตามพระดำรัสขององค์  พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ที่ตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะโยนาห์บุตรอามิททัยจากกัทเฮเฟอร์” (๒พกษ.๑๔:๒๕) นี่เป็นคำเผยพระวจนะของโยนาห์ ที่กล่าวว่ากษัตริย์เยโรโบอัมที่๒จะมีชัยชนะต่อชนชาติต่างๆ และพระองค์ได้กระทำตามก็ปรากฏเป็นจริงว่าสามารถตีเอาดินแดนของอิสราเอลคืนมาได้หมด นับแต่นั้นมาโยนาห์จึงเป็นที่รู้จัก หากประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงชีวิตของโยนาห์แล้ว เขาน่าจะมีชีวิตและทำพันธกิจก่อนอาโมส และโฮเชยา ในสมัยกษัตริย์เยโรโบอัมที่๒ อิสราเอลเป็นประเทศที่มีความรุ่งเรืองอย่างมาก แต่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเขาเสื่อมลง ชาวอิสราเอลเห็นแก่ตัว โลภมากและคิดถึงแต่ความเจริญ ความสุขสบายของตนเอง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของชนชาติอื่น แม้แต่โยนาห์ซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าก็มีใจคับแคบเห็นแก่ตัวเหมือนชาวอิสราเอลทั่วไป โยนาห์ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้ไปประกาศแก่ “เมืองนีนะเวห์” ของอาณาจักรอัสซีเรีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำไทกริส อยู่ห่างไปสองร้อยห้าสิบไมล์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองบาบิโลน ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณหนึ่งร้อยปีก่อนที่อัสซีเรียจะรุกราน และโจมตีกวาดล้างอาณาจักรฝ่ายเหนือ (อิสราเอล) ไปเป็นเชลย ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าถึงทรงเลือกเมืองนีนะเวห์ ของอาณาจักรอัสซีเรียซึ่งเป็นชนชาติที่โหดร้าย เพื่อการประกาศเรื่อง “การกลับใจใหม่” กระนั้นในพระประสงค์อันเป็นสิทธิ์ขาดของพระเจ้า พระองค์ประทานโอกาสให้ เมืองนีนะเวห์ สำหรับการกลับใจใหม่ในครั้งนี้ โดยพระเมตตา และพระคุณของพระเจ้า พระองค์จึงใช้โยนาห์ให้ไปประกาศในเรื่องนี้แก่เมืองนีนะเวห์ โดยเสนอจะผ่อนผันการพิพากษาแก่เมืองนีนะเวย์หากพวกเขากลับใจใหม่ โยนาห์ไม่อยากไปในการรับใช้ครั้งนี้ เพราะเขาอยากให้เมืองนีนะเวห์พินาศไปเพราะความชั่วร้ายของพวกเขา ฉะนั้นแทนที่โยนาห์จะเชื่อฟังพระเจ้า เขาก็กลับหนีไปทางทิศตรงกันข้าม เขากำลังวิ่งหนีจากการทรงเรียกของพระเจ้า(ยนา.๑:๑-๓) โยนาห์ขึ้นเรือเพื่อหนีไปให้ไกล แต่พระเจ้าทรงส่งพายุมาทำให้เรือเผชิญกับพายุอย่างบ้าคลั่ง คนในเรือที่มาจากที่ต่างๆ ได้พากันอธิษฐานขอความช่วยเหลือต่อบรรดาพระของพวกเขา แต่โยนาห์กลับนอนหลับ เมื่อกัปตันสั่งให้โยนาห์อธิษฐานต่อพระของเขาด้วย โยนาห์กลับหลับต่อไป พระเจ้าทรงตีสอนโยนาห์โดยให้เขาถูกทิ้งลงในทะเลในระหว่างที่เกิดพายุนั้น แต่พระองค์ให้ปลาตัวใหญ่มากลืนร่างเขาไว้(ยนา.๑:๔-๑๗) ในระหว่างที่อยู่ในท้องปลา โยนาห์ได้สรรเสริญพระเจ้าที่ช่วยเขาให้รอด ปลาก็สำรอกเขาออกมาลงบนแผ่นดิน เพื่อพันธกิจของพระองค์จะได้สำเร็จ(ยนา.๒) ในที่สุดโยนาห์ก็ได้ประกาศที่เมืองนีนะเวห์ แต่เขากระทำโดยไม่เต็มใจนัก การเผยพระวจนะมักจะขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า“พระเจ้าตรัสว่า...” ซึ่งโยนาห์ไม่ได้กล่าวเช่นนี้เลย และไม่ได้บอกด้วยว่าพระเจ้าให้โอกาสพวกเขาได้กลับใจ เพื่อจะทรงผ่อนผันการพิพากษาแก่เมืองนีนะเวห์ออกไป ประชาชนและกษัตริย์เมืองนีนะเวห์ตอบสนองต่อพระบัญชาของพระเจ้าอย่างมากมาย ทุกคนให้ความร่วมมือร่วมใจกันอธิษฐานอดอาหาร “เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของพวกเขาและเห็นเขาเลิกทำชั่ว ก็ทรงเอ็นดูสงสารและไม่ได้ทำลายพวกเขาตามที่ทรงคาดโทษไว้”(ยนา.๓:๑๐) พระเจ้าทรงทราบว่าการกลับใจใหม่ของชาวนีนะเวห์ ไม่ใช่การกระทำแบบผิวเผิน พระองค์รู้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับจิตใจของพวกเขา และการดำเนินชีวิตของพวกเขา พระเจ้าทรงกลับพระทัย และทรงระงับการพิพากษานั้นไว้ก่อน หากมองอีกมุมหนึ่งทำให้พวกเราทราบว่า การกลับใจจากการกระทำบาปของมนุษย์ สามารถเปลี่ยนแปลงพระทัยของพระเจ้าได้
         

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-15.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เชื่อ...เถอะ...(ตอนสุดท้าย)

   
องค์พระผู้เป็นเจ้าทำให้โมเสสมั่นใจในความเชื่อของตนเองที่จะดำเนินชีวิตเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ โดยพระองค์ตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าได้แสดงถึงความรักอันสัตย์ซื่อความห่วงใย และความปรารถนาของพระองค์ และประทับอยู่ในการสามัคคีธรรมร่วมกับพวกเขา “เราเป็นซึ่งเราเป็น”  พระองค์สำแดงว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของปัจจุบันผู้ซึ่งจะตอบสนองต่อ ความต้องการของชาวอิสราเอลด้วยพระองค์เอง พระนามว่า “เราเป็น”มีความหมายว่าพระเจ้าทรงสถิตกับพวกเขาทุกที่ ที่พวกเขาไป ความเชื่อเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะนำพวกเขา เข้าสู่การทรงสถิตของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้ากระทำให้โมเสสมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์เพื่อคนอื่นจะเชื่อว่าพระเจ้าใช้เขามาจริงๆ นอกจากนั้นพระองค์ให้อาโรนเป็นผู้ช่วยและพูดแทนโมเสส
(อพย.๓:๑๒-๑๔;:๒-๑๖)ด้วยความช่วยเหลือทั้งหมดนี้ ทำให้โมเสสมั่นใจเต็มที่ว่า พระเจ้าสามารถช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ให้กระทำพันธกิจที่มอบหมายทุกอย่างได้สำเร็จ เพราะก่อนที่โมเสสจะสิ้นชีวิต เขาบอกโยชูวาผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาว่า “อย่ากลัว อย่าท้อแท้เลย องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง จะทรงนำหน้าท่านและสถิตอยู่กับท่าน พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้ง หรือละทิ้งท่านเลย”(ฉธบ.31:8)
          สำหรับพวกเราแล้วพระเจ้ามอบหมายพันธกิจให้พวกเราเหมือนกัน พระองค์บอกให้ ทำพันธกิจรับใช้ โดยออกไปประกาศพระกิตติคุณเหมือนกับอ.เปาโลและสาวกคนอื่นๆ (๑ทธ.๑:๑๒เราทุกคนได้รับสิทธิพิเศษนี้ บางคนเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา พี่น้องหลายคนที่รับบัพติสมาแล้วก็ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยศิษยาภิบาล และผู้ปกครองในคริสตจักร(มธ.24:14; 28:19-20) ในชีวิตการรับใช้บางครั้งพวกเราก็พบกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ไม่ต้องกังวลใจพระเจ้าช่วยพวกเราให้พันธกิจรับใช้ของพระองค์สำเร็จจนได้ พวกเราต้องขอให้พระองค์ช่วยและต้องเชื่อว่าพระองค์จะช่วยพวกเราได้ อธิษฐานบอกพระองค์ว่าพวกเรากลัวอะไร หรือกังวลเรื่องอะไร พระเจ้าผู้มอบหมายพันธกิจนี้ให้พวกเรา เพราะฉะนั้น พระองค์จะช่วยพวกเราให้ทำพันธกิจนี้จนสำเร็จ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยพวกเราเหมือนๆ กับที่ช่วยโมเสส ประการแรก พระเจ้าสัญญาว่า “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้าอย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นและจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”(อสย.๔๑:๑๐) ประการที่สอง พระเจ้ายืนยันว่าคำสัญญาของพระองค์เชื่อถือได้ พระองค์บอกว่า“.....เราพูดอะไรไว้ เราจะทำให้เกิดขึ้น เราวางแผนอะไรไว้เราจะทำตามแผนนั้น” (อสย.๔๖:๑๑) ประการที่สาม “แต่เรามีของล้ำค่านี้ในภาชนะดินเพื่อแสดงว่าฤทธานุภาพอันล้ำเลิศนี้มาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากตัวเราเอง”(๒คร.๔:๗) องค์พระผู้เป็นเจ้าได้มอบ “กำลังที่มากกว่าปกติ” แก่พวกเราเพื่อจะทำพันธกิจรับใช้จนสำเร็จ ประการสุดท้าย “เหตุฉะนั้นจงให้กำลังใจกันและเสริมสร้างซึ่งกันและกันขึ้นเหมือนที่ท่านก็กำลังทำอยู่แล้ว”(๑ธส.๕:๑๑) พระเจ้าประสงค์ให้พวกเรามีพี่น้องคริสเตียนทั่วโลก “ให้กำลังใจกันและเสริมสร้างซึ่งกันและกัน” เพื่อช่วยพวกเราให้ทำพันธกิจที่มอบหมายต่อ ๆ ไปได้ เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกเราจะมีความเชื่อในพระองค์มากขึ้น และจะเห็นว่าสิทธิพิเศษที่ได้รับใช้พระองค์มีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติในโลกนี้หลายเท่า
          “.....เขามองไปข้างหน้าถึงบำเหน็จของเขา”(ฮบ.๑๑:26) โมเสสไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับแผนการของพระเจ้าในอนาคต แต่เขาก็ใช้ความรู้เท่าที่มีตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตอย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับอับราฮัม โมเสสเชื่อมั่นในคำสัญญาของพระเจ้า เขาจึงไม่คิดว่าการที่ต้องลี้ภัยนาน 40 ปี และรอนแรมอยู่ในป่ากันดารอีก 40 ปีเป็นการเสียเวลาเปล่า แม้โมเสสไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทำให้คำสัญญาต่าง ๆ สำเร็จด้วยวิธีไหน “แต่เพราะความเชื่อ” เขาจึงมั่นใจว่าจะได้บำเหน็จรางวัลแน่นอนเหมือนกับว่าเห็นบำเหน็จนั้นอยู่ตรงหน้าโมเสสแล้ว  # ...พวกเรา...เพ่งมองบำเหน็จ...ที่จะได้รับเช่นเดียวกับโมเสสหรือไม่ ?


อ่านบทความอื่นๆได้ที่  http://theword-15.blogspot.com/