วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คิด...ที่แตกต่าง(ตอนสอง)

          ในบทที่๔ บทสรุปที่น่าคิดสำหรับชีวิตพวกเรา “แต่โยนาห์ไม่พอใจมากและโกรธ 2 เขาอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ก็บอกตั้งแต่ยังอยู่ที่บ้านแล้วไม่ใช่หรือว่ามันจะเป็นอย่างนี้? เพราะเหตุนี้แหละ ข้าพระองค์ถึงได้รีบหนีไปเมืองทารชิช ข้าพระองค์รู้อยู่ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระคุณและความเอ็นดูสงสาร ทรงเป็นพระเจ้าผู้กริ้วช้าและเปี่ยมด้วยความรัก พระเจ้าทรงอดพระทัยไว้ไม่ลงโทษ 3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ขอทรงเอาชีวิตข้าพระองค์ไปเถิด ข้าพระองค์ตายเสียดีกว่าอยู่ (ยนา.๔:๑-๓)   สิ่งที่เกิดขึ้นกับโยนาห์หลังจากที่เขาได้ประกาศเรื่องกลับใจใหม่ “ไม่พอใจมากและโกรธ” ในฐานะผู้เผยพระวจนะชาวฮีบรูคนหนึ่ง โยนาห์ย่อมมีอคติและความเป็นปฏิปักษ์ต่อเพื่อนบ้านที่เป็นคนต่างชาติ พวกยิวตลอดหลายศตวรรษดูถูกคนต่างชาติ พวกเขาไม่ต้องการแบ่งปันพระดำรัสของพระเจ้ากับชนชาติอื่น เหมือนกับที่พวกเขาก็ไม่ยอมทำในสมัยอ.เปาโล เหตุการณ์ใน ๑ธส.๒:๑๔-๑๖ พี่น้องทั้งหลาย ท่านก็เหมือนกับคริสตจักรของพระเจ้าที่แคว้นยูเดียซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ คือท่านต้องเผชิญความทุกข์ยากจากพี่น้องร่วมถิ่นของตนเองเหมือนที่คริสตจักรเหล่านั้นได้รับจากพวกยิว พวกเขาได้ประหารองค์พระเยซูเจ้า เข่นฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะและขับไล่พวกเราออกมา เขาทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยและเป็นศัตรูกับคนทั้งปวง โดยการพยายามขัดขวางไม่ให้เราประกาศแก่คนต่างชาติพื่อให้คนเหล่านั้นได้รับความรอด ด้วยการกระทำเหล่านี้พวกเขาได้พอกพูนบาปผิดให้เต็มพิกัด พระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงพวกเขาในที่สุด อ.เปาโลได้รับการต่อต้านเมื่อประกาศข่าวประเสริฐแก่คนต่างชาติ การกระทำของพวกเขาแบบนี้ก็เพราะ พวกเขาลืมจุดประสงค์เดิมของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติของเขาเสียแล้ว “...และทุกประชาชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเชื้อสายของเจ้า เพราะเจ้าได้เชื่อฟังเรา (ปฐก.๒๒:๑๘) นี่เป็นจุดประสงค์ของพระเจ้า ที่ต้องการให้ชนชาติฮีบรูเป็นพระพรแก่บรรดาประชาชาติทั้งหลายในโลก โดยการแบ่งปันพระดำรัสของพระเจ้าแก่ชาวต่างชาติ โยนาห์คิดว่าพระเจ้าไม่ควรให้ความรอดแก่ชนต่างชาติที่ชั่วร้ายเช่นนี้เปล่าๆ
          ในข้อ๒ โยนาห์อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความขมขื่น และความโกรธ เป็นคำอธิษฐานที่แย่มากๆ มองย้อนกลับไปเมื่อพระเจ้าได้ทรงเรียกโยนาห์ครั้งแรก ช่วงนั้นเขายังอยู่ในอิสราเอลซึ่งเป็นชนชาติของเขา โยนาห์ได้บอกพระเจ้าว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขากลัวว่าถ้าเขาไปเมืองนีนะเวห์และเทศนา พวกเขาจะกลับใจใหม่และพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลงพระทัยจากการพิพากษา ดังนั้นโยนาห์อาจจะคิดไปว่าเขาจะถูกมองว่า เป็นผู้เผยพระวจนะเท็จที่ประกาศเรื่องการพิพากษาของพระเจ้าแล้วไม่เกิดขึ้นจริงๆ เพราะโยนาห์รู้อยู่แก่ใจถึงพระลักษณะของพระเจ้าว่า “...พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระคุณ และความเอ็นดูสงสาร ทรงเป็นพระเจ้าผู้กริ้วช้าและเปี่ยมด้วยความรัก...” ความรัก ความเอ็นดู และพระคุณของพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของความประเสริฐเลิศของพระองค์
          พระคุณของพระเจ้า        
                    “พระองค์เสด็จผ่านหน้าโมเสสไปพร้อมทั้งประกาศว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาและพระคุณ ทรงกริ้วช้า บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์
(อพย.๓๔:๖)
                    “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเชื่องช้าที่จะทำตามพระสัญญาอย่างที่บางคนคิด แต่ทรงอดทนต่อท่านเพราะพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ จงระลึกว่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้ก็เพื่อให้คนทั้งหลายมีโอกาสได้รับความรอด เหมือนที่น้องเปาโลที่รักของเราได้เขียนจดหมายมาถึงท่านด้วยสติปัญญาที่พระเจ้าประทาน” (๒ปต.๓:๙,๑๕)
          พระคุณคือ ความประเสริฐเลิศของพระเจ้า ที่ทรงสำแดงต่อผู้ที่สมควรได้รับสิ่งเลวร้าย การทรงสำแดงพระคุณก็เช่นเดียวกันกับการทรงสำแดงพระเมตตากรุณา คือแล้วแต่พระเจ้าจะทรงเลือก การกระทำของพระองค์จะต้องบริสุทธิ์ พระองค์จะเลือกสำแดง หรือไม่สำแดง พระคุณแก่คนบาปผู้สมควรแก่โทษก็ได้ พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระคุณแก่มนุษย์ทั่วไป โดยการที่พระองค์ทรงอดกลั้น เลื่อนการลงโทษบาปให้ล่าช้าออกไป     
            ความเอื้อเอ็นดูของพระเจ้า(ความเอ็นดูสงสาร)      
                                “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงดีต่อทุกคน พระองค์ทรงรักเอ็นดูสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้น ดวงตาของทุกชีวิตแหงนมองพระองค์ และพระองค์ประทานอาหารให้ในเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์มา และทรงให้ทุกชีวิตได้อิ่มเอมสมปรารถนา” (สดด.๑๔๕:๙,๑๕-๑๖)
                                “กระนั้นพระองค์โปรดให้มีพยานหลักฐานถึงพระองค์เอง คือทรงสำแดงพระคุณโดยประทานฝนจากฟ้าสวรรค์และพืชผลตามฤดูกาล พระองค์ประทานอาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่ท่านและให้จิตใจของท่านเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี (กจ.๑๔:๑๗)
          ด้วยความประเสริฐเลิศ พระองค์จึงทรงปฏิบัติต่อสรรพสิ่งที่ทรงสร้างด้วยน้ำพระทัยกว้างขวางอ่อนโยนและกรุณา ความเอื้อเอ็นดูของพระเจ้าสำแดงออกโดยความอาทรห่วงใยดูแลสิ่งที่ทรงสร้าง และสนองต่อความต้องการของสรรพสิ่งนั้น พระเจ้ามิได้จำกัดความเอื้อเอ็นดูเฉพาะผู้เชื่อเท่านั้น เพราะพระองค์ให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่ทั้งคนชอบธรรม และคนอธรรม (มธ.๕:๔๕)
          ความรักของพระเจ้า     
                   “พระองค์ตรัสว่า แน่นอน พวกเขาเป็นประชากรของเรา เป็นลูกที่จะไม่ทำผิดต่อเราแล้วพระองค์ก็ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา 9 พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของพวกเขา และทูตสวรรค์ที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ก็ช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงไถ่พวกเขาด้วยความรักและความเมตตา พระองค์ทรงยกพวกเขาขึ้นและอุ้มพวกเขาไว้ ตลอดวันคืนในสมัยก่อน” (อสย.๖๓:8-๙)
                   “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกท่านและรักท่าน ไม่ใช่เพราะท่านยิ่งใหญ่กว่าชนชาติอื่นๆ แท้จริงพวกท่านเป็นชนชาติเล็กที่สุดเสียด้วยซ้ำ  แต่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงรักท่านและทรงรักษาคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของท่าน พระองค์จึงทรงนำท่านออกมาด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และทรงไถ่ท่านออกจากแดนทาส จากอำนาจของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ (ฉธบ.๗:๗-๘)
          ความรักของพระเจ้านั้นเป็นความบริบูรณ์เพียบพร้อมที่ผลักดันพระองค์ตลอดเวลาให้เป็นฝ่ายติดต่อ ความรักนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการกระตุ้นของความรู้สึก แต่เป็นความรักจากใจอย่างมีเหตุผล เป็นความบริสุทธิ์และความจริงของพระองค์ เป็นความรักดั้งเดิมตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงเลือกรักเขา ไม่ใช่รักเพราะพวกเขาได้สร้างคุณงามความดี หรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดดีเลิศจึงสมควรได้รับความรัก
                   “ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก เช่นนี้เราจึงรู้และเชื่อมั่นในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา”(๑ยน.๔:๘,๑๖)
                   “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (รม.๕:๘)
          ความรักอันใหญ่หลวงเป็นจุดเด่นแสดงให้เห็นพระลักษณะของพระเจ้า พระคัมภีร์บรรยายถึงสภาพพระลักษณะว่า พระเจ้าคือความรัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัส หรือทรงกระทำเป็นแบบอย่างแสดงถึงความรักของพระองค์ ในน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ประสงค์ที่จะยกโทษความบาปให้แก่มนุษย์ แต่เนื่องจากพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความบริสุทธิ์ และยุติธรรม พระองค์จึงต้องจัดการกับความบาป แต่พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมทางรอดไว้ให้ด้วย เพื่อคนบาปทั้งปวงจะไม่ต้องถูกลงโทษ


อ่านบทความอื่นๆได้ที่  http://theword-15.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น