ในบทที่๔
บทสรุปที่น่าคิดสำหรับชีวิตพวกเรา “แต่โยนาห์ไม่พอใจมากและโกรธ 2 เขาอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพระองค์ก็บอกตั้งแต่ยังอยู่ที่บ้านแล้วไม่ใช่หรือว่ามันจะเป็นอย่างนี้? เพราะเหตุนี้แหละ ข้าพระองค์ถึงได้รีบหนีไปเมืองทารชิช
ข้าพระองค์รู้อยู่ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระคุณและความเอ็นดูสงสาร
ทรงเป็นพระเจ้าผู้กริ้วช้าและเปี่ยมด้วยความรัก พระเจ้าทรงอดพระทัยไว้ไม่ลงโทษ 3
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ขอทรงเอาชีวิตข้าพระองค์ไปเถิด
ข้าพระองค์ตายเสียดีกว่าอยู่” (ยนา.๔:๑-๓) สิ่งที่เกิดขึ้นกับโยนาห์หลังจากที่เขาได้ประกาศเรื่องกลับใจใหม่
“ไม่พอใจมากและโกรธ” ในฐานะผู้เผยพระวจนะชาวฮีบรูคนหนึ่ง
โยนาห์ย่อมมีอคติและความเป็นปฏิปักษ์ต่อเพื่อนบ้านที่เป็นคนต่างชาติ พวกยิวตลอดหลายศตวรรษดูถูกคนต่างชาติ
พวกเขาไม่ต้องการแบ่งปันพระดำรัสของพระเจ้ากับชนชาติอื่น
เหมือนกับที่พวกเขาก็ไม่ยอมทำในสมัยอ.เปาโล เหตุการณ์ใน ๑ธส.๒:๑๔-๑๖ พี่น้องทั้งหลาย
ท่านก็เหมือนกับคริสตจักรของพระเจ้าที่แคว้นยูเดียซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์
คือท่านต้องเผชิญความทุกข์ยากจากพี่น้องร่วมถิ่นของตนเองเหมือนที่คริสตจักรเหล่านั้นได้รับจากพวกยิว
พวกเขาได้ประหารองค์พระเยซูเจ้า เข่นฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะและขับไล่พวกเราออกมา
เขาทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยและเป็นศัตรูกับคนทั้งปวง โดยการพยายามขัดขวางไม่ให้เราประกาศแก่คนต่างชาติเพื่อให้คนเหล่านั้นได้รับความรอด
ด้วยการกระทำเหล่านี้พวกเขาได้พอกพูนบาปผิดให้เต็มพิกัด พระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงพวกเขาในที่สุด
อ.เปาโลได้รับการต่อต้านเมื่อประกาศข่าวประเสริฐแก่คนต่างชาติ
การกระทำของพวกเขาแบบนี้ก็เพราะ พวกเขาลืมจุดประสงค์เดิมของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติของเขาเสียแล้ว
“...และทุกประชาชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเชื้อสายของเจ้า
เพราะเจ้าได้เชื่อฟังเรา” (ปฐก.๒๒:๑๘) นี่เป็นจุดประสงค์ของพระเจ้า
ที่ต้องการให้ชนชาติฮีบรูเป็นพระพรแก่บรรดาประชาชาติทั้งหลายในโลก
โดยการแบ่งปันพระดำรัสของพระเจ้าแก่ชาวต่างชาติ
โยนาห์คิดว่าพระเจ้าไม่ควรให้ความรอดแก่ชนต่างชาติที่ชั่วร้ายเช่นนี้เปล่าๆ
ในข้อ๒ โยนาห์อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความขมขื่น
และความโกรธ เป็นคำอธิษฐานที่แย่มากๆ
มองย้อนกลับไปเมื่อพระเจ้าได้ทรงเรียกโยนาห์ครั้งแรก
ช่วงนั้นเขายังอยู่ในอิสราเอลซึ่งเป็นชนชาติของเขา
โยนาห์ได้บอกพระเจ้าว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขากลัวว่าถ้าเขาไปเมืองนีนะเวห์และเทศนา
พวกเขาจะกลับใจใหม่และพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลงพระทัยจากการพิพากษา ดังนั้นโยนาห์อาจจะคิดไปว่าเขาจะถูกมองว่า
เป็นผู้เผยพระวจนะเท็จที่ประกาศเรื่องการพิพากษาของพระเจ้าแล้วไม่เกิดขึ้นจริงๆ
เพราะโยนาห์รู้อยู่แก่ใจถึงพระลักษณะของพระเจ้าว่า “...พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระคุณ และความเอ็นดูสงสาร
ทรงเป็นพระเจ้าผู้กริ้วช้าและเปี่ยมด้วยความรัก...” ความรัก ความเอ็นดู และพระคุณของพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของความประเสริฐเลิศของพระองค์
พระคุณของพระเจ้า
“พระองค์เสด็จผ่านหน้าโมเสสไปพร้อมทั้งประกาศว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาและพระคุณ ทรงกริ้วช้า
บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์”
(อพย.๓๔:๖)
“องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเชื่องช้าที่จะทำตามพระสัญญาอย่างที่บางคนคิด
แต่ทรงอดทนต่อท่านเพราะพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดพินาศ
แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ จงระลึกว่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้ก็เพื่อให้คนทั้งหลายมีโอกาสได้รับความรอด
เหมือนที่น้องเปาโลที่รักของเราได้เขียนจดหมายมาถึงท่านด้วยสติปัญญาที่พระเจ้าประทาน” (๒ปต.๓:๙,๑๕)
พระคุณคือ
ความประเสริฐเลิศของพระเจ้า ที่ทรงสำแดงต่อผู้ที่สมควรได้รับสิ่งเลวร้าย
การทรงสำแดงพระคุณก็เช่นเดียวกันกับการทรงสำแดงพระเมตตากรุณา คือแล้วแต่พระเจ้าจะทรงเลือก
การกระทำของพระองค์จะต้องบริสุทธิ์ พระองค์จะเลือกสำแดง หรือไม่สำแดง
พระคุณแก่คนบาปผู้สมควรแก่โทษก็ได้ พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระคุณแก่มนุษย์ทั่วไป
โดยการที่พระองค์ทรงอดกลั้น เลื่อนการลงโทษบาปให้ล่าช้าออกไป
ความเอื้อเอ็นดูของพระเจ้า(ความเอ็นดูสงสาร)
“องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงดีต่อทุกคน พระองค์ทรงรักเอ็นดูสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้น ดวงตาของทุกชีวิตแหงนมองพระองค์ และพระองค์ประทานอาหารให้ในเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์มา และทรงให้ทุกชีวิตได้อิ่มเอมสมปรารถนา” (สดด.๑๔๕:๙,๑๕-๑๖)
“กระนั้นพระองค์โปรดให้มีพยานหลักฐานถึงพระองค์เอง
คือทรงสำแดงพระคุณโดยประทานฝนจากฟ้าสวรรค์และพืชผลตามฤดูกาล
พระองค์ประทานอาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่ท่านและให้จิตใจของท่านเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี”
(กจ.๑๔:๑๗)
ด้วยความประเสริฐเลิศ
พระองค์จึงทรงปฏิบัติต่อสรรพสิ่งที่ทรงสร้างด้วยน้ำพระทัยกว้างขวางอ่อนโยนและกรุณา
ความเอื้อเอ็นดูของพระเจ้าสำแดงออกโดยความอาทรห่วงใยดูแลสิ่งที่ทรงสร้าง
และสนองต่อความต้องการของสรรพสิ่งนั้น พระเจ้ามิได้จำกัดความเอื้อเอ็นดูเฉพาะผู้เชื่อเท่านั้น
เพราะพระองค์ให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน
และให้ฝนตกแก่ทั้งคนชอบธรรม และคนอธรรม (มธ.๕:๔๕)
ความรักของพระเจ้า
“พระองค์ตรัสว่า
“แน่นอน พวกเขาเป็นประชากรของเรา เป็นลูกที่จะไม่ทำผิดต่อเรา”แล้วพระองค์ก็ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา
9
พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของพวกเขา และทูตสวรรค์ที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ก็ช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงไถ่พวกเขาด้วยความรักและความเมตตา พระองค์ทรงยกพวกเขาขึ้นและอุ้มพวกเขาไว้ ตลอดวันคืนในสมัยก่อน” (อสย.๖๓:8-๙)
“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกท่านและรักท่าน
ไม่ใช่เพราะท่านยิ่งใหญ่กว่าชนชาติอื่นๆ แท้จริงพวกท่านเป็นชนชาติเล็กที่สุดเสียด้วยซ้ำ
แต่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงรักท่านและทรงรักษาคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของท่าน
พระองค์จึงทรงนำท่านออกมาด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และทรงไถ่ท่านออกจากแดนทาส
จากอำนาจของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์” (ฉธบ.๗:๗-๘)
ความรักของพระเจ้านั้นเป็นความบริบูรณ์เพียบพร้อมที่ผลักดันพระองค์ตลอดเวลาให้เป็นฝ่ายติดต่อ
ความรักนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการกระตุ้นของความรู้สึก
แต่เป็นความรักจากใจอย่างมีเหตุผล เป็นความบริสุทธิ์และความจริงของพระองค์
เป็นความรักดั้งเดิมตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงรักมนุษย์
เพราะพระองค์ทรงเลือกรักเขา ไม่ใช่รักเพราะพวกเขาได้สร้างคุณงามความดี
หรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดดีเลิศจึงสมควรได้รับความรัก
“ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก
เช่นนี้เราจึงรู้และเชื่อมั่นในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา”(๑ยน.๔:๘,๑๖)
“แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย
คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (รม.๕:๘)
ความรักอันใหญ่หลวงเป็นจุดเด่นแสดงให้เห็นพระลักษณะของพระเจ้า
พระคัมภีร์บรรยายถึงสภาพพระลักษณะว่า พระเจ้าคือความรัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัส
หรือทรงกระทำเป็นแบบอย่างแสดงถึงความรักของพระองค์ ในน้ำพระทัยของพระองค์
พระองค์ประสงค์ที่จะยกโทษความบาปให้แก่มนุษย์
แต่เนื่องจากพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความบริสุทธิ์ และยุติธรรม
พระองค์จึงต้องจัดการกับความบาป แต่พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมทางรอดไว้ให้ด้วย
เพื่อคนบาปทั้งปวงจะไม่ต้องถูกลงโทษ
อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-15.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น