สุดท้ายด้วยความประเสริฐเลิศของพระเจ้าเช่นนี้
โยนาห์จึงกลัวว่าพระเจ้าไม่ทรงส่งการพิพากษามายังชาวนีนะเวห์
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ โยนาห์จึงรู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง “ข้าพระองค์ตายเสียดีกว่าอยู่” ในข้อที่๓ ความไม่เป็นผู้ใหญ่
และความเห็นแก่ตัวของโยนาห์จึงปรากฏชัดเจน สิ่งเดียวเขาสนใจคือ ตัวของเขาเอง
เขาจึงมีอารมณ์ขุ่นมัว
และบอกพระเจ้าให้ทรงฆ่าเขาเสีย เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาไม่ได้ตามใจอยาก เขาจึงเดือดดาลและโอดครวญ
และรู้สึกสมเพชตัวเอง ภาพชีวิตของโยนาห์สะท้อนให้เห็นถึงคนไม่รู้จักโต สนใจแต่ตนเอง
และไม่มีความสุข เขาวิ่งหนีจากการทรงเรียกของพระเจ้า จากนั้นเมื่อการได้รับใช้ไม่ได้ออกมาตามแบบที่เขาคิดว่าควรจะเป็น
โยนาห์ก็อยากล้มเลิกเสีย
“แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธ”โยนาห์ก็ออกไปอยู่นอกเมืองทางตะวันออก
แล้วสร้างเพิงขึ้นหลังหนึ่ง แล้วนั่งอยู่ใต้ร่มเพิง
และคอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับกรุงนีนะเวห์” (ยนา.๔:๔-๕)
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธ” คำตรัสนี้ช่วยให้ความกระจ่างว่า ทำไมโยนาห์จึงไม่อยากไปประกาศข่าวในเมืองนีนะเวห์
ทั้งนี้เพราะเขาต้องการให้ชาวนีนะเวห์ถูกทำลาย ไม่ใช่ได้รับความรอด
ถูกทำโทษ ไม่ใช่ได้รับอภัยโทษ เขารู้ว่าพระเจ้าทรงพระกรุณาต่อคนบาป
แต่เขาต้องการให้พระคุณนี้ มีเฉพาะต่อชาวอิสราเอลเท่านั้น เขาอยากตายเสียดีกว่าที่จะเห็นชนต่างชาติได้รับการอภัยโทษเหมือนชาวอิสราเอล
ด้วยความหวังเดิมที่ว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนพระทัย และทำลายเมืองนีนะเวห์เสีย
โยนาห์จึงออกไปนอกเมือง เพื่อคอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกสี่สิบวันกับเมืองนีนะเวห์
“แล้วพระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้เถาไม้เลื้อยเถาหนึ่งงอกขึ้นเหนือโยนาห์
ช่วยบังแดดให้ศีรษะของเขา เพื่อบรรเทาความเดือดเนื้อร้อนใจของเขา
โยนาห์ก็มีความสุขมากที่มีเถาไม้เลื้อยนี้ แต่พอฟ้าสางวันรุ่งขึ้น
พระเจ้าทรงให้มีหนอนกัดกินเถาไม้เลื้อยนั้น จนมันเหี่ยวเฉาไป เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นพระเจ้าทรงให้มีลมตะวันออกอันร้อนระอุพัดมา
แสงอาทิตย์ก็แผดเปรี้ยงเหนือศีรษะของโยนาห์จนเขาแทบเป็นลม
โยนาห์อยากตายและตัดพ้อว่า“ข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่” (ยนา.๔:๖-๘)
“ข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่” ประโยคเดิมที่โยนาห์ใช้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากพระเจ้าเพราะความไม่เป็นผู้ใหญ่
และความเห็นแก่ตัวของตนเอง ด้วยพระเจ้าให้บทเรียนแก่โยนาห์
โดยพระองค์ทรงกำหนดให้มีเถาไม้เลื้อยต้นหนึ่งงอกขึ้นมา เป็นที่กำบังศีรษะของเขา
เพื่อบรรเทาความร้อน โยนาห์จึงขอบคุณพระเจ้า แต่แล้วพระองค์ทรงทำให้เถาไม้เลื้อยต้นนี้ตายไป
โยนาห์จึงโกรธมากจนอยาก
จะตายไปเสีย
“แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า
“เจ้ามีสิทธิ์จะโกรธเรื่องเถาไม้เลื้อยนี้หรือ”โยนาห์ทูลว่า“ข้าพระองค์มีสิทธิ์
ข้าพระองค์โกรธจนอยากตาย” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เจ้าเสียดายเถาไม้เลื้อยนี้ ทั้งๆ
ที่เจ้าไม่ได้ปลูกหรือดูแลมันให้โต มันงอกขึ้นในชั่วข้ามคืนและตายไปในชั่วข้ามคืน ก็แล้วนีนะเวห์ซึ่งมีคนกว่า 120,000 คน
ซึ่งไม่รู้ประสาว่าไหนมือซ้ายไหนมือขวา ทั้งยังมีสัตว์เลี้ยงอีกมากมาย
ไม่ควรหรือที่เราจะห่วงใยนครใหญ่นั้น” (ยนา.๔:๙-๑๑)
“เจ้ามีสิทธิ์จะโกรธเรื่องเถาไม้เลื้อยนี้หรือ” พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้โยนาห์ทราบว่า
เขาไม่ต้องการให้เถาไม้เลื้อยนี้ตาย
เช่นเดียวกับที่พระเจ้าไม่ต้องการให้ชาวนีนะเวห์ตาย
โยนาห์เสียใจเมื่อเถาไม้เลื้อยที่เขามิได้ลงแรงปลูกต้องตายไป แล้วพระเจ้าล่ะจะไม่เสียพระทัยหรื๊อ
สำหรับประชาชนที่พระองค์ทรงสร้างแต่โง่เขลาละเลยต่อพระองค์
จนกระทั่งช่วยตนเองไม่ได้ พระเจ้าทรงใช้คำถามที่แทงใจดำโยนาห์ว่า
นครหนึ่งซึ่งมีประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนก็สำคัญกว่าพืชเถาไม้เลื้อยธรรมดาๆ
ชนิดหนึ่ง มากเท่าใด ในเมืองนีนะเวห์มีเด็กเล็กๆมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน
ที่ไม่รู้จักซ้าย ไม่รู้จักขวา พวกเขาไม่มีความผิดแม้แต่นิดเดียวพระเจ้าไม่ควรไว้ชีวิตเด็กเหล่านี้ พร้อมกับผู้ใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่กลับใจใหม่แล้ว
และขอพระเมตตาจากพระเจ้า ไม่สมควรหรือ ที่พระองค์จะเลื่อนการพิพากษาออกไป
พระเจ้าให้บทเรียนแก่พวกเราผ่านชีวิตโยนาห์ว่า
ผู้ที่เชื่อในพระองค์ควรมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นที่หลงหายไปจากทางของพระเจ้า
และกำลังจะพินาศ จงมองข้ามความเกลียดชัง "ความรักเป็นพลังเดียวที่สามารถเปลี่ยนศัตรู ให้กลายเป็นมิตรได้ และเราไม่สามารถกำจัดศัตรูด้วยการปะทะกันด้วยความเกลียดได้ เรากำจัดศัตรูด้วยการกำจัดความเป็นศัตรู" นี่เป็นคำกล่าวของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง
จูเนียร์ (ศาสนาจารย์ และนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ชาวอเมริกัน) “ความรัก” เป็นคำตอบ “แต่เราบอกท่านว่าจงรักศัตรูของท่าน
และอธิษฐานเผื่อบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน”(มธ. 5:44) ถ้ามีคนเกลียดชังและพยามทำลายชื่อเสียงของพวกเรา
ความเกลียดชังของคนๆนั้นอาจมีพลังอำนาจมากพอ ที่จะล่อลวงให้พวกเราเกลียดเขาเป็นการตอบแทน แต่พระเยซูคริสต์กลับทรงบัญชาให้เรารักศัตรูและอธิษฐานเผื่อพวกเขาด้วย ความรักอันยิ่งใหญ่ขององค์พระเยซูคริสต์ที่ได้ทรงสละพระชนม์เพื่อพวกเราที่บนกางเขน แม้ว่าพวกเราจะเต็มไปด้วยความผิดบาป ความรักของพระเจ้าจะหลอมละลายจิตใจของเรา เมื่อพวกเราระลึกถึงเวลาที่พระเจ้าทรงยกโทษความผิดบาปให้พวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า
พระองค์ก็ยังทรงอ่อนโยน และอดทนต่อพวกเราเสมอ พระองค์จะทรงรอคอยจนกว่าพวกเราจะเรียนรู้สิ่งที่พระองค์ทรงสอน
เมื่อพวกเรารู้จักความรักของพระองค์แล้ว จะเก็บความขมขื่น หรือความอาฆาตต่อคนอื่นได้อย่างไร
แต่ถ้ายังคงปฏิเสธไม่ให้ความรักของพระเจ้าหลั่งไหลเข้ามาในจิตวิญญาณ ยังคงปฏิเสธไม่ยอมละทิ้งความเกลียดชังศัตรู นั่นก็หมายความว่า พวกเรายังไม่เคยเชื่ออย่างแท้จริงว่า พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อพวกเรา
ขณะที่พวกเรายังเป็นคนบาปอยู่ (รม.5:8)
****************************
อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-15.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น