วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ท้อได้...แต่อย่าถอย...(ตอนสุดท้าย)

   ตามที่ปรากฏในชีวิต
ของอ.เปาโล “ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะกำลังขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมีไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร 12 ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมีในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า” (ฟป.๔:๑๑-๑๓) อ.เปาโลเรียนรู้ที่จะพอใจไม่ว่าเขาจะมีมากหรือขัดสนก็ตาม เคล็ดลับก็คืออาศัยกำลังจากฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ เรียนรู้ที่จะพึ่งพิงพระสัญญาของพระเจ้า และฤทธิ์เดชของพระคริสต์ที่จะช่วยให้พอใจในสิ่งที่มี ถ้ายังมีความต้องการมากขึ้น จงทูลขอให้พระเจ้าขจัดความต้องการออกไป และสอนให้มีความพอใจในทุกสถานการณ์ พระองค์จะให้ทุกสิ่งที่จำเป็นต้องมี แต่ทรงให้ในแนวทางที่พระองค์ทรงรู้ว่าจะเกิดผลดีที่สุด  “ จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด! 5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอนพร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ฟป.๔:๔-๗) พวกเราต้องชื่นชมยินดี และรับกำลังโดยการระลึกถึงพระคุณ ความใกล้ชิดสนิทสนม และพระสัญญาของพระเจ้า พวกเราต้องเชื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาได้ทุกเวลา ฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวพร้อมเสมอด้วยการรับใช้ และเฝ้าระวังตลอดเวลา “อย่ากระวนกระวาย” การอธิษฐาน เป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยบำบัดความกระวนกระวายได้ เพราะ
                        ± การอธิษฐานพวกเรากำลังฟื้นฟูความไว้วางใจในความซื่อสัตย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อชีวิตของพวกเรา (มธ.๖:๒๕-๓๔)
                        ± ความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซูคริสต์ พวกเราจะพบสันติสุขของพระเจ้าที่จะ เข้ามาคุ้มครองความคิดและจิตใจของพวกเรา (คส.๓:๑๕)
                        ± พระเจ้าประทานกำลังให้พวกเราทำทุกสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาได้ (อฟ.๓:๑๖)
                        ± พวกเราได้รับพระเมตตา พระคุณ และการช่วยเหลือในเวลาที่ต้องการ (ฮบ.๔:๑๖)
            พวกเรามั่นใจได้ว่าทุกสิ่งพระเจ้าทรงกระทำกิจเพื่อให้เกิดผลดีเพื่อพวกเรา สันติสุขของพระเจ้าจะไหลท่วมท้นวิญญาณจิตที่ปั่นปวนของพวกเรา สันติสุขนี้เป็นความสงบภายในที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานให้ เป็นความรู้สึกเชื่อมั่นว่าพระเยซูคริสต์ทรงอยู่ใกล้ และความรักของพระเจ้าทรงกระทำกิจเพื่อให้เกิดผลในชีวิตของพวกเรา       

ท่านไม่ได้รับวิญญาณซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก
แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์เราร้องว่า อับบาพระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเรา
ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า
(รม.๘:๑๕-๑๖)



อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ท้อได้...แต่อย่าถอย...(ตอนสี่)

          ซาโลมอนได้กระทำการล่วงละเมิดต่อองค์พระยาห์เวย์ ทั้งๆ ที่ได้รับคำเตือนจากทั้งดาวิด และองค์พระผู้เป็นเจ้า ดาวิดได้เตือนพระองค์ว่า “หากเจ้าใส่ใจปฏิบัติตามกฎหมายและบทบัญญัติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสสสำหรับอิสราเอล เจ้าก็จะประสบความสำเร็จ จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรืออย่าท้อแท้” (พศด.๒๒:๑๓) และ “จงรักษาข้อกำหนดที่พระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงวางไว้ ดำเนินในทางของพระองค์และปฏิบัติตามกฎหมาย พระบัญชา บทบัญญัติ และข้อกำหนดของพระองค์ ตามที่บันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสส เพื่อเจ้าจะเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือทำสิ่งใด” (๑พกษ.๒:๓) ดาวิดหนุนใจให้ซาโลมอนให้เข้มแข็ง และกล้าหาญในการรักษาถือพระบัญญัติของพระเจ้า ดาวิดเชื่อว่าการเชื่อฟังตามพระบัญญัติที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงไว้ ย่อมเป็นหลักประกันแห่งความสำเร็จองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดงเพื่อตักเตือนซาโลมอนถึงสามครั้ง “และหากเจ้าดำเนินในทางของเรา ปฏิบัติตามคำสั่งและกฎเกณฑ์ของเราเหมือนดาวิดบิดาของเจ้า เราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว (๑พกษ.๓:๑๔) ต่อมาพระองค์ได้เตือนว่า แต่หากเจ้าหรือลูกหลานของเจ้าละทิ้งเรา ไม่ได้ปฏิบัติตามคำบัญชาและกฎหมายที่เราได้ให้แก่เจ้าหันไปปรนนิบัตินมัสการพระอื่นๆ 7 เราก็จะตัดอิสราเอลออกจากดินแดนซึ่งเราได้ยกให้เขา เราจะทิ้งวิหารแห่งนี้ซึ่งเราได้ชำระให้บริสุทธิ์เพื่อนามของเรา อิสราเอลจะกลายเป็นที่เย้ยหยันและคำเปรียบเปรยในหมู่ประชาชาติ” (๑พกษ.๙:๖-๗) และครั้งสุดท้าย “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโซโลมอนว่า เนื่องจากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้และไม่ได้รักษาพันธสัญญาและกฎหมายซึ่งเราได้สั่งเจ้าไว้ เราจะฉีกอาณาจักรของเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด และแบ่งให้ผู้ใต้บังคับ” (๑พกษ.๑๑:๑๑) พระเจ้าเตือนซาโลมอนว่า ถ้าพระองค์ดำรงชีวิตอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ สำแดงท่าทีและการกระทำว่า เชื่อฟังตามพระวจนะของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงประทานให้เชื้อสายวงศ์วานของซาโลมอนยั่งยืนตลอดไป อย่างไม่ขาดจากการเป็นผู้ปกครองชนชาติอิสราเอล แต่ถ้าซาโลมอนเอง หรือเชื้อสายคนใดคนหนึ่งของพระองค์ไม่ได้ติดตามพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ และหันไปกราบไหว้นมัสการพระอื่น พระเจ้าก็จะออกไปเสียจากชนชาติอิสราเอล และละทิ้งพระวิหารของพระองค์ด้วย จากการตักเตือนทั้งสองกรณีนี้น่าจะทำให้ซาโลมอนได้สำนึกในสิ่งที่พระองค์ได้กระทำ จึงมองเหตุการณ์ชีวิตที่ผ่านมาอย่างโศกเศร้า “เพราะมนุษย์อาจทำงานด้วยสติปัญญา ความรู้ และความเชี่ยวชาญ แต่แล้วก็ต้องละทิ้งทุกสิ่งที่เขาครอบครองให้แก่ใครบางคนซึ่งไม่ได้ลงมือลงแรง นี่ก็เช่นกัน อนิจจังและโชคร้ายเหลือเกิน 22 คนเราได้ประโยชน์อะไรจากการดิ้นรนต่อสู้และการตรากตรำคร่ำเครียดทั้งปวงภายใต้ดวงอาทิตย์? 23 ตลอดชีวิตของเขา งานก็เป็นความเจ็บปวดและความทุกข์โศก แม้ยามค่ำคืนจิตใจก็ไม่สงบสุข นี่ก็อนิจจัง” (ปญจ.๒:๒๑-๒๓) โซโลมอนชี้ให้เห็นว่าการทำงานหนักไม่ได้ให้ผลที่ยั่งยืนแก่คนที่ทำงาน เพียงเพราะอยากได้เงินทองหรือทรัพย์สมบัติ ไม่เพียงแต่ทุกสิ่งจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อตายไป แต่อาจถูกทิ้งไว้ให้กับคนที่ไม่ได้ลงแรงเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมา นอกจากนี้มันอาจถูกทิ้งๆ ขว้างๆ และทุกสิ่งที่ได้มาก็อาจสูญไปหมด การที่แต่ละคนพยายามไขว่คว้าหาสติปัญญา ความสำเร็จหรือความยุติธรรมมากเท่าไหร่ก็ตาม ผลที่ได้มาเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ไม่มีอะไรที่แน่นอนยั่งยืน การยึดเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งโดยปราศจากพระเจ้านั้น ซาโลมอนมองว่าเป็นชีวิตที่ว่างเปล่าไม่มีความหมาย และไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะมาซึ่งความอิ่มใจ และสันติสุขได้ ความชื่นบานในงานมาจากพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ประทานสติปัญญา ความรู้และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์พอพระทัย (ปญจ.๒:๒๖)
          ผู้คนมากมายทุ่มเทชีวิตในการปีนป่ายขึ้นสู่บันไดแห่งความสำเร็จ แต่โซโลมอนทรงชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด จะไม่สามารถยืนอยู่ที่ตรงนั้นได้ตลอดไป พวกเขาจะถูกลืมเมื่อมีคนอื่นเข้ามาแทนที่ เกียรติยศ ชื่อเสียง และอำนาจ เป็นสิ่งที่อยู่ไม่นาน และไม่สามารถตอบสนองความต้องการจิตใจของมนุษย์ได้ คนที่เต็มไปด้วยความอยากได้อยากมี เป็นคนที่ไม่เคยพบกับความอิ่มใจ ซาโลมอนทรงทราบว่าความอิ่มใจจะไม่อยู่กับคนที่มองดูสิ่งที่ตนเองมีอยู่ในมือด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความอิ่มใจ ก็คือ ความพึงพอใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้อย่างเพียงพอตามความจำเป็นของเรา

อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ท้อได้...แต่อย่าถอย...(ตอนสาม)

   

พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการปกครองว่า “จงแน่ใจว่าท่านแต่งตั้งคนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกให้เป็นกษัตริย์ เขาจะต้องเป็นคนอิสราเอล ไม่ใช่คนต่างด้าว 16 กษัตริย์ต้องไม่หาม้ามากมายมาเป็นของตัว หรือส่งคนไปที่อียิปต์เพื่อหาม้ามาเพิ่ม เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งไว้ว่า เจ้าจะต้องไม่หวนกลับไปทางนั้นอีก17 เขาจะต้องไม่มีภรรยาหลายคน มิฉะนั้นจิตใจของเขาจะหันเหไป และเขาจะต้องไม่สะสมเงินทองไว้มากมาย(ฉธบ.๑๗:๑๕-๑๗) ถึงแม้ว่าซาโลมอนคิดว่าตนมีปัญญามากว่าผู้อื่น พระองค์กลับละเลยคำสอนที่พระเจ้าประทานให้เกี่ยวกับเรื่องการปกครอง
                   * “ต้องไม่สะสมเงินทอง” แต่ซาโลมอนทรงมีทองคำมหาศาล รายได้ส่วนพระองค์ได้รับทองคำหนักปีละยี่สิบสามตัน (ปีละหกร้อยหกสิบหกตะลันต์ หรือ สองหมื่นสองพันสามร้อยเจ็ดสิบสองกิโลกรัม) น่าจะประมาณค่าได้ห้าร้อยล้านบาท ถ้วยของพระองค์ที่ใช้สำหรับดื่มนั้นทำด้วยทองคำ พระองค์ทรงมีเรือกำปั่นเป็นอันมาก (๑พกษ.๙:๒๖-๒๘,๑๐:๒๒;๒พศด.๘:๑๗-๑๘) ดังนั้นพระองค์จึงทรงมั่งคั่ง และมีสติปัญญาเหนือกว่ากษัตริย์ใดๆ ทั้งหลายในแผ่นดิน (๒พศด.๑:๑๕;:๑๓,๒๐,๒๒)
                   * “ต้องไม่หาม้ามากมาย” แต่ซาโลมอนทรงมีม้าสี่หมื่นตัว ทรงมีรถรบหนึ่งพันสี่ร้อยคัน มูลค่าน่าจะประมาณคันละหนึ่งหมื่นบาท และทรงบังคับบัญชาทหารม้าหนึ่งหมื่นสองพันคน (๑พษก.๔:๒๖;๑๐:๒๖,๒๙)
                   * “ต้องไม่มีภรรยาหลายคน” แต่ซาโลมอนทรงมีมเหสีเป็นเจ้าหญิงเจ็ดร้อยคน และนางสนมสามร้อยคน(๑พกษ.๑๑:๓) ส่วนหนึ่งเป็นธรรมเนียมโปราณ การมีสนมฝ่ายในมากมายนั้นเป็นการแสดงถึงการทูตระหว่างดินแดน มากกว่าการแสดงในเรื่องสัมพันธ์ทางเพศ “การผูกมัดของครอบครัว” เป็นการแสดงถึง “การผูกมิตรทางการเมือง” ความสัมพันธ์ในการแต่งงานของซาโลมอนกับชนชาติอื่นๆ จึงเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองซึ่งทำให้พระองค์มีความมั่นคงปลอดภัยในการเป็นกษัตริย์ การทำข้อตกลงระหว่างดินแดนแบบนี้ทำให้อิสราเอลต้องกระทำสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเป็นการเริ่มต้นที่ทำให้พระอื่นๆ เข้ามาในเยรูซาเล็ม ซาโลมอนไม่เพียงแต่แต่งงานกับหญิงต่างชาติเท่านั้น แต่ยังนมัสการพระของพวกเขา และได้กลายเป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญในศาสนาของต่างชาติด้วย
          ถึงแม้ซาโลมอนไม่ละทิ้งพระยาห์เวห์ แต่ท่านก็นมัสการพระเทียมเท็จอื่นๆ พระองค์ประนีประนอมกับพวกมเหสีและสนมของพระองค์ พระองค์คงคิดว่าในฐานะที่เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นถ้าจะเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายทั่วโลกแล้ว พระองค์ก็สามารถทำสิ่งใดๆก็ได้ตามใจปรารถนา ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ผิดต่อพระคำของพระเจ้าก็ตาม “ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้ละทิ้งเราไปกราบไหว้พระอัชโทเรทเทวีของชาวไซดอน พระเคโมชเทพเจ้าของชาวโมอับ และพระโมเลคเทพเจ้าของชาวอัมโมน เขาไม่ได้ดำเนินในทางของเรา ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา และไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และบทบัญญัติของเราเหมือนดาวิดราชบิดาของเขา(๑พกษ.๑๑:๓๓) เมื่อซาโลมอนชราลง พระองค์ก็ห่างเหินพระเจ้าไกลออกไป โดยนมัสการพระอื่น “พระอัชโทเรท” เป็นเทพเพศหญิงแห่งกาม และความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นการนมัสการนางจึงเป็นเรื่องในการเสพในทางเพศ รวมถึงการกราบไหว้ดวงดาวต่างๆ นางเป็นเจ้าแม่ที่เลวทราม “พระโมเลค” นมัสการโดยบูชายันด้วยชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฆ่าเด็กๆ ซึ่งการบูชายันด้วยชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเข้มงวดในพระคัมภีร์ (ลนต.๑๘:๒๑;๒๐:๑-๕) “พระเคโมช” เทพแห่งสงครามของพวกชาวโมอับ (กดว.๒๑:๒๙; ยรม. ๔๘:๔๖) เข้าใจว่าชาวโมอับเลียนแบบชาวอัมโมนในพิธีบูชาบุตร  โดยเผาเด็กถวายต่อรูปเคารพ (๒พกษ. ๓:๒๗) ซาโลมอนได้สร้างปูชนียสถานไว้สำหรับพระเคโมชอาจจะเป็นที่เนินเขามะกอกเทศก็ได้ (๒พกษ.๒๓:๑๓)

อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ท้อได้...แต่อย่าถอย...(ตอนสอง)


                    # เนรเทศ อาบียาธาร์ผู้เป็นปุโรหิตที่เข้าข้างอโดนียาห์ในการกบฎนั้น ซาโลมอนไม่ได้ประหารเพราะอาธาบียาห์เป็นปุโรหิตของพระเจ้า และก็เป็นผู้ที่ร่วมต่อสู้มากับกษัตริย์ดาวิดมาโดยตลอด ซาโลมอนจึงเพียงแต่ถอดออกจากตำแหน่ง และกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำบลบ้านเกิดของเขาเท่านั้น คือ เมืองอานาโธท(๑พกษ.๒:๒๖-๒๗)
                    # ประหาร โยอาบที่ให้การสนับสนุนอาโดนียาห์ โดยเบไนยาห์ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์และแต่งตั้งเขาให้ดำรงตำแหน่งแทนโยอาบ คือเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด(๑พกษ.๒:๒๘-๓๕)
                    # ประหาร ซีเมอี ดาวิดและซาโลมอนถือว่าเขาเป็นบุคคลอันตราย เพราะเมื่อครั้งดาวิดหนีอับซาโลน ซีเมอีก็โจมตีดาวิด และกองทัพของพระองค์ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ พวกที่ติดตามดาวิดเห็นถึงความเลวร้ายของชายผู้นี้จึงขออนุญาตจากดาวิดประหารชีวิตเขาเสีย(๒ซมอ.๑๖:๕-๑๓) แต่ดาวิดไม่ได้กระทำตาม แต่พระองค์ก็ไม่ได้ให้อภัยแก่ชายผู้นี้ เพียงแต่ประวิงเวลาการลงโทษออกไปอาจเป็นเพราะสถานการณ์ช่วงนั้นอาจไม่เอื้ออำนวยก็ได้ ซีเมอีเป็นบุคคลที่มาจากเผ่าเดียวกับซาอูล คือเผ่าเบนยามิน(๒ซมอ.๑๖:๕)ซาโลมอนเรียกตัวซีเมอีให้เข้าเฝ้าและตัดสินโทษเขา คือกักบริเวณให้อยู่แต่ในเยรูซาเล็มเท่านั้น ถ้าเขาออกจากกรุง เขาคงต้องมุ่งหน้ากลับบ้าน และเร้าให้มีการกบฏเกิดขึ้นในเผ่าเบยามิน ซาโลมอนกำชับชัดเจนว่าถ้าเขาออกจากกรุงไปวันใดเขาจะถูกประหารชีวิต ซิเมอีเข้าใจเป็นอย่างดี และใช้ชีวิตตามการจำกัดบริเวณนี้เป็นเวลานานถึงสามปี จนกระทั่งซีเมอีออกจากกรุงไปตามทาสสองคนของตน ที่หนีไปให้กลับมา เขาจึงถูกประหาร(๑พกษ.๒:๓๖-๔๖)
          ซาโลมอนอภิเษกสมรสกับราชธิดาของพระราชาแห่งอียิปต์ เพื่อเป็นการรับรองสันติภาพกับกษัตริย์อียิปต์(๑พกษ.๓:๑) นี่เป็นจุดเริ่มของความเดือดร้อนที่จะมาถึงพระองค์(๑พกษ.๑๑:๑-๘) อาณาจักรเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับดังนั้นจำนวนข้าราชการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมาย พระองค์จึงเปลี่ยนวิธีเก็บภาษีเพื่อจะได้มีงบประมาณพอที่จะบริหารราชการแผ่นดินได้ พระองค์จึงแบ่งอิสราเอลออกเป็นสิบสองส่วน แต่ละส่วนต้องจัดหาอาหารไว้สำหรับราชสำนักของซาโลมอนหนึ่งเดือนต่อหนึ่งปี(๑พกษ.๔:๗) ประเทศราชของอาณาจักรต้องส่งเครื่องบรรณาการด้วย(๑พกษ.๔:๒๑) ในการสร้างพระวิหาร และพระราชวังอันใหญ่โตมโหฬารของพระองค์ซึ่งได้เกณฑ์ให้บรรดาชายในอิสราเอลทำงานให้ราชสำนักสามเดือนต่อหนึ่งปี เพื่อให้มีคนงานจำนวนสามหมื่นคนตลอดปี นอกจากนั้นยังมีชาวคานาอันจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นคนถูกจัดให้ทำงานเยี่ยงทาสตลอดเวลา(๑พกษ.๕:๑๓-๑๘) มีการสร้างกำแพงเมืองของกรุงเยรูซาเล็มให้แข็ยงแรงมากยิ่งขึ้น(๑พกษ.๙:๑๕) ในส่วนชนบทของกรุงพระองค์ก็ได้บูรณะเมืองที่ปรักหักพัง จัดตั้งฐานทัพและหัวเมืองคลังเพื่อเก็บผลิตผลที่ได้เอาไว้ให้ราชสำนัก(๑พกษ.๙:๑๖-๑๙) ในการสร้างและปรับปรุงอาณาจักรนั้นพระองค์ได้ขอยืมทองจากฮีรามเป็นจำนวนมาก(๑พกษ.๙:๑๔) ซาโลมอนไม่สามารถใช้คืนได้ จึงตัดสินใจแยกเมืองยี่สิบเมืองจากทางเหนืออิสราเอล และมอบเมืองเหล่านี้ให้ฮีราม(๑พกษ.๙:๑๐-๑๑) การกระทำของพระองค์สร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนทางเหนือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างกรุงเยรูซาเล็มอย่างหรูหรา(๑พกษ.๑๒:๔) ซาโลมอนทรงร่วมมือกับฮีรามแห่งเมืองไทระ รับสินค้าทางด้านทะเลมดิเตอร์เรเนียน ส่งทางบกไปทางทะเลแดงแล้วก็ส่งต่อลงเรือไปถึงประเทศทางตะวันออก(๑พกษ.๙:๑๐-๑๑) นอกจากนั้นพระองค์ยังเก็บภาษีสินค้าทุกอย่างที่ผ่านอิสราเอลตามเส้นทางเดินสินค้าระหว่างชาติต่างๆ (๑พกษ.๙:๑๐-๑๔-๑๕,๒๘-๒๙)ดังนั้นอำนาจส่วนใหญ่ของซาโลมอนจึงได้มาจากการเมืองโดยการใช้สติปัญญา และการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน           
          เมื่อซาโลมอน “หลงเจิ่น” ไปจากทางของพระเจ้า พระองค์รู้สึกว่าสิ่งที่กระทำไปในชีวิต ปราศจากความหมายและไร้ประโยชน์ “ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะการงานที่ทำภายใต้ดวงอาทิตย์เป็นความโศกสลดแก่ข้าพเจ้าล้วนแต่อนิจจัง เหมือนวิ่งไล่ตามลม ๑๘ ข้าพเจ้าเกลียดชังสิ่งทั้งปวงที่ตนเองตรากตรำทำไปภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้ให้คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า ๑๙ และใครเล่าจะรู้ว่าเขาจะเป็นคนโง่หรือฉลาด? ถึงกระนั้นเขาก็จะได้ครอบครองผลงานทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายและความชำนาญลงไปภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็อนิจจังด้วยเช่นกัน ๒๐ ฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงท้อแท้สิ้นหวังต่อการงานอันตรากตรำทั้งปวงของตนภายใต้ดวงอาทิตย์” (ปญจ.๒:๑๗-๒๐) เมื่อซาโลมอนทรงมองย้อนกลับไปในชีวิตที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มครองราชบัลลังก์จนถึงการสร้างอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่และมั่นคง (ซึ่งได้บรรยายไว้แล้วนั้น) พระองค์ก็พบว่าทรงให้ความสำคัญกับความสำเร็จของตนเองมาเกินไป มันเป็นวงจรการทรงงานที่ไม่มีวันจบสิ้น ซาโลมอนเริ่มเกลียดชังชีวิตตนเอง ชีวิตที่เต็มไปด้วยความยุ่งยาก มันว่างเปล่า และหดหู่ใจกับความพยายามทั้งหมดของตน กาลสืบไปภายหน้าความไม่เที่ยงแท้แน่นอนก็จะเกิดขึ้น ที่ผู้อื่นซึ่งอาจจะเป็นคนที่มีสติปัญญา หรือคนที่โง่เขลาก็ได้ ที่จะเข้ามาครอบครองบรรดาการงานของพระองค์ ซึ่งพระองค์ใช้สติปัญญาสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้น ยิ่งพระองค์คิดในมุมมองของมนุษย์เกี่ยวกับประเด็นต่างๆของชีวิตมากเท่าไร พระองค์ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ท้อใจเป็นอันมาก

อ่านบทความอื่นๆได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ท้อได้...แต่อย่าถอย...(ตอนแรก)

ปญจ.๒:๒๐
ฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงท้อแท้สิ้นหวัง
ต่อการงานอันตรากตรำทั้งปวงของตนภายใต้
ดวงอาทิตย์

            พระธรรมปัญญาจารย์ เชื่อกันว่ากษัตริย์ซาโลมอนเป็นผู้เขียน “ซาโลมอน” เป็นบุตรคนที่สองของกษัตริย์ดาวิด และนางบัทเชบา “แล้วดาวิดจึงทรงปลอบโยนบัทเชบามเหสีของพระองค์ และเมื่อบรรทมกับพระนาง พระนางก็ทรงตั้งครรภ์ แล้วประสูติราชโอรสพระนามว่าโซโลมอน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักทารกนี้ 25 และเนื่องจากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักเขา จึงทรงใช้ผู้เผยพระวจนะนาธันมาขนานนามทารกนี้ว่า เยดีดิยาห์” (๒ซมอ.๑๒:๒๔) พระองค์เติบโตมาจากครอบครัวที่มีผู้นำที่รักพระเจ้ามากที่สุดคนหนึ่งในพระคัมภีร์ นั้นคือกษัตริย์ดาวิด ดาวิดคงมีส่วนอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของซาโลมอนกับพระเจ้า สำหรับนางบัทเชบาเองก็น่าเชื่อได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะนางได้สูญเสียบุตรไปด้วยบาปที่กระทำร่วมกับดาวิด(๒ซมอ.๑๒:๑๓-๑๘) นางน่าจะเปลี่ยนแปลงตนเองจนกลายเป็นแม่แบบของหญิงผู้มีคุณธรรมตามที่บรรยายไว้ใน “สุภาษิตบทที่๓๑” ดังนั้นเธอจึงเป็นผู้หญิงที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีอุปนิสัยดี และมีชีวิตที่เป็นตามแบบของพระเจ้า สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าเองก็ดูเหมือนจะตั้งใจเอ่ยว่า พระองค์ทรงพอพระทัยซาโลมอนมากเป็นพิเศษ จนพระองค์ตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า “เยดีดิยาห์” ซึ่ง แปลว่า ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรัก ยังมีพระธรรมอีกสองเล่มที่เชื่อว่ากษัตริย์ซาโลมอนเป็นผู้เขียน นั่นคือ เพลงซาโลมอน และสุภาษิต หากมองชีวิตของซาโลมอนผ่านทางพระธรรมทั้งสามเล่มนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจให้พระองค์เขียนสะท้อนภาพชีวิตของพระองค์เองออกเป็นสามช่วงดังนี้คือ
                   ระยะแรก ชีวิตของซาโลมอนนำเสนอด้วยพระธรรมเพลงซาโลมอน พระธรรมเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นในวัยหนุ่มของพระองค์ เมื่อพระองค์ตกหลุมรักอย่างมากมายกับหญิงชาวชูเนม
                   ระยะที่สองชีวิตของซาโลมอนนำเสนอด้วยพระธรรมสุภาษิต พระธรรมเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นในตอนวัยกลางคน และมุ่งเน้นเรื่องการเตรียมการ “เรโหโบอัม” บุตรชายของพระองค์เพื่อที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์กษัตริย์ต่อจากพระองค์ในที่สุด
                   ระยะที่สาม ชีวิตของซาโลมอนนำเสนอด้วยพระธรรมปัญญาจารย์ พระธรรมเล่มนี้ถูกขียนขึ้นในยามวัยชราหลังจากที่เขาได้กลายเป็นคนที่เสื่อมถอย และถูกมเหสีหลายคนพาให้หลง และมีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตที่ว่างเปล่า เมื่อไม่มีพระเจ้า
          ความวุ่นวายก่อนที่ซาโลมอนจะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เมื่อ อาโดนียาห์ พี่ชายต่างมารดาตั้งตนเป็นกษัตริย์ เขาจัดงานเลี้ยงท่ามกลางผู้สนับสนุนตน และพยายามชักชวนคนอื่นๆ ให้เข้าร่วมในขบวนการของตนด้วย การถวายบูชาของเขาเป็นเรื่องของงานเลี้ยงฉลองมากว่าเป็นศาสนพิธี แขกส่วนใหญ่ที่มาไม่ค่อยใกล้ชิดดาวิดผู้เป็นบิดา หรือใกล้ชิดกับซาโลมอนซึ่งเป็นราชบุตรที่ดาวิดเลือกไว้ แต่สุดท้ายดาวิดก็จัดการกับปัญหานี้จนสำเร็จ โดยความช่วยเหลือจากผู้เผยพระวจนะนาธันตามคำขอร้องของนางบัทเชบา และแต่งตั้งให้ซาโลมอนเป็นกษัตริย์(๑พกษ.๑:๕-๕๓) เพื่อความมั่นคงของราชย์บัลลังก์คำแนะนำสุดท้ายของดาวิด คือสั่งให้ซาโลมอนประหารชีวิตโยอาบ และชิเมอี(๑พกษ.๒:๕-๙) ซาโลมอนได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของบิดา และกระทำนอกเหนือคำแนะนำนั้นอีกหลายอย่างด้วยกัน
                   # เมื่ออาโดนียาห์ขอแต่งงานกับนางอาบีชากชาวชูเนม(พซม.๖:๑๓)ซึ่งน่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่ซาโลมอนแอบรักอย่างมากมายในพระธรรมเพลงซาโลมอน(เป็นเรื่องทำนองเดียวกันกับเหตุการณ์ใน๒ซมอ.๑๖:๒๑-๒๒) ซาโลมอนมองว่าการขอเช่นนี้เป็นการกบฏ จึงสั่งประหารชีวิต
อาโดนียาห์(๑พกษ.๒:๑๙-๒๕)

อ่านบทความอื่นๆได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/