# เนรเทศ
อาบียาธาร์ผู้เป็นปุโรหิตที่เข้าข้างอโดนียาห์ในการกบฎนั้น
ซาโลมอนไม่ได้ประหารเพราะอาธาบียาห์เป็นปุโรหิตของพระเจ้า
และก็เป็นผู้ที่ร่วมต่อสู้มากับกษัตริย์ดาวิดมาโดยตลอด ซาโลมอนจึงเพียงแต่ถอดออกจากตำแหน่ง
และกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำบลบ้านเกิดของเขาเท่านั้น คือ เมืองอานาโธท(๑พกษ.๒:๒๖-๒๗)
# ประหาร
โยอาบที่ให้การสนับสนุนอาโดนียาห์
โดยเบไนยาห์ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์และแต่งตั้งเขาให้ดำรงตำแหน่งแทนโยอาบ คือเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด(๑พกษ.๒:๒๘-๓๕)
# ประหาร
ซีเมอี ดาวิดและซาโลมอนถือว่าเขาเป็นบุคคลอันตราย เพราะเมื่อครั้งดาวิดหนีอับซาโลน
ซีเมอีก็โจมตีดาวิด และกองทัพของพระองค์ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ
พวกที่ติดตามดาวิดเห็นถึงความเลวร้ายของชายผู้นี้จึงขออนุญาตจากดาวิดประหารชีวิตเขาเสีย(๒ซมอ.๑๖:๕-๑๓) แต่ดาวิดไม่ได้กระทำตาม แต่พระองค์ก็ไม่ได้ให้อภัยแก่ชายผู้นี้
เพียงแต่ประวิงเวลาการลงโทษออกไปอาจเป็นเพราะสถานการณ์ช่วงนั้นอาจไม่เอื้ออำนวยก็ได้
ซีเมอีเป็นบุคคลที่มาจากเผ่าเดียวกับซาอูล คือเผ่าเบนยามิน(๒ซมอ.๑๖:๕)ซาโลมอนเรียกตัวซีเมอีให้เข้าเฝ้าและตัดสินโทษเขา
คือกักบริเวณให้อยู่แต่ในเยรูซาเล็มเท่านั้น ถ้าเขาออกจากกรุง
เขาคงต้องมุ่งหน้ากลับบ้าน และเร้าให้มีการกบฏเกิดขึ้นในเผ่าเบยามิน
ซาโลมอนกำชับชัดเจนว่าถ้าเขาออกจากกรุงไปวันใดเขาจะถูกประหารชีวิต ซิเมอีเข้าใจเป็นอย่างดี
และใช้ชีวิตตามการจำกัดบริเวณนี้เป็นเวลานานถึงสามปี
จนกระทั่งซีเมอีออกจากกรุงไปตามทาสสองคนของตน ที่หนีไปให้กลับมา
เขาจึงถูกประหาร(๑พกษ.๒:๓๖-๔๖)
ซาโลมอนอภิเษกสมรสกับราชธิดาของพระราชาแห่งอียิปต์
เพื่อเป็นการรับรองสันติภาพกับกษัตริย์อียิปต์(๑พกษ.๓:๑)
นี่เป็นจุดเริ่มของความเดือดร้อนที่จะมาถึงพระองค์(๑พกษ.๑๑:๑-๘)
อาณาจักรเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับดังนั้นจำนวนข้าราชการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมาย
พระองค์จึงเปลี่ยนวิธีเก็บภาษีเพื่อจะได้มีงบประมาณพอที่จะบริหารราชการแผ่นดินได้
พระองค์จึงแบ่งอิสราเอลออกเป็นสิบสองส่วน แต่ละส่วนต้องจัดหาอาหารไว้สำหรับราชสำนักของซาโลมอนหนึ่งเดือนต่อหนึ่งปี(๑พกษ.๔:๗) ประเทศราชของอาณาจักรต้องส่งเครื่องบรรณาการด้วย(๑พกษ.๔:๒๑) ในการสร้างพระวิหาร และพระราชวังอันใหญ่โตมโหฬารของพระองค์ซึ่งได้เกณฑ์ให้บรรดาชายในอิสราเอลทำงานให้ราชสำนักสามเดือนต่อหนึ่งปี
เพื่อให้มีคนงานจำนวนสามหมื่นคนตลอดปี นอกจากนั้นยังมีชาวคานาอันจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นคนถูกจัดให้ทำงานเยี่ยงทาสตลอดเวลา(๑พกษ.๕:๑๓-๑๘)
มีการสร้างกำแพงเมืองของกรุงเยรูซาเล็มให้แข็ยงแรงมากยิ่งขึ้น(๑พกษ.๙:๑๕) ในส่วนชนบทของกรุงพระองค์ก็ได้บูรณะเมืองที่ปรักหักพัง
จัดตั้งฐานทัพและหัวเมืองคลังเพื่อเก็บผลิตผลที่ได้เอาไว้ให้ราชสำนัก(๑พกษ.๙:๑๖-๑๙) ในการสร้างและปรับปรุงอาณาจักรนั้นพระองค์ได้ขอยืมทองจากฮีรามเป็นจำนวนมาก(๑พกษ.๙:๑๔) ซาโลมอนไม่สามารถใช้คืนได้ จึงตัดสินใจแยกเมืองยี่สิบเมืองจากทางเหนืออิสราเอล
และมอบเมืองเหล่านี้ให้ฮีราม(๑พกษ.๙:๑๐-๑๑)
การกระทำของพระองค์สร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนทางเหนือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างกรุงเยรูซาเล็มอย่างหรูหรา(๑พกษ.๑๒:๔) ซาโลมอนทรงร่วมมือกับฮีรามแห่งเมืองไทระ
รับสินค้าทางด้านทะเลมดิเตอร์เรเนียน
ส่งทางบกไปทางทะเลแดงแล้วก็ส่งต่อลงเรือไปถึงประเทศทางตะวันออก(๑พกษ.๙:๑๐-๑๑) นอกจากนั้นพระองค์ยังเก็บภาษีสินค้าทุกอย่างที่ผ่านอิสราเอลตามเส้นทางเดินสินค้าระหว่างชาติต่างๆ
(๑พกษ.๙:๑๐-๑๔-๑๕,๒๘-๒๙)ดังนั้นอำนาจส่วนใหญ่ของซาโลมอนจึงได้มาจากการเมืองโดยการใช้สติปัญญา
และการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน
เมื่อซาโลมอน “หลงเจิ่น” ไปจากทางของพระเจ้า
พระองค์รู้สึกว่าสิ่งที่กระทำไปในชีวิต ปราศจากความหมายและไร้ประโยชน์ “ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต
เพราะการงานที่ทำภายใต้ดวงอาทิตย์เป็นความโศกสลดแก่ข้าพเจ้าล้วนแต่อนิจจัง
เหมือนวิ่งไล่ตามลม ๑๘
ข้าพเจ้าเกลียดชังสิ่งทั้งปวงที่ตนเองตรากตรำทำไปภายใต้ดวงอาทิตย์
เพราะข้าพเจ้าจำต้องทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้ให้คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า ๑๙
และใครเล่าจะรู้ว่าเขาจะเป็นคนโง่หรือฉลาด? ถึงกระนั้นเขาก็จะได้ครอบครองผลงานทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายและความชำนาญลงไปภายใต้ดวงอาทิตย์
นี่ก็อนิจจังด้วยเช่นกัน ๒๐
ฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงท้อแท้สิ้นหวังต่อการงานอันตรากตรำทั้งปวงของตนภายใต้ดวงอาทิตย์” (ปญจ.๒:๑๗-๒๐) เมื่อซาโลมอนทรงมองย้อนกลับไปในชีวิตที่ผ่านมา
ตั้งแต่เริ่มครองราชบัลลังก์จนถึงการสร้างอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่และมั่นคง
(ซึ่งได้บรรยายไว้แล้วนั้น)
พระองค์ก็พบว่าทรงให้ความสำคัญกับความสำเร็จของตนเองมาเกินไป มันเป็นวงจรการทรงงานที่ไม่มีวันจบสิ้น
ซาโลมอนเริ่มเกลียดชังชีวิตตนเอง ชีวิตที่เต็มไปด้วยความยุ่งยาก มันว่างเปล่า
และหดหู่ใจกับความพยายามทั้งหมดของตน กาลสืบไปภายหน้าความไม่เที่ยงแท้แน่นอนก็จะเกิดขึ้น
ที่ผู้อื่นซึ่งอาจจะเป็นคนที่มีสติปัญญา หรือคนที่โง่เขลาก็ได้ ที่จะเข้ามาครอบครองบรรดาการงานของพระองค์
ซึ่งพระองค์ใช้สติปัญญาสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้น ยิ่งพระองค์คิด“ในมุมมองของมนุษย์”
เกี่ยวกับประเด็นต่างๆของชีวิตมากเท่าไร
พระองค์ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ท้อใจเป็นอันมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น