ซาโลมอนได้กระทำการล่วงละเมิดต่อองค์พระยาห์เวย์ ทั้งๆ
ที่ได้รับคำเตือนจากทั้งดาวิด และองค์พระผู้เป็นเจ้า
ดาวิดได้เตือนพระองค์ว่า “หากเจ้าใส่ใจปฏิบัติตามกฎหมายและบทบัญญัติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสสสำหรับอิสราเอล
เจ้าก็จะประสบความสำเร็จ จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรืออย่าท้อแท้”
(พศด.๒๒:๑๓) และ “จงรักษาข้อกำหนดที่พระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงวางไว้
ดำเนินในทางของพระองค์และปฏิบัติตามกฎหมาย พระบัญชา บทบัญญัติ
และข้อกำหนดของพระองค์ ตามที่บันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสส
เพื่อเจ้าจะเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือทำสิ่งใด” (๑พกษ.๒:๓) ดาวิดหนุนใจให้ซาโลมอนให้เข้มแข็ง
และกล้าหาญในการรักษาถือพระบัญญัติของพระเจ้า
ดาวิดเชื่อว่าการเชื่อฟังตามพระบัญญัติที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงไว้
ย่อมเป็นหลักประกันแห่งความสำเร็จองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดงเพื่อตักเตือนซาโลมอนถึงสามครั้ง
“และหากเจ้าดำเนินในทางของเรา ปฏิบัติตามคำสั่งและกฎเกณฑ์ของเราเหมือนดาวิดบิดาของเจ้า
เราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว” (๑พกษ.๓:๑๔) ต่อมาพระองค์ได้เตือนว่า “แต่หากเจ้าหรือลูกหลานของเจ้าละทิ้งเรา
ไม่ได้ปฏิบัติตามคำบัญชาและกฎหมายที่เราได้ให้แก่เจ้าหันไปปรนนิบัตินมัสการพระอื่นๆ
7 เราก็จะตัดอิสราเอลออกจากดินแดนซึ่งเราได้ยกให้เขา
เราจะทิ้งวิหารแห่งนี้ซึ่งเราได้ชำระให้บริสุทธิ์เพื่อนามของเรา
อิสราเอลจะกลายเป็นที่เย้ยหยันและคำเปรียบเปรยในหมู่ประชาชาติ” (๑พกษ.๙:๖-๗) และครั้งสุดท้าย “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโซโลมอนว่า
“เนื่องจากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้และไม่ได้รักษาพันธสัญญาและกฎหมายซึ่งเราได้สั่งเจ้าไว้
เราจะฉีกอาณาจักรของเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด และแบ่งให้ผู้ใต้บังคับ” (๑พกษ.๑๑:๑๑) พระเจ้าเตือนซาโลมอนว่า
ถ้าพระองค์ดำรงชีวิตอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ สำแดงท่าทีและการกระทำว่า เชื่อฟังตามพระวจนะของพระองค์
พระองค์ก็จะทรงประทานให้เชื้อสายวงศ์วานของซาโลมอนยั่งยืนตลอดไป
อย่างไม่ขาดจากการเป็นผู้ปกครองชนชาติอิสราเอล แต่ถ้าซาโลมอนเอง
หรือเชื้อสายคนใดคนหนึ่งของพระองค์ไม่ได้ติดตามพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ และหันไปกราบไหว้นมัสการพระอื่น
พระเจ้าก็จะออกไปเสียจากชนชาติอิสราเอล และละทิ้งพระวิหารของพระองค์ด้วย
จากการตักเตือนทั้งสองกรณีนี้น่าจะทำให้ซาโลมอนได้สำนึกในสิ่งที่พระองค์ได้กระทำ จึงมองเหตุการณ์ชีวิตที่ผ่านมาอย่างโศกเศร้า
“เพราะมนุษย์อาจทำงานด้วยสติปัญญา ความรู้ และความเชี่ยวชาญ
แต่แล้วก็ต้องละทิ้งทุกสิ่งที่เขาครอบครองให้แก่ใครบางคนซึ่งไม่ได้ลงมือลงแรง
นี่ก็เช่นกัน อนิจจังและโชคร้ายเหลือเกิน 22 คนเราได้ประโยชน์อะไรจากการดิ้นรนต่อสู้และการตรากตรำคร่ำเครียดทั้งปวงภายใต้ดวงอาทิตย์?
23 ตลอดชีวิตของเขา งานก็เป็นความเจ็บปวดและความทุกข์โศก
แม้ยามค่ำคืนจิตใจก็ไม่สงบสุข นี่ก็อนิจจัง” (ปญจ.๒:๒๑-๒๓) โซโลมอนชี้ให้เห็นว่าการทำงานหนักไม่ได้ให้ผลที่ยั่งยืนแก่คนที่ทำงาน
เพียงเพราะอยากได้เงินทองหรือทรัพย์สมบัติ ไม่เพียงแต่ทุกสิ่งจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อตายไป
แต่อาจถูกทิ้งไว้ให้กับคนที่ไม่ได้ลงแรงเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมา
นอกจากนี้มันอาจถูกทิ้งๆ ขว้างๆ และทุกสิ่งที่ได้มาก็อาจสูญไปหมด การที่แต่ละคนพยายามไขว่คว้าหาสติปัญญา
ความสำเร็จหรือความยุติธรรมมากเท่าไหร่ก็ตาม ผลที่ได้มาเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
ไม่มีอะไรที่แน่นอนยั่งยืน
การยึดเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งโดยปราศจากพระเจ้านั้น
ซาโลมอนมองว่าเป็นชีวิตที่ว่างเปล่าไม่มีความหมาย
และไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะมาซึ่งความอิ่มใจ และสันติสุขได้ ความชื่นบานในงานมาจากพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ประทานสติปัญญา
ความรู้และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์พอพระทัย (ปญจ.๒:๒๖)
ผู้คนมากมายทุ่มเทชีวิตในการปีนป่ายขึ้นสู่บันไดแห่งความสำเร็จ
แต่โซโลมอนทรงชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด
จะไม่สามารถยืนอยู่ที่ตรงนั้นได้ตลอดไป พวกเขาจะถูกลืมเมื่อมีคนอื่นเข้ามาแทนที่
เกียรติยศ ชื่อเสียง และอำนาจ เป็นสิ่งที่อยู่ไม่นาน และไม่สามารถตอบสนองความต้องการจิตใจของมนุษย์ได้
คนที่เต็มไปด้วยความอยากได้อยากมี เป็นคนที่ไม่เคยพบกับความอิ่มใจ
ซาโลมอนทรงทราบว่าความอิ่มใจจะไม่อยู่กับคนที่มองดูสิ่งที่ตนเองมีอยู่ในมือด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า
กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความอิ่มใจ ก็คือ
ความพึงพอใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้อย่างเพียงพอตามความจำเป็นของเรา
อ่านบทความต่อได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น