วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ท้อได้...แต่อย่าถอย...(ตอนสี่)

          ซาโลมอนได้กระทำการล่วงละเมิดต่อองค์พระยาห์เวย์ ทั้งๆ ที่ได้รับคำเตือนจากทั้งดาวิด และองค์พระผู้เป็นเจ้า ดาวิดได้เตือนพระองค์ว่า “หากเจ้าใส่ใจปฏิบัติตามกฎหมายและบทบัญญัติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสสสำหรับอิสราเอล เจ้าก็จะประสบความสำเร็จ จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรืออย่าท้อแท้” (พศด.๒๒:๑๓) และ “จงรักษาข้อกำหนดที่พระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงวางไว้ ดำเนินในทางของพระองค์และปฏิบัติตามกฎหมาย พระบัญชา บทบัญญัติ และข้อกำหนดของพระองค์ ตามที่บันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสส เพื่อเจ้าจะเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือทำสิ่งใด” (๑พกษ.๒:๓) ดาวิดหนุนใจให้ซาโลมอนให้เข้มแข็ง และกล้าหาญในการรักษาถือพระบัญญัติของพระเจ้า ดาวิดเชื่อว่าการเชื่อฟังตามพระบัญญัติที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงไว้ ย่อมเป็นหลักประกันแห่งความสำเร็จองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดงเพื่อตักเตือนซาโลมอนถึงสามครั้ง “และหากเจ้าดำเนินในทางของเรา ปฏิบัติตามคำสั่งและกฎเกณฑ์ของเราเหมือนดาวิดบิดาของเจ้า เราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว (๑พกษ.๓:๑๔) ต่อมาพระองค์ได้เตือนว่า แต่หากเจ้าหรือลูกหลานของเจ้าละทิ้งเรา ไม่ได้ปฏิบัติตามคำบัญชาและกฎหมายที่เราได้ให้แก่เจ้าหันไปปรนนิบัตินมัสการพระอื่นๆ 7 เราก็จะตัดอิสราเอลออกจากดินแดนซึ่งเราได้ยกให้เขา เราจะทิ้งวิหารแห่งนี้ซึ่งเราได้ชำระให้บริสุทธิ์เพื่อนามของเรา อิสราเอลจะกลายเป็นที่เย้ยหยันและคำเปรียบเปรยในหมู่ประชาชาติ” (๑พกษ.๙:๖-๗) และครั้งสุดท้าย “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโซโลมอนว่า เนื่องจากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้และไม่ได้รักษาพันธสัญญาและกฎหมายซึ่งเราได้สั่งเจ้าไว้ เราจะฉีกอาณาจักรของเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด และแบ่งให้ผู้ใต้บังคับ” (๑พกษ.๑๑:๑๑) พระเจ้าเตือนซาโลมอนว่า ถ้าพระองค์ดำรงชีวิตอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ สำแดงท่าทีและการกระทำว่า เชื่อฟังตามพระวจนะของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงประทานให้เชื้อสายวงศ์วานของซาโลมอนยั่งยืนตลอดไป อย่างไม่ขาดจากการเป็นผู้ปกครองชนชาติอิสราเอล แต่ถ้าซาโลมอนเอง หรือเชื้อสายคนใดคนหนึ่งของพระองค์ไม่ได้ติดตามพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ และหันไปกราบไหว้นมัสการพระอื่น พระเจ้าก็จะออกไปเสียจากชนชาติอิสราเอล และละทิ้งพระวิหารของพระองค์ด้วย จากการตักเตือนทั้งสองกรณีนี้น่าจะทำให้ซาโลมอนได้สำนึกในสิ่งที่พระองค์ได้กระทำ จึงมองเหตุการณ์ชีวิตที่ผ่านมาอย่างโศกเศร้า “เพราะมนุษย์อาจทำงานด้วยสติปัญญา ความรู้ และความเชี่ยวชาญ แต่แล้วก็ต้องละทิ้งทุกสิ่งที่เขาครอบครองให้แก่ใครบางคนซึ่งไม่ได้ลงมือลงแรง นี่ก็เช่นกัน อนิจจังและโชคร้ายเหลือเกิน 22 คนเราได้ประโยชน์อะไรจากการดิ้นรนต่อสู้และการตรากตรำคร่ำเครียดทั้งปวงภายใต้ดวงอาทิตย์? 23 ตลอดชีวิตของเขา งานก็เป็นความเจ็บปวดและความทุกข์โศก แม้ยามค่ำคืนจิตใจก็ไม่สงบสุข นี่ก็อนิจจัง” (ปญจ.๒:๒๑-๒๓) โซโลมอนชี้ให้เห็นว่าการทำงานหนักไม่ได้ให้ผลที่ยั่งยืนแก่คนที่ทำงาน เพียงเพราะอยากได้เงินทองหรือทรัพย์สมบัติ ไม่เพียงแต่ทุกสิ่งจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อตายไป แต่อาจถูกทิ้งไว้ให้กับคนที่ไม่ได้ลงแรงเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมา นอกจากนี้มันอาจถูกทิ้งๆ ขว้างๆ และทุกสิ่งที่ได้มาก็อาจสูญไปหมด การที่แต่ละคนพยายามไขว่คว้าหาสติปัญญา ความสำเร็จหรือความยุติธรรมมากเท่าไหร่ก็ตาม ผลที่ได้มาเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ไม่มีอะไรที่แน่นอนยั่งยืน การยึดเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งโดยปราศจากพระเจ้านั้น ซาโลมอนมองว่าเป็นชีวิตที่ว่างเปล่าไม่มีความหมาย และไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะมาซึ่งความอิ่มใจ และสันติสุขได้ ความชื่นบานในงานมาจากพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ประทานสติปัญญา ความรู้และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์พอพระทัย (ปญจ.๒:๒๖)
          ผู้คนมากมายทุ่มเทชีวิตในการปีนป่ายขึ้นสู่บันไดแห่งความสำเร็จ แต่โซโลมอนทรงชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด จะไม่สามารถยืนอยู่ที่ตรงนั้นได้ตลอดไป พวกเขาจะถูกลืมเมื่อมีคนอื่นเข้ามาแทนที่ เกียรติยศ ชื่อเสียง และอำนาจ เป็นสิ่งที่อยู่ไม่นาน และไม่สามารถตอบสนองความต้องการจิตใจของมนุษย์ได้ คนที่เต็มไปด้วยความอยากได้อยากมี เป็นคนที่ไม่เคยพบกับความอิ่มใจ ซาโลมอนทรงทราบว่าความอิ่มใจจะไม่อยู่กับคนที่มองดูสิ่งที่ตนเองมีอยู่ในมือด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความอิ่มใจ ก็คือ ความพึงพอใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้อย่างเพียงพอตามความจำเป็นของเรา

อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น