พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการปกครองว่า “จงแน่ใจว่าท่านแต่งตั้งคนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกให้เป็นกษัตริย์ เขาจะต้องเป็นคนอิสราเอล ไม่ใช่คนต่างด้าว 16 กษัตริย์ต้องไม่หาม้ามากมายมาเป็นของตัว หรือส่งคนไปที่อียิปต์เพื่อหาม้ามาเพิ่ม เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งไว้ว่า “เจ้าจะต้องไม่หวนกลับไปทางนั้นอีก” 17 เขาจะต้องไม่มีภรรยาหลายคน มิฉะนั้นจิตใจของเขาจะหันเหไป และเขาจะต้องไม่สะสมเงินทองไว้มากมาย(ฉธบ.๑๗:๑๕-๑๗) ถึงแม้ว่าซาโลมอนคิดว่าตนมีปัญญามากว่าผู้อื่น พระองค์กลับละเลยคำสอนที่พระเจ้าประทานให้เกี่ยวกับเรื่องการปกครอง
* “ต้องไม่สะสมเงินทอง” แต่ซาโลมอนทรงมีทองคำมหาศาล
รายได้ส่วนพระองค์ได้รับทองคำหนักปีละยี่สิบสามตัน (ปีละหกร้อยหกสิบหกตะลันต์ หรือ
สองหมื่นสองพันสามร้อยเจ็ดสิบสองกิโลกรัม) น่าจะประมาณค่าได้ห้าร้อยล้านบาท ถ้วยของพระองค์ที่ใช้สำหรับดื่มนั้นทำด้วยทองคำ
พระองค์ทรงมีเรือกำปั่นเป็นอันมาก (๑พกษ.๙:๒๖-๒๘,๑๐:๒๒;๒พศด.๘:๑๗-๑๘) ดังนั้นพระองค์จึงทรงมั่งคั่ง และมีสติปัญญาเหนือกว่ากษัตริย์ใดๆ ทั้งหลายในแผ่นดิน
(๒พศด.๑:๑๕;๙:๑๓,๒๐,๒๒)
* “ต้องไม่หาม้ามากมาย” แต่ซาโลมอนทรงมีม้าสี่หมื่นตัว
ทรงมีรถรบหนึ่งพันสี่ร้อยคัน มูลค่าน่าจะประมาณคันละหนึ่งหมื่นบาท
และทรงบังคับบัญชาทหารม้าหนึ่งหมื่นสองพันคน (๑พษก.๔:๒๖;๑๐:๒๖,๒๙)
* “ต้องไม่มีภรรยาหลายคน” แต่ซาโลมอนทรงมีมเหสีเป็นเจ้าหญิงเจ็ดร้อยคน
และนางสนมสามร้อยคน(๑พกษ.๑๑:๓) ส่วนหนึ่งเป็นธรรมเนียมโปราณ
การมีสนมฝ่ายในมากมายนั้นเป็นการแสดงถึงการทูตระหว่างดินแดน มากกว่าการแสดงในเรื่องสัมพันธ์ทางเพศ
“การผูกมัดของครอบครัว” เป็นการแสดงถึง “การผูกมิตรทางการเมือง”
ความสัมพันธ์ในการแต่งงานของซาโลมอนกับชนชาติอื่นๆ
จึงเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองซึ่งทำให้พระองค์มีความมั่นคงปลอดภัยในการเป็นกษัตริย์ การทำข้อตกลงระหว่างดินแดนแบบนี้ทำให้อิสราเอลต้องกระทำสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะเป็นการเริ่มต้นที่ทำให้พระอื่นๆ เข้ามาในเยรูซาเล็ม ซาโลมอนไม่เพียงแต่แต่งงานกับหญิงต่างชาติเท่านั้น
แต่ยังนมัสการพระของพวกเขา
และได้กลายเป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญในศาสนาของต่างชาติด้วย
ถึงแม้ซาโลมอนไม่ละทิ้งพระยาห์เวห์ แต่ท่านก็นมัสการพระเทียมเท็จอื่นๆ
พระองค์ประนีประนอมกับพวกมเหสีและสนมของพระองค์
พระองค์คงคิดว่าในฐานะที่เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
ดังนั้นถ้าจะเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายทั่วโลกแล้ว
พระองค์ก็สามารถทำสิ่งใดๆก็ได้ตามใจปรารถนา
ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ผิดต่อพระคำของพระเจ้าก็ตาม “ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้ละทิ้งเราไปกราบไหว้พระอัชโทเรทเทวีของชาวไซดอน
พระเคโมชเทพเจ้าของชาวโมอับ และพระโมเลคเทพเจ้าของชาวอัมโมน
เขาไม่ได้ดำเนินในทางของเรา ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา
และไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และบทบัญญัติของเราเหมือนดาวิดราชบิดาของเขา(๑พกษ.๑๑:๓๓) เมื่อซาโลมอนชราลง
พระองค์ก็ห่างเหินพระเจ้าไกลออกไป โดยนมัสการพระอื่น “พระอัชโทเรท”
เป็นเทพเพศหญิงแห่งกาม และความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นการนมัสการนางจึงเป็นเรื่องในการเสพในทางเพศ
รวมถึงการกราบไหว้ดวงดาวต่างๆ นางเป็นเจ้าแม่ที่เลวทราม “พระโมเลค” นมัสการโดยบูชายันด้วยชีวิตมนุษย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฆ่าเด็กๆ ซึ่งการบูชายันด้วยชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเข้มงวดในพระคัมภีร์
(ลนต.๑๘:๒๑;๒๐:๑-๕)
“พระเคโมช” เทพแห่งสงครามของพวกชาวโมอับ (กดว.๒๑:๒๙; ยรม.
๔๘:๔๖) เข้าใจว่าชาวโมอับเลียนแบบชาวอัมโมนในพิธีบูชาบุตร โดยเผาเด็กถวายต่อรูปเคารพ (๒พกษ. ๓:๒๗) ซาโลมอนได้สร้างปูชนียสถานไว้สำหรับพระเคโมชอาจจะเป็นที่เนินเขามะกอกเทศก็ได้
(๒พกษ.๒๓:๑๓)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น