วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โปรดวางใจ(ตอนสี่)


           37 คนเหล่านั้นซึ่งกระจายข่าวในแง่ร้ายเกี่ยวกับดินแดนนั้นก็ล้มตายลงด้วยโรคภัยต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า+38 ในบรรดาคนที่ไปสำรวจ มีเพียงโยชูวาบุตรนูนกับคาเลบบุตร
เยฟุนเนห์เท่านั้นที่รอดชีวิตอยู่ (กดว.14:37-38) อิสราเอลดื้อรั้นและขาดความไว้วางใจในองค์พระ
ผู้เป็นเจ้า จนกระทั้งพระองค์ต้องตรัสถามโมเสสว่าพระองค์จะต้องทนประชากรที่มีใจไม่เชื่อนี้อีกนานเท่าใด พระองค์กลับประกาศว่า “...เราจะใช้ภัยพิบัติมาทำลายพวกนั้น...” (กดว.14:12) สำหรับพระเจ้าแล้วพระองค์ทรงพร้อมที่จะเริ่มใหม่หมด และสร้างชนชาติใหม่ผ่านทางโมเสส พระองค์ทรงเหลืออดเต็มทนกับความดื้อรั้น ความไม่เชื่อ และการไม่เชื่อฟังของชนชาติอิสราเอล โมเสสอธิษฐานทูลขอเผื่อชนชาติอิสราเอล โมเสส “ยกเหตุผล” โต้แย้งน้ำพระทัยที่ตร้สไว้แล้วในเรื่องนี้ เขาประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนพระประสงค์ และพระดำริของพระเจ้าผ่านทางการอธิษฐานเผื่อ นี่คือความจริงที่ว่า คำอธิษฐานอันร้อนรนของผู้ชอบธรรมมีพลังมากทำให้เกิดผล โมเสสเตือนความจำพระเจ้าก่อนว่า คนอียิปต์จะคิดอย่างไร และเตือนพระเจ้าว่าชนชาติอื่นๆ ในเขตแดนนั้นจะคิดยังไง นั่นคือ พระเจ้าทรงนำประชาชนเหล่านี้ออกจากอียิปต์ และไม่สามารถนำพวกเขาไปถึงแผ่นดินนั้นที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเขา เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงฆ่าพวกเขาเสีย โมเสสกล่าวสรรเสริญฤทธิ์เดชของพระเจ้าต่อไป 18 'องค์พระผู้เป็นเจ้า+ทรงกริ้วช้า บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง ทรงอภัยบาปและการกบฏ แต่พระองค์จะไม่ทรงละเว้นโทษผู้ที่ทำผิด พระองค์จะทรงลงโทษลูกหลานของเขาเพราะบาปของบรรพบุรุษถึงสามสี่ชั่วอายุคน'”(กดว.14:18 น่าจะยกข้อความมาจาก อพย.34:6-7) เขากล่าวเตือนให้พระเจ้าระลึกถึงความอดทนนาน พระเมตตา และการยกโทษรวมถึงการพิพากษาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ โมเสสจึงวิงวอนพระเจ้าว่า “โดยเห็นแก่ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ขอทรงอภัยโทษบาปของประชากรเหล่านี้ดังที่ได้ทรงอภัยให้เสมอมาตั้งแต่ข้าพระองค์ทั้งหลายออกจากอียิปต์มาจวบจนบัดนี้" จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ จะทราบถึงพระลักษณะของพระเจ้า พระองค์ทรงไม่พอพระทัยและโกรธเมื่อประชากรที่พระองค์ได้ทรงไถ่มาแล้วนั้นมีใจไม่เชื่อฟังพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงยอมฟังเหตุผลโต้แย้ง และการวิงวอนของโมเสส โดยพระคุณพระองค์ทรงถูกโน้นน้าวจนเปลี่ยนพระทัยเพราะคำอธิษฐานวิงวอนของโมเสส พระองค์ทรงตอบกลับคำของโมเสส  "เราได้อภัยโทษให้พวกเขาตามที่เจ้าขอร้อง...” แม้ว่าอิสราเอล “ไม่ยอมเชื่อถือ” พระองค์ พวกเขาทดลองพระเจ้านับสิบครั้ง สองครั้งที่ทะเลนั้น(อพย.14:11-12) สองครั้งเกี่ยวกับน้ำ(อพย.15:23-24;17:2) สองครั้งเกี่ยวกับมานา(อพย.16:2,20,27;กดว.11:4)สองครั้งเกี่ยวกับนกคุ่ม(อพย.16:12;กดว.11:4) ครั้งหนึ่งเพราะรูปวัว(อพย.32:1-7) และครั้งหนึ่งในถิ่นทุรกันดารปาราน(กดว.14:1-4) ซึ่งครั้งสุดท้ายและเป็นครั้งที่สิบคือ การทดลองที่เกิดขึ้นขณะนี้ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงกล่าวคำตัดสินของพระองค์ “...ฉันนั้น22 ทุกคนที่ได้เห็นเกียรติสิริของเราและเห็นหมายสำคัญที่เราได้ทำทั้งในอียิปต์และในถิ่นกันดารแล้วยังไม่ยอมเชื่อฟังเรา แต่ลองดีกับเรานับสิบครั้ง 23 ในบรรดาคนเหล่านี้จะไม่มีสักคนเดียวที่จะได้เห็นดินแดนที่เราสัญญาโดยปฏิญาณว่าจะยกให้บรรพบุรุษของเขา จะไม่มีใครที่ดูหมิ่นเรา แล้วจะได้เห็นดินแดนนี้ 24 ส่วนคาเลบผู้รับใช้ของเรามีจิตใจแตกต่างออกไป และติดตามเราอย่างสุดใจ เราจะพาเขาเข้าไปยังดินแดนที่เขาได้สำรวจมา และวงศ์วานของเขาจะได้ครอบครองดินแดนนั้น” (กดว.14:22-24) ด้วยความไม่เชื่อและยุยงให้เกิดกบฏ ผู้สอดแนนทั้งสิบจึงเสียชีวิตที่นั้นเดี๋ยวนั้นเลย “ด้วยโรคภัยต่อพระพักตร์พระเจ้า คาเลบมีจิตใจที่เชื่อฟัง และเต็มใจที่จะก้าวไปข้างหน้าโดยวางใจพระเจ้า เขาได้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจมากกว่าใครๆ พระเจ้าจึงทรงสัญญาที่จะนำเขาและวงศ์วานเข้าสู่คานาอัน พร้อมกับครอบครัววงศ์วานของโยชูวาด้วย 
          25 เนื่องจากชาวอามาเลข และชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา พรุ่งนี้เจ้าจะต้องออกเดินทางกลับไปยังถิ่นกันดาร ตามทางถึงทะเลแดง" (กดว.14:25) นี่เป็นคำสั่งพิเศษเพิ่มเติมให้แก่โมเสส พระองค์ทรงเตือนว่าคนอามาเลข และคนคานาอันอยู่ในหุบเขาที่อยู่ใกล้เคียง ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงสั่งโมเสสให้นำชนชาติอิสราเอลให้หันกลับไปในถิ่นทุรกันดารซึ่งไปทางทะเลแดงในวันถัดไป โมเสสได้ประกาศโทษของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติอิสราเอลนั้นทั้งหมด พวกเขาตอบสนองแสดงความโศกเศร้าเสียใจ แต่ก็ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว อย่างไรก็ตามพวกเขาก็กลับไปประพฤติเช่นเดิมอีก พระองค์สั่งให้กลับไปยังถิ่นกันดารแต่พวกเขาก็ฝ่าฝืนยกกองกำลังเข้าโจมตีชาวอามาเลขและชาวคานาอัน ทั้งที่หีบพันธสัญญาและโมเสสยังอยู่ที่เดิม ผลคือพ่ายแพ้(กดว.14:11-45
           ประชากรอิสราเอลยังเพิกเฉยต่อคำตักเตือนของพระเจ้า พวกเขาทำความผิดที่นำไปสู่ความตาย โดยคิดว่าพวกเขาสามารถเข้าครอบครองแผ่นดินพระสัญญาได้โดยปราศจากการเชื่อฟัง ความเชื่อ และการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าด้วยใจอุทิศถวาย
อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โปรดวางใจ(ตอนสาม)


         ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ขออย่าให้ข้าพระองค์อับอาย ทั้งอย่าให้ศัตรูของข้าพระองค์มีชัยชนะเหนือข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดที่หวังในพระองค์แล้วต้องละอาย แต่ผู้ที่ทรยศโดยใช่เหตุนั้นจะต้องอับอาย” (สดด.25:2-3) การกล่าวถึงศัตรูซึ่งไม่เพียงต่อต้านพวกเราเท่านั้น แต่ยังต่อต้านวิถีชีวิตในทางของพระเจ้าด้วย การทดลองต่างๆ เช่น เงินทอง ความสำเร็จ เกียรติยศ และตัณหา ล้วนเป็นศัตรูของพวกเรา การทูลขอให้ศัตรูพ่ายแพ้เพราะสิ่งเหล่านี้ต่อต้านสิ่งที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า ถ้าศัตรูมีชัยชนะเกรงว่าคนอื่นๆ จะคิดว่าการดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้านั้นไร้ประโยชน์ ความเชื่อและการวางใจในพระเจ้าแบบนี้คงจะก่อตัวขึ้นในจิตใจของ “คาเลบและโยชูวา” ด้วยเหตุที่พวกเขาและชนชาติอิสราเอลได้รับพระคุณจากพระเจ้าอย่างมากมาย ที่ได้นำออกมาจากการเป็นทาสที่อียิปต์ พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้สงสัยในความเชื่อของตนเอง เพราะพวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าจะมีชัยชนะในที่สุด ดังนั้นการมองสถานการณ์จากการสำรวจดินแดนคานาอัน จึงเป็นไปทางตรงกันข้ามกับผู้สอดแนมทั้งสิบคน
30 แต่คาเลบบอกให้ประชากรเงียบต่อหน้าโมเสสและพูดว่า "เราควรจะขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราสามารถเอาชนะได้แน่" โยชูวาบุตรนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ซึ่งออกไปสำรวจดินแดนด้วยจึงฉีกเสื้อผ้าของตนและกล่าวแก่ชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงว่า "ดินแดนที่เราเข้าไปสำรวจนั้นดีเยี่ยมจริงๆ หากองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปในดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และจะยกดินแดนนั้นให้แก่เรา ขอเพียงแต่เราอย่ากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ไม่ต้องกลัวผู้คนในดินแดนนั้น เพราะเราจะกลืนกินพวกเขา สิ่งที่พิทักษ์รักษาเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย" (กดว.13:30;14:6-9) คาเลบนำเสนอข้อมูลด้วยความเชื่อเขาปรามให้ประชาชนเงียบเสียงบ่นลง แต่ก็น่าจะกระทำได้ยากเหมือนกัน เพราะพวกเขาได้ถูกปลุกให้ตื่นตระหนกจากผู้สอดแนมทั้งสิบคนก่อนหน้านี้แล้ว คำแนะนำของคาเลบนั้นมีลักษณะเรียบง่าย "เราควรจะขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราสามารถเอาชนะได้แน่" ด้วยความเชื่อในพระเจ้าคาเลบมองเห็นชัยชนะ แต่ด้วยใจที่สงสัยของประชาชนคนอื่นๆ ที่เหลือพวกเขามองเห็นแต่อุปสรรค โยชูวาและคาเลบ พยายามพูดหนุนใจพี่น้องร่วมชาติ พวกเขากล่าวว่าแผ่นดินนั้น “ดีเยี่ยมจริงๆ” นอกจากนี้พวกเขาชี้ให้เห็นว่า “หากองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปในดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และจะยกดินแดนนั้นให้แก่เรา” นอกจากนี้ ทั้งสองคนยังเตือนสติอิสราเอลว่า “ขอเพียงแต่เราอย่ากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ไม่ต้องกลัวผู้คนในดินแดนนั้น เพราะเราจะกลืนกินพวกเขา สิ่งที่พิทักษ์รักษาเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย
          คาเลบและโยชูวาไม่เพียงมีความเชื่อเท่านั้น แต่เขาทั้งสองเต็มใจที่จะเชื่อฟังด้วย “องค์พระผู้เป็นเจ้า+ตรัสกับโมเสสว่า "จงส่งหัวหน้าจากแต่ละเผ่าเข้าไปสำรวจดินแดนคานาอันที่เราจะยกให้ชนอิสราเอล” (กเดว.13:1-2) พระเจ้าผู้ได้ทรงสัญญาว่าจะยกดินแดนนั้นให้แก่พวกเขา พระองค์ทรงสามารถที่จะยกแผ่นดินนั้นให้แก่พวกเขาได้จริงๆ ในการหนุนใจเพื่อนร่วมชาติ คาเลบและโยชูวาเตือนสติคนเหล่านั้นไม่ให้กบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และย้ำไม่ให้อิสราเอลกลัวชนชาติของแผ่นดินนั้น เขาเปรียบชนชาติต่างๆที่อยู่ในแผ่นดินคานาอันนั้นดั่งเช่นขนมหวาน พวกเขาสามารถที่จะกลืนกินชนชาติเหล่านี้ได้ทั้งเป็นๆ เพราะอะไรน่ะหรือ “องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา” ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งสองคนจึงลืมความกลัว สิ่งที่ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดนั้นก็คือ “ความเชื่อ” นั้นเอง พวกเขาตั้งมั่นอุทิศถวายตัวต่อพระเจ้าและความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในพระสัญญาของพระเจ้าต่ออิสราเอล คาเลบและโยชูวาปฏิเสธที่จะยอมรับความคิดเห็นของคนอิสราเอลส่วนใหญ่ที่ได้รับข่าวร้ายก่อนหน้านี้ แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตก็ตาม แต่มันกลายเป็นเรื่องน่าเศร้า เมื่อข่าวลือ ข่าวร้าย ได้กระจายไปทั่วชุมชนอิสราเอลเสียแล้ว ประชาชนเกิดอารมณ์โกรธต่อการพูดของคาเลบและโยชูวา พวกเขาข่มขู่ว่าจะเอาหินขว้างเขาทั้งสอง
          “....ขณะนั้นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าชนอิสราเอลทั้งปวง (กดว.14:10) นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระเจ้าไม่เพียงปรากฏพระองค์เพื่อตรัสถึงความไม่พอพระทัยของพระองค์ในเรื่องนี้เท่านั้น แต่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น ณ เวลานั้นเพื่อหันเหความสนใจของประชากรอิสราเอลไปจากการเอาก้อนหินขว้างสองคนนั้น ทั้งๆที่เขาทั้งสองมีความเชื่อ และความซื่อตรงที่จะเชื่อฟังพระเจ้า
อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โปรดวางใจ(ตอนสอง)

          ความเชื่อเป็นรากฐาน และเป็นเสมือนสิ่งที่เคียงคู่ตลอดเส้นทางการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า แต่หลายครั้งความเชื่อกลับเป็นเรื่องที่ยากจะทำ และยากที่จะไปถึงการมีความเชื่อ ไม่เพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น คนมากมายเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และมันค่อยๆ ลดขนาดลงด้วยปัญหาอุปสรรค และสิ่งที่ล่อหลอกให้จดจ่อ แทนที่พระพักตร์และพระสัญญาของพระเจ้า.. สถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่เป็นใจ ไม่ได้ดั่งใจ ทุกสิ่งดูเร่งเร้า แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ช้าเกินไปสำหรับใจคน คือ สิ่งที่พระเจ้ากระทำความเชื่อในระยะเริ่มต้นลดลงอย่างวูบวาบ จนหลายครั้งไม่เหลือความเชื่อเลยด้วยซ้ำ บางครั้งอาจถึงขนาดละทิ้งแล้วที่พระเจ้าตรัสไว้ เพราะคิดว่ามองดูและพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้ตามที่พระเจ้าทรงตรัสเลย เมื่อความเชื่อเริ่มเสื่อมถอยลง ทั้งๆที่เวลาเมื่อไม่นานมานี้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงใช้ฤทธานุภาพช่วยเหลือพวกเขาออกมาจากอียิปต์ ความเสื่อมถอยนี้ทำให้จิตใจของพวกเขาขาดความวางใจในพระเจ้า จนทำให้จิตใจเริ่มกระวนกระวายพูดง่ายๆ ว่า “สติแตก” เมื่อพวกผู้สอดแนมพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่ได้สำรวจในดินแดนคานาอัน
           พวกเขากลับมาและรายงานโมเสส อาโรนและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงที่คาเดชในถิ่นกันดารปาราน และนำผลไม้ที่เก็บมาให้ดูด้วย 27 พวกเขารายงานโมเสสว่า "พวกข้าพเจ้าไปถึงดินแดนที่ท่านใช้ให้ไปดู เป็นดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง! ดูผลไม้เหล่านี้สิ 28 แต่ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นมีกำลังเข้มแข็งมาก เมืองของเขาก็แสนใหญ่โต มีป้อมกำแพงแน่นหนา มิหนำซ้ำพวกข้าพเจ้ายังเห็นวงศ์วานของอานาคอยู่ที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลขอาศัยอยู่ในเนเกบ ส่วนชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุส และชาวอาโมไรต์อยู่บริเวณเทือกเขาและชาวคานาอันอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลและลุ่มแม่น้ำจอร์แดน" 32 แล้วพวกเขากระจายข่าวในแง่ร้ายในหมู่ชนอิสราเอลเกี่ยวกับดินแดนที่ได้สำรวจมาว่า "ดินแดนที่เราไปสำรวจนั้นกลืนผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้น ผู้คนที่เราพบเห็นล้วนแล้วแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ 33 เราเห็นคนเนฟิลที่นั่นด้วย(วงศ์วานของอานาคมาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตนและพวกเขาก็เห็นเช่นนั้นด้วย" (กดว.13:26-29,32-33) ด้วยใจที่กระวนกระวาย ขาดการวางใจในพระเจ้า การมองสภาพการณ์ต่างๆ พวกเขามองด้วยสายตาของตนเอง ดังนั้นพอกลับมาผู้สอดแนมก็ได้รายงานต่อโมเสส อาโรน และชุมชนทั้งหมด โดยแสดงให้พวกเขาเห็นผลไม้ของแผ่นดินนั้น การรายงานของผู้สอดแนมมีทั้งคำชื่นชมต่อความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินนั้น แต่ก็เจือผสมผสานด้วยความสงสัย และความกลัวเกี่ยวกับความสามารถของอิสราเอลที่จะเอาชนะชนเผ่าต่างๆ บนแผ่นดินนั้นด้วย พวกเขายอมรับว่าแผ่นดินนั้นมี “น้ำนมและน้ำผึ้ง” ไหลบริบูรณ์จริงๆนั่นคือมันบริบูรณ์ไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็สงสัยว่า อิสราเอลจะพิชิตมันได้หรือไม่ พวกเขาเตือนว่าผู้คนในแผ่นดินนั้นมีกำลังมาก และอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ที่มีกำแพงล้อมรอบ บางคนที่อาศัยอยู่ที่นั้นมีร่างกายสูงใหญ่เป็นมนุษย์ยักษ์ด้วย การมองที่ปราศจาก การไว้วางใจในพระเจ้า อุปสรรคน่าจะเป็นโอกาส ที่พวกเขาจะได้พึ่งพาฤทธานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ในเหตุการณ์นี้กลับกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจของพวกเขาเอง คำพูดของพวกเขากลายเป็นคำพูดเกินจริง และบิดเบือน คนอานาคที่ถูกกล่าวถึงอยู่นี้ ถูกกล่าวขานจนกลายเป็นคนเนฟิล เหตุที่กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อจูงใจกระตุ้นให้เกิดความกลัว พวกเขาได้รายงานถึงชนกลุ่มต่างๆที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น นั่นคือ คนอามาเลข คนฮิตไทต์ คนเยบุส คนอาโมไรต์ และคนคานาอัน รายงานที่ผสมทั้ง ข้อเท็จจริง และสิ่งที่คิดเอง อาจเกินความจริงเพราะขาดความเชื่อจึงนำพวกเขาไปสู่ความโง่เขลานั่นคือ ความรู้สึกว่า พวกตนเป็นเหมือนตั๊กแตน  การรายงานในแง่ร้ายของผู้สอดแนมสิบคน พอจะสรุปสาเหตุได้สองประการคือ ความซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ในอดีต ไม่ได้ทำให้ทั้งสิบคนนี้มีความจงรักภัคดีต่อพระองค์เลย และพวกเขาไม่ไว้วางใจในพระเจ้า และพระสัญญาของพระองค์เกี่ยวกับอานาคตของพวกเขา การขาดความเชื่อของพวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ
ความเชื่อของ คาเลบและโยชูวา
          .....วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าทำใจแข็งกระด้างเหมือนเมื่อครั้งกบ(ฮบ.3:15) ควรดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อไม่ให้เหมือนผู้สอดแนมทั้งสิบคน “อย่าทำใจแข็งกระด้าง”นี่เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตคริสเตียน พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เลื่อนขั้นในชีวิตของพวกเราไปเรื่อยๆ แต่ว่าการที่พวกเราจะไปได้สูงเท่าไหร่ในชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับพระพร และความโปรดปรานจากพระองค์ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราเชื่อฟังพระคำของพระองค์ได้ มากเท่านั้น ยิ่งพวกเราเชื่อฟังการเตือนของพระเจ้ามากเท่าไร พระพร และความโปรดปรานที่พวกเราจะได้รับก็มากขึ้นเท่านั้น เฝ้าสังเกตดูซิ...เมื่อใดที่พวกเราต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ มันจะเกิดความรู้สึก ”ตะขิดตะขวงใจ” นั่นเพราะว่า พระเจ้าทรงต้องการ “ชี้นำและชี้ทาง” ให้พวกเรา ถ้าพวกเราเพิกเฉยต่อการเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใจของพวกเราจะแข็งกระด้างมากขึ้น และจะทำให้พวกเราฟังเสียงของพระเจ้ายากขึ้น แต่วิธีแก้คือ พวกเราต้อง “ยอมจำนนต่อพระเจ้า” กลับมาถ่อมใจเชื่อฟังพระองค์ แล้วตลอดชีวิตของพวกเรา พระเจ้าจะจัดการกับสถานการณ์ที่ยากๆ พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรที่ถ่วงรั้งพวกเราอยู่ และพระองค์ทรงต้องการให้พวกเราเคลื่อนไปข้างหน้า พระองค์รู้ว่าพวกเราจะไม่สบายใจเมื่อต้องเจอสถานการณ์อะไร และพระองค์ต้องการเสริมกำลังให้พวกเราสามารถจัดการกับสิ่งนั้นได้ ให้เราฟังเสียงพระองค์ และอย่ายอมให้ใจของพวกเรา “แข็งกระด้างและดื้อรั้น” เมื่อพวกเรายอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิตแล้ว พระองค์จะยกพวกเราสูงขึ้น...สูงขึ้น และพวกเราจะได้รับความโปรดปรานพร้อมกับ พระพรของพระองค์ที่ทรงเตรียมไว้

อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โปรดวางใจ(ตอนแรก)


สภษ.3:5-6
จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ 
อย่าพึ่งความเข้าใจของตนเอง
จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า
 แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ

          ความไว้วางใจ (Trust) เป็นปัจจัยที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน โดยจะยังคงอยู่ก็ต่อเมื่อบุคคลมีความมั่นใจ ความไว้ใจจะช่วยลดความไม่แน่นอน ลดความเสี่ยงและเพิ่มความระมัดระวังของการคิดในการตอบสนองอย่างทันทีทันใดที่มีต่อเหตุการณ์ใดเหคุการณ์หนึ่ง ความไว้วางใจ เป็น การพึ่งพาอาศัยอยู่บนความซื่อสัตย์ หรือ มิตรภาพของอีกฝ่ายหนึ่ง  เมื่อเราไว้ใจใคร  เรามีความมั่นใจ และไว้ใจในบุคคลนั้น  การไว้วางใจเป็นความมั่นใจในบุคลิกลักษณะของคนที่เป็นที่พึ่งของเรา โดยไม่ต้องเพียรพยายามอะไร  ความเชื่อที่แท้จริงจะออกมาเป็นการไว้วางใจเต็มที่ ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าก็เช่นกัน  จิตวิญญาณของเราพึ่งพิงอยู่ในความรัก  ความน่าไว้วางใจ  ฤทธิ์อำนาจ และความมั่นใจ ในพระลักษณะอันกอปรด้วยคุณธรรมของพระองค์ เมื่อไว้วางใจ ย่อมไม่มีความกระวนกระวาย  ความไว้วางใจกับความกระวนกระวายอยู่ด้วยกันไม่ได้  เมื่อไว้ใจพระเจ้าจริง ๆ แล้ว ย่อมไม่มีความกระวนกระวายใด ๆ อีกเลย ถ้ายังมีความกระวนกระวายอยู่  ก็แสดงว่าเราไม่ได้ไว้วางใจในพระเจ้าอย่างแท้จริง
          36 ดังนั้นบรรดาผู้ที่โมเสสใช้ไปสำรวจดินแดนและกลับมารายงานในแง่ร้ายเกี่ยวกับดินแดนนั้น ซึ่งทำให้เหล่าประชากรบ่นว่าโมเสส 37 คนเหล่านั้นซึ่งกระจายข่าวในแง่ร้ายเกี่ยวกับดินแดนนั้นก็ล้มตายลงด้วยโรคภัยต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 38 ในบรรดาคนที่ไปสำรวจ มีเพียง
โยชูวาบุตรนูนกับคาเลบบุตรเยฟุนเนห์เท่านั้นที่รอดชีวิตอยู่” (กดว.14:36-38)
                   “รายงานในแง่ร้าย” ในกันดารวิถี บทที่13 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงส่งหัวหน้าจากแต่ละเผ่าเข้าไปสำรวจดินแดนคานาอันที่เราจะยกให้ชนอิสราเอล" (กดว.13:2) โมเสสจัดส่งคนไปสำรวจดินแดนคานาอัน โดยให้แต่ละตระกูลต้องส่งคนเข้าร่วมตระกูลละหนึ่งคน ผู้สอดแนมสิบสองคนนั้นถูกระบุชื่อไว้อย่างชัดเจน (กดว.13:3-16) โมเสสได้สั่งชายทั้งสิบสองคนนี้เข้าไปในแผ่นดินคานาอัน ขึ้นเหนือไปผ่านเนเกบ โดยให้พวกเขาตรวจสอบดูทั่วแผ่นดินนั้นว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่เป็นอย่างไร ตัวเมืองและนอกเมืองมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร นอกจากนี้โมเสสสั่งพวกเขาว่า “...จงหาทางเก็บพืชผลของดินแดนนั้นกลับมาให้ดูด้วย" (กดว.13:17-20) ผู้สอดแนมทั้งสิบสองคนนั้นจึงเข้าในเนเกบ และมาถึงเฮโบรน พวกเขาเดินทางไปจนถึง เรโหบ ตามทางที่คนเข้ามายังเมืองเลโบฮามัท ดังนั้นพวกเขาจึงเที่ยวไปตลอดแผ่นดินนั้น ตั้งแต่ ศิน ซึ่งอยู่ในเขตแดนของเมืองเบเออร์เชบาในตอนใต้สุดไปจนถึงเขตแดนตอนเหนือสุดของแผ่นดินคานาอัน ในเขตแดนเมืองเฮโบรน พวกเขาเห็นลูกหลานของอานาค (เชื้อสายอานาค เป็นชนเผ่าที่มีรูปร่างใหญ่โตผิดปกติ ใน กดว.13:33 ใช้คำภาษาฮีบรูคำเดียวกันกับ ใน ปฐม.6:4 คือ คนเนฟิล เป็นมนุษย์ยักษ์ที่สูงเกือบสามเมตร มีการกล่าวถึงเรื่องนี้อีกครั้งใน 1ซมอ.17:4-7 เป็นเรื่องของโกลิอัทซึ่งสูงกว่าสองเมตรครึ่ง น่าจะเชื่อได้ว่าสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่านี้) สำหรับเมืองเฮโบรนนั้นมีความเก่าแก่ สร้างก่อนเมืองโศอันในอียิปต์
ถึงเจ็ดปี ขณะที่อยู่ในเขตแดนเมืองเฮโบรน พวกเขาตัดองุ่นพวงหนึ่งมาด้วย ซึ่งมีขนาดใหญ่มากจนต้องใช้คนสองคนหามด้วยไม้คาน พวกเขายังนำผลทับทิม และผลมะเดื่อของแผ่นดินนั้นมาด้วย การเดินทางของพวกเขาไปทั่วแผ่นดินนั้นใช้เวลาสี่สิบวัน โดยหลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมายังค่ายของอิสราเอล

อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/