ความเชื่อเป็นรากฐาน และเป็นเสมือนสิ่งที่เคียงคู่ตลอดเส้นทางการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า
แต่หลายครั้งความเชื่อกลับเป็นเรื่องที่ยากจะทำ และยากที่จะไปถึง… การมีความเชื่อ ไม่เพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
คนมากมายเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และมันค่อยๆ ลดขนาดลงด้วยปัญหาอุปสรรค และสิ่งที่ล่อหลอกให้จดจ่อ
แทนที่พระพักตร์และพระสัญญาของพระเจ้า.. สถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่เป็นใจ
ไม่ได้ดั่งใจ ทุกสิ่งดูเร่งเร้า แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ช้าเกินไปสำหรับใจคน คือ
สิ่งที่พระเจ้ากระทำ… ความเชื่อในระยะเริ่มต้นลดลงอย่างวูบวาบ
จนหลายครั้งไม่เหลือความเชื่อเลยด้วยซ้ำ
บางครั้งอาจถึงขนาดละทิ้งแล้วที่พระเจ้าตรัสไว้
เพราะคิดว่ามองดูและพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว
ไม่มีทางเป็นไปได้ตามที่พระเจ้าทรงตรัสเลย … เมื่อความเชื่อเริ่มเสื่อมถอยลง
ทั้งๆที่เวลาเมื่อไม่นานมานี้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงใช้ฤทธานุภาพช่วยเหลือพวกเขาออกมาจากอียิปต์
ความเสื่อมถอยนี้ทำให้จิตใจของพวกเขาขาดความวางใจในพระเจ้า
จนทำให้จิตใจเริ่มกระวนกระวายพูดง่ายๆ ว่า “สติแตก”
เมื่อพวกผู้สอดแนมพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่ได้สำรวจในดินแดนคานาอัน
“พวกเขากลับมาและรายงานโมเสส
อาโรนและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงที่คาเดชในถิ่นกันดารปาราน
และนำผลไม้ที่เก็บมาให้ดูด้วย 27 พวกเขารายงานโมเสสว่า
"พวกข้าพเจ้าไปถึงดินแดนที่ท่านใช้ให้ไปดู
เป็นดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง! ดูผลไม้เหล่านี้สิ 28 แต่ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นมีกำลังเข้มแข็งมาก
เมืองของเขาก็แสนใหญ่โต มีป้อมกำแพงแน่นหนา
มิหนำซ้ำพวกข้าพเจ้ายังเห็นวงศ์วานของอานาคอยู่ที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลขอาศัยอยู่ในเนเกบ
ส่วนชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุส และชาวอาโมไรต์อยู่บริเวณเทือกเขาและชาวคานาอันอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลและลุ่มแม่น้ำจอร์แดน" 32 แล้วพวกเขากระจายข่าวในแง่ร้ายในหมู่ชนอิสราเอลเกี่ยวกับดินแดนที่ได้สำรวจมาว่า
"ดินแดนที่เราไปสำรวจนั้นกลืนผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้น
ผู้คนที่เราพบเห็นล้วนแล้วแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ 33 เราเห็นคนเนฟิลที่นั่นด้วย(วงศ์วานของอานาคมาจากคนเนฟิล)
ในสายตาของเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตนและพวกเขาก็เห็นเช่นนั้นด้วย" (กดว.13:26-29,32-33) ด้วยใจที่กระวนกระวาย ขาดการวางใจในพระเจ้า การมองสภาพการณ์ต่างๆ
พวกเขามองด้วยสายตาของตนเอง ดังนั้นพอกลับมาผู้สอดแนมก็ได้รายงานต่อโมเสส อาโรน
และชุมชนทั้งหมด โดยแสดงให้พวกเขาเห็นผลไม้ของแผ่นดินนั้น
การรายงานของผู้สอดแนมมีทั้งคำชื่นชมต่อความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินนั้น
แต่ก็เจือผสมผสานด้วยความสงสัย
และความกลัวเกี่ยวกับความสามารถของอิสราเอลที่จะเอาชนะชนเผ่าต่างๆ
บนแผ่นดินนั้นด้วย พวกเขายอมรับว่าแผ่นดินนั้นมี “น้ำนมและน้ำผึ้ง”
ไหลบริบูรณ์จริงๆนั่นคือมันบริบูรณ์ไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ
แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็สงสัยว่า อิสราเอลจะพิชิตมันได้หรือไม่
พวกเขาเตือนว่าผู้คนในแผ่นดินนั้นมีกำลังมาก และอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ
ที่มีกำแพงล้อมรอบ บางคนที่อาศัยอยู่ที่นั้นมีร่างกายสูงใหญ่เป็นมนุษย์ยักษ์ด้วย การมองที่ปราศจาก
การไว้วางใจในพระเจ้า อุปสรรคน่าจะเป็นโอกาส
ที่พวกเขาจะได้พึ่งพาฤทธานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ในเหตุการณ์นี้กลับกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจของพวกเขาเอง
คำพูดของพวกเขากลายเป็นคำพูดเกินจริง และบิดเบือน คนอานาคที่ถูกกล่าวถึงอยู่นี้
ถูกกล่าวขานจนกลายเป็นคนเนฟิล
เหตุที่กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อจูงใจกระตุ้นให้เกิดความกลัว พวกเขาได้รายงานถึงชนกลุ่มต่างๆที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
นั่นคือ คนอามาเลข คนฮิตไทต์ คนเยบุส คนอาโมไรต์ และคนคานาอัน รายงานที่ผสมทั้ง
ข้อเท็จจริง และสิ่งที่คิดเอง อาจเกินความจริงเพราะขาดความเชื่อจึงนำพวกเขาไปสู่ความโง่เขลานั่นคือ ความรู้สึกว่า
พวกตนเป็นเหมือนตั๊กแตน การรายงานในแง่ร้ายของผู้สอดแนมสิบคน
พอจะสรุปสาเหตุได้สองประการคือ ความซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ในอดีต
ไม่ได้ทำให้ทั้งสิบคนนี้มีความจงรักภัคดีต่อพระองค์เลย
และพวกเขาไม่ไว้วางใจในพระเจ้า และพระสัญญาของพระองค์เกี่ยวกับอานาคตของพวกเขา การขาดความเชื่อของพวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ
ความเชื่อของ
คาเลบและโยชูวา
.....“วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าทำใจแข็งกระด้างเหมือนเมื่อครั้งกบฏ” (ฮบ.3:15)
ควรดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อไม่ให้เหมือนผู้สอดแนมทั้งสิบคน “อย่าทำใจแข็งกระด้าง”นี่เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตคริสเตียน
พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เลื่อนขั้นในชีวิตของพวกเราไปเรื่อยๆ
แต่ว่าการที่พวกเราจะไปได้สูงเท่าไหร่ในชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับพระพร
และความโปรดปรานจากพระองค์ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราเชื่อฟังพระคำของพระองค์ได้
มากเท่านั้น ยิ่งพวกเราเชื่อฟังการเตือนของพระเจ้ามากเท่าไร พระพร และความโปรดปรานที่พวกเราจะได้รับก็มากขึ้นเท่านั้น
เฝ้าสังเกตดูซิ...เมื่อใดที่พวกเราต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ มันจะเกิดความรู้สึก
”ตะขิดตะขวงใจ” นั่นเพราะว่า พระเจ้าทรงต้องการ “ชี้นำและชี้ทาง” ให้พวกเรา
ถ้าพวกเราเพิกเฉยต่อการเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใจของพวกเราจะแข็งกระด้างมากขึ้น
และจะทำให้พวกเราฟังเสียงของพระเจ้ายากขึ้น แต่วิธีแก้คือ พวกเราต้อง “ยอมจำนนต่อพระเจ้า”
กลับมาถ่อมใจเชื่อฟังพระองค์ แล้วตลอดชีวิตของพวกเรา พระเจ้าจะจัดการกับสถานการณ์ที่ยากๆ
พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรที่ถ่วงรั้งพวกเราอยู่ และพระองค์ทรงต้องการให้พวกเราเคลื่อนไปข้างหน้า
พระองค์รู้ว่าพวกเราจะไม่สบายใจเมื่อต้องเจอสถานการณ์อะไร และพระองค์ต้องการเสริมกำลังให้พวกเราสามารถจัดการกับสิ่งนั้นได้
ให้เราฟังเสียงพระองค์ และอย่ายอมให้ใจของพวกเรา “แข็งกระด้างและดื้อรั้น” เมื่อพวกเรายอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิตแล้ว
พระองค์จะยกพวกเราสูงขึ้น...สูงขึ้น และพวกเราจะได้รับความโปรดปรานพร้อมกับ พระพรของพระองค์ที่ทรงเตรียมไว้
อ่านบทความต่อได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น