วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โปรดวางใจ(ตอนสอง)

          ความเชื่อเป็นรากฐาน และเป็นเสมือนสิ่งที่เคียงคู่ตลอดเส้นทางการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า แต่หลายครั้งความเชื่อกลับเป็นเรื่องที่ยากจะทำ และยากที่จะไปถึงการมีความเชื่อ ไม่เพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น คนมากมายเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และมันค่อยๆ ลดขนาดลงด้วยปัญหาอุปสรรค และสิ่งที่ล่อหลอกให้จดจ่อ แทนที่พระพักตร์และพระสัญญาของพระเจ้า.. สถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่เป็นใจ ไม่ได้ดั่งใจ ทุกสิ่งดูเร่งเร้า แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ช้าเกินไปสำหรับใจคน คือ สิ่งที่พระเจ้ากระทำความเชื่อในระยะเริ่มต้นลดลงอย่างวูบวาบ จนหลายครั้งไม่เหลือความเชื่อเลยด้วยซ้ำ บางครั้งอาจถึงขนาดละทิ้งแล้วที่พระเจ้าตรัสไว้ เพราะคิดว่ามองดูและพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้ตามที่พระเจ้าทรงตรัสเลย เมื่อความเชื่อเริ่มเสื่อมถอยลง ทั้งๆที่เวลาเมื่อไม่นานมานี้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงใช้ฤทธานุภาพช่วยเหลือพวกเขาออกมาจากอียิปต์ ความเสื่อมถอยนี้ทำให้จิตใจของพวกเขาขาดความวางใจในพระเจ้า จนทำให้จิตใจเริ่มกระวนกระวายพูดง่ายๆ ว่า “สติแตก” เมื่อพวกผู้สอดแนมพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่ได้สำรวจในดินแดนคานาอัน
           พวกเขากลับมาและรายงานโมเสส อาโรนและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงที่คาเดชในถิ่นกันดารปาราน และนำผลไม้ที่เก็บมาให้ดูด้วย 27 พวกเขารายงานโมเสสว่า "พวกข้าพเจ้าไปถึงดินแดนที่ท่านใช้ให้ไปดู เป็นดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง! ดูผลไม้เหล่านี้สิ 28 แต่ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นมีกำลังเข้มแข็งมาก เมืองของเขาก็แสนใหญ่โต มีป้อมกำแพงแน่นหนา มิหนำซ้ำพวกข้าพเจ้ายังเห็นวงศ์วานของอานาคอยู่ที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลขอาศัยอยู่ในเนเกบ ส่วนชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุส และชาวอาโมไรต์อยู่บริเวณเทือกเขาและชาวคานาอันอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลและลุ่มแม่น้ำจอร์แดน" 32 แล้วพวกเขากระจายข่าวในแง่ร้ายในหมู่ชนอิสราเอลเกี่ยวกับดินแดนที่ได้สำรวจมาว่า "ดินแดนที่เราไปสำรวจนั้นกลืนผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้น ผู้คนที่เราพบเห็นล้วนแล้วแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ 33 เราเห็นคนเนฟิลที่นั่นด้วย(วงศ์วานของอานาคมาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตนและพวกเขาก็เห็นเช่นนั้นด้วย" (กดว.13:26-29,32-33) ด้วยใจที่กระวนกระวาย ขาดการวางใจในพระเจ้า การมองสภาพการณ์ต่างๆ พวกเขามองด้วยสายตาของตนเอง ดังนั้นพอกลับมาผู้สอดแนมก็ได้รายงานต่อโมเสส อาโรน และชุมชนทั้งหมด โดยแสดงให้พวกเขาเห็นผลไม้ของแผ่นดินนั้น การรายงานของผู้สอดแนมมีทั้งคำชื่นชมต่อความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินนั้น แต่ก็เจือผสมผสานด้วยความสงสัย และความกลัวเกี่ยวกับความสามารถของอิสราเอลที่จะเอาชนะชนเผ่าต่างๆ บนแผ่นดินนั้นด้วย พวกเขายอมรับว่าแผ่นดินนั้นมี “น้ำนมและน้ำผึ้ง” ไหลบริบูรณ์จริงๆนั่นคือมันบริบูรณ์ไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็สงสัยว่า อิสราเอลจะพิชิตมันได้หรือไม่ พวกเขาเตือนว่าผู้คนในแผ่นดินนั้นมีกำลังมาก และอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ที่มีกำแพงล้อมรอบ บางคนที่อาศัยอยู่ที่นั้นมีร่างกายสูงใหญ่เป็นมนุษย์ยักษ์ด้วย การมองที่ปราศจาก การไว้วางใจในพระเจ้า อุปสรรคน่าจะเป็นโอกาส ที่พวกเขาจะได้พึ่งพาฤทธานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ในเหตุการณ์นี้กลับกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจของพวกเขาเอง คำพูดของพวกเขากลายเป็นคำพูดเกินจริง และบิดเบือน คนอานาคที่ถูกกล่าวถึงอยู่นี้ ถูกกล่าวขานจนกลายเป็นคนเนฟิล เหตุที่กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อจูงใจกระตุ้นให้เกิดความกลัว พวกเขาได้รายงานถึงชนกลุ่มต่างๆที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น นั่นคือ คนอามาเลข คนฮิตไทต์ คนเยบุส คนอาโมไรต์ และคนคานาอัน รายงานที่ผสมทั้ง ข้อเท็จจริง และสิ่งที่คิดเอง อาจเกินความจริงเพราะขาดความเชื่อจึงนำพวกเขาไปสู่ความโง่เขลานั่นคือ ความรู้สึกว่า พวกตนเป็นเหมือนตั๊กแตน  การรายงานในแง่ร้ายของผู้สอดแนมสิบคน พอจะสรุปสาเหตุได้สองประการคือ ความซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ในอดีต ไม่ได้ทำให้ทั้งสิบคนนี้มีความจงรักภัคดีต่อพระองค์เลย และพวกเขาไม่ไว้วางใจในพระเจ้า และพระสัญญาของพระองค์เกี่ยวกับอานาคตของพวกเขา การขาดความเชื่อของพวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ
ความเชื่อของ คาเลบและโยชูวา
          .....วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าทำใจแข็งกระด้างเหมือนเมื่อครั้งกบ(ฮบ.3:15) ควรดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อไม่ให้เหมือนผู้สอดแนมทั้งสิบคน “อย่าทำใจแข็งกระด้าง”นี่เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตคริสเตียน พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เลื่อนขั้นในชีวิตของพวกเราไปเรื่อยๆ แต่ว่าการที่พวกเราจะไปได้สูงเท่าไหร่ในชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับพระพร และความโปรดปรานจากพระองค์ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราเชื่อฟังพระคำของพระองค์ได้ มากเท่านั้น ยิ่งพวกเราเชื่อฟังการเตือนของพระเจ้ามากเท่าไร พระพร และความโปรดปรานที่พวกเราจะได้รับก็มากขึ้นเท่านั้น เฝ้าสังเกตดูซิ...เมื่อใดที่พวกเราต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ มันจะเกิดความรู้สึก ”ตะขิดตะขวงใจ” นั่นเพราะว่า พระเจ้าทรงต้องการ “ชี้นำและชี้ทาง” ให้พวกเรา ถ้าพวกเราเพิกเฉยต่อการเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใจของพวกเราจะแข็งกระด้างมากขึ้น และจะทำให้พวกเราฟังเสียงของพระเจ้ายากขึ้น แต่วิธีแก้คือ พวกเราต้อง “ยอมจำนนต่อพระเจ้า” กลับมาถ่อมใจเชื่อฟังพระองค์ แล้วตลอดชีวิตของพวกเรา พระเจ้าจะจัดการกับสถานการณ์ที่ยากๆ พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรที่ถ่วงรั้งพวกเราอยู่ และพระองค์ทรงต้องการให้พวกเราเคลื่อนไปข้างหน้า พระองค์รู้ว่าพวกเราจะไม่สบายใจเมื่อต้องเจอสถานการณ์อะไร และพระองค์ต้องการเสริมกำลังให้พวกเราสามารถจัดการกับสิ่งนั้นได้ ให้เราฟังเสียงพระองค์ และอย่ายอมให้ใจของพวกเรา “แข็งกระด้างและดื้อรั้น” เมื่อพวกเรายอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิตแล้ว พระองค์จะยกพวกเราสูงขึ้น...สูงขึ้น และพวกเราจะได้รับความโปรดปรานพร้อมกับ พระพรของพระองค์ที่ทรงเตรียมไว้

อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น