วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โปรดวางใจ(ตอนสาม)


         ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ขออย่าให้ข้าพระองค์อับอาย ทั้งอย่าให้ศัตรูของข้าพระองค์มีชัยชนะเหนือข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดที่หวังในพระองค์แล้วต้องละอาย แต่ผู้ที่ทรยศโดยใช่เหตุนั้นจะต้องอับอาย” (สดด.25:2-3) การกล่าวถึงศัตรูซึ่งไม่เพียงต่อต้านพวกเราเท่านั้น แต่ยังต่อต้านวิถีชีวิตในทางของพระเจ้าด้วย การทดลองต่างๆ เช่น เงินทอง ความสำเร็จ เกียรติยศ และตัณหา ล้วนเป็นศัตรูของพวกเรา การทูลขอให้ศัตรูพ่ายแพ้เพราะสิ่งเหล่านี้ต่อต้านสิ่งที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า ถ้าศัตรูมีชัยชนะเกรงว่าคนอื่นๆ จะคิดว่าการดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้านั้นไร้ประโยชน์ ความเชื่อและการวางใจในพระเจ้าแบบนี้คงจะก่อตัวขึ้นในจิตใจของ “คาเลบและโยชูวา” ด้วยเหตุที่พวกเขาและชนชาติอิสราเอลได้รับพระคุณจากพระเจ้าอย่างมากมาย ที่ได้นำออกมาจากการเป็นทาสที่อียิปต์ พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้สงสัยในความเชื่อของตนเอง เพราะพวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าจะมีชัยชนะในที่สุด ดังนั้นการมองสถานการณ์จากการสำรวจดินแดนคานาอัน จึงเป็นไปทางตรงกันข้ามกับผู้สอดแนมทั้งสิบคน
30 แต่คาเลบบอกให้ประชากรเงียบต่อหน้าโมเสสและพูดว่า "เราควรจะขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราสามารถเอาชนะได้แน่" โยชูวาบุตรนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ซึ่งออกไปสำรวจดินแดนด้วยจึงฉีกเสื้อผ้าของตนและกล่าวแก่ชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงว่า "ดินแดนที่เราเข้าไปสำรวจนั้นดีเยี่ยมจริงๆ หากองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปในดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และจะยกดินแดนนั้นให้แก่เรา ขอเพียงแต่เราอย่ากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ไม่ต้องกลัวผู้คนในดินแดนนั้น เพราะเราจะกลืนกินพวกเขา สิ่งที่พิทักษ์รักษาเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย" (กดว.13:30;14:6-9) คาเลบนำเสนอข้อมูลด้วยความเชื่อเขาปรามให้ประชาชนเงียบเสียงบ่นลง แต่ก็น่าจะกระทำได้ยากเหมือนกัน เพราะพวกเขาได้ถูกปลุกให้ตื่นตระหนกจากผู้สอดแนมทั้งสิบคนก่อนหน้านี้แล้ว คำแนะนำของคาเลบนั้นมีลักษณะเรียบง่าย "เราควรจะขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราสามารถเอาชนะได้แน่" ด้วยความเชื่อในพระเจ้าคาเลบมองเห็นชัยชนะ แต่ด้วยใจที่สงสัยของประชาชนคนอื่นๆ ที่เหลือพวกเขามองเห็นแต่อุปสรรค โยชูวาและคาเลบ พยายามพูดหนุนใจพี่น้องร่วมชาติ พวกเขากล่าวว่าแผ่นดินนั้น “ดีเยี่ยมจริงๆ” นอกจากนี้พวกเขาชี้ให้เห็นว่า “หากองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปในดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และจะยกดินแดนนั้นให้แก่เรา” นอกจากนี้ ทั้งสองคนยังเตือนสติอิสราเอลว่า “ขอเพียงแต่เราอย่ากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ไม่ต้องกลัวผู้คนในดินแดนนั้น เพราะเราจะกลืนกินพวกเขา สิ่งที่พิทักษ์รักษาเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย
          คาเลบและโยชูวาไม่เพียงมีความเชื่อเท่านั้น แต่เขาทั้งสองเต็มใจที่จะเชื่อฟังด้วย “องค์พระผู้เป็นเจ้า+ตรัสกับโมเสสว่า "จงส่งหัวหน้าจากแต่ละเผ่าเข้าไปสำรวจดินแดนคานาอันที่เราจะยกให้ชนอิสราเอล” (กเดว.13:1-2) พระเจ้าผู้ได้ทรงสัญญาว่าจะยกดินแดนนั้นให้แก่พวกเขา พระองค์ทรงสามารถที่จะยกแผ่นดินนั้นให้แก่พวกเขาได้จริงๆ ในการหนุนใจเพื่อนร่วมชาติ คาเลบและโยชูวาเตือนสติคนเหล่านั้นไม่ให้กบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และย้ำไม่ให้อิสราเอลกลัวชนชาติของแผ่นดินนั้น เขาเปรียบชนชาติต่างๆที่อยู่ในแผ่นดินคานาอันนั้นดั่งเช่นขนมหวาน พวกเขาสามารถที่จะกลืนกินชนชาติเหล่านี้ได้ทั้งเป็นๆ เพราะอะไรน่ะหรือ “องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา” ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งสองคนจึงลืมความกลัว สิ่งที่ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดนั้นก็คือ “ความเชื่อ” นั้นเอง พวกเขาตั้งมั่นอุทิศถวายตัวต่อพระเจ้าและความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในพระสัญญาของพระเจ้าต่ออิสราเอล คาเลบและโยชูวาปฏิเสธที่จะยอมรับความคิดเห็นของคนอิสราเอลส่วนใหญ่ที่ได้รับข่าวร้ายก่อนหน้านี้ แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตก็ตาม แต่มันกลายเป็นเรื่องน่าเศร้า เมื่อข่าวลือ ข่าวร้าย ได้กระจายไปทั่วชุมชนอิสราเอลเสียแล้ว ประชาชนเกิดอารมณ์โกรธต่อการพูดของคาเลบและโยชูวา พวกเขาข่มขู่ว่าจะเอาหินขว้างเขาทั้งสอง
          “....ขณะนั้นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าชนอิสราเอลทั้งปวง (กดว.14:10) นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระเจ้าไม่เพียงปรากฏพระองค์เพื่อตรัสถึงความไม่พอพระทัยของพระองค์ในเรื่องนี้เท่านั้น แต่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น ณ เวลานั้นเพื่อหันเหความสนใจของประชากรอิสราเอลไปจากการเอาก้อนหินขว้างสองคนนั้น ทั้งๆที่เขาทั้งสองมีความเชื่อ และความซื่อตรงที่จะเชื่อฟังพระเจ้า
อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น