“
2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ขออย่าให้ข้าพระองค์อับอาย ทั้งอย่าให้ศัตรูของข้าพระองค์มีชัยชนะเหนือข้าพระองค์
3 ไม่มีผู้ใดที่หวังในพระองค์แล้วต้องละอาย แต่ผู้ที่ทรยศโดยใช่เหตุนั้นจะต้องอับอาย” (สดด.25:2-3) การกล่าวถึงศัตรูซึ่งไม่เพียงต่อต้านพวกเราเท่านั้น
แต่ยังต่อต้านวิถีชีวิตในทางของพระเจ้าด้วย การทดลองต่างๆ เช่น เงินทอง ความสำเร็จ
เกียรติยศ และตัณหา ล้วนเป็นศัตรูของพวกเรา การทูลขอให้ศัตรูพ่ายแพ้เพราะสิ่งเหล่านี้ต่อต้านสิ่งที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า
ถ้าศัตรูมีชัยชนะเกรงว่าคนอื่นๆ
จะคิดว่าการดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้านั้นไร้ประโยชน์
ความเชื่อและการวางใจในพระเจ้าแบบนี้คงจะก่อตัวขึ้นในจิตใจของ “คาเลบและโยชูวา”
ด้วยเหตุที่พวกเขาและชนชาติอิสราเอลได้รับพระคุณจากพระเจ้าอย่างมากมาย ที่ได้นำออกมาจากการเป็นทาสที่อียิปต์
พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้สงสัยในความเชื่อของตนเอง
เพราะพวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าจะมีชัยชนะในที่สุด
ดังนั้นการมองสถานการณ์จากการสำรวจดินแดนคานาอัน จึงเป็นไปทางตรงกันข้ามกับผู้สอดแนมทั้งสิบคน
“ 30 แต่คาเลบบอกให้ประชากรเงียบต่อหน้าโมเสสและพูดว่า
"เราควรจะขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราสามารถเอาชนะได้แน่" ; 6 โยชูวาบุตรนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ซึ่งออกไปสำรวจดินแดนด้วยจึงฉีกเสื้อผ้าของตน7 และกล่าวแก่ชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงว่า
"ดินแดนที่เราเข้าไปสำรวจนั้นดีเยี่ยมจริงๆ 8 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา
พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปในดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง
และจะยกดินแดนนั้นให้แก่เรา 9 ขอเพียงแต่เราอย่ากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย
ไม่ต้องกลัวผู้คนในดินแดนนั้น เพราะเราจะกลืนกินพวกเขา สิ่งที่พิทักษ์รักษาเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย" (กดว.13:30;14:6-9) คาเลบนำเสนอข้อมูลด้วยความเชื่อเขาปรามให้ประชาชนเงียบเสียงบ่นลง
แต่ก็น่าจะกระทำได้ยากเหมือนกัน เพราะพวกเขาได้ถูกปลุกให้ตื่นตระหนกจากผู้สอดแนมทั้งสิบคนก่อนหน้านี้แล้ว
คำแนะนำของคาเลบนั้นมีลักษณะเรียบง่าย "เราควรจะขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์
เราสามารถเอาชนะได้แน่" ด้วยความเชื่อในพระเจ้าคาเลบมองเห็นชัยชนะ
แต่ด้วยใจที่สงสัยของประชาชนคนอื่นๆ ที่เหลือพวกเขามองเห็นแต่อุปสรรค โยชูวาและคาเลบ พยายามพูดหนุนใจพี่น้องร่วมชาติ
พวกเขากล่าวว่าแผ่นดินนั้น “ดีเยี่ยมจริงๆ” นอกจากนี้พวกเขาชี้ให้เห็นว่า “หากองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา
พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปในดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง
และจะยกดินแดนนั้นให้แก่เรา” นอกจากนี้ ทั้งสองคนยังเตือนสติอิสราเอลว่า “ขอเพียงแต่เราอย่ากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย
ไม่ต้องกลัวผู้คนในดินแดนนั้น เพราะเราจะกลืนกินพวกเขา
สิ่งที่พิทักษ์รักษาเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา
อย่ากลัวพวกเขาเลย”
คาเลบและโยชูวาไม่เพียงมีความเชื่อเท่านั้น
แต่เขาทั้งสองเต็มใจที่จะเชื่อฟังด้วย “องค์พระผู้เป็นเจ้า+ตรัสกับโมเสสว่า 2 "จงส่งหัวหน้าจากแต่ละเผ่าเข้าไปสำรวจดินแดนคานาอันที่เราจะยกให้ชนอิสราเอล” (กเดว.13:1-2)
พระเจ้าผู้ได้ทรงสัญญาว่าจะยกดินแดนนั้นให้แก่พวกเขา
พระองค์ทรงสามารถที่จะยกแผ่นดินนั้นให้แก่พวกเขาได้จริงๆ ในการหนุนใจเพื่อนร่วมชาติ
คาเลบและโยชูวาเตือนสติคนเหล่านั้นไม่ให้กบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
และย้ำไม่ให้อิสราเอลกลัวชนชาติของแผ่นดินนั้น
เขาเปรียบชนชาติต่างๆที่อยู่ในแผ่นดินคานาอันนั้นดั่งเช่นขนมหวาน
พวกเขาสามารถที่จะกลืนกินชนชาติเหล่านี้ได้ทั้งเป็นๆ เพราะอะไรน่ะหรือ “องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา”
ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งสองคนจึงลืมความกลัว
สิ่งที่ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดนั้นก็คือ “ความเชื่อ” นั้นเอง พวกเขาตั้งมั่นอุทิศถวายตัวต่อพระเจ้าและความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในพระสัญญาของพระเจ้าต่ออิสราเอล คาเลบและโยชูวาปฏิเสธที่จะยอมรับความคิดเห็นของคนอิสราเอลส่วนใหญ่ที่ได้รับข่าวร้ายก่อนหน้านี้
แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตก็ตาม แต่มันกลายเป็นเรื่องน่าเศร้า เมื่อข่าวลือ ข่าวร้าย
ได้กระจายไปทั่วชุมชนอิสราเอลเสียแล้ว
ประชาชนเกิดอารมณ์โกรธต่อการพูดของคาเลบและโยชูวา พวกเขาข่มขู่ว่าจะเอาหินขว้างเขาทั้งสอง
“....ขณะนั้นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า
มาปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าชนอิสราเอลทั้งปวง” (กดว.14:10) นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พระเจ้าไม่เพียงปรากฏพระองค์เพื่อตรัสถึงความไม่พอพระทัยของพระองค์ในเรื่องนี้เท่านั้น
แต่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น ณ
เวลานั้นเพื่อหันเหความสนใจของประชากรอิสราเอลไปจากการเอาก้อนหินขว้างสองคนนั้น
ทั้งๆที่เขาทั้งสองมีความเชื่อ และความซื่อตรงที่จะเชื่อฟังพระเจ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น