วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระวจนะเปลี่ยนชีวิต


 ขอทรงกระทำให้พระพักตร์ของพระองค์ 
ทอแสงมาที่ผู้รับใช้ของพระองค์
และขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์
แก่ข้าพระองค์(สดด.119:135)
          “พระวจนะ” ของพระเจ้าเป็นของขวัญล้ำค่าต่อพวกเรา เป็นคู่มือชีวิตให้เราดำเนินชีวิต และปฏิบัติตาม เพื่อเกิดความสุขความเจริญทั้งด้าน กาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เป็นสื่อจากเบื้องบนให้เราได้รู้จักกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และรับความรอดจากพระองค์ผ่านข่าวประเสริฐในพระวจนะของพระองค์(พระคัมภีร์) และเป็นสารจากสวรรค์ รากฐานความเชื่อของพวกเราก็คือการทรงสำแดงของพระเจ้า พระองค์ทรงสำแดงผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้ง 66 เล่ม 39 เล่มเขียนขึ้นก่อนที่พระคริสต์เสด็จมายังโลก อีก 27 เล่มเขียนขึ้นหลังจากนั้น ทั้งหมดนั้นคือ บันทึก การตีความ การแสดงให้เห็น และเป็นรูปแบบแห่งการเปิดเผยพระองค์เอง “พระเจ้าและความชอบธรรมแบบพระองค์” คือ แก่นเรื่องที่สอดสานเป็นเอกภาพของพระคัมภีร์ตลอดทั้ง 66 เล่ม
          ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้า(พระคัมภีร์) จึงมีฤทธิ์เดช และสำคัญยิ่งต่อชีวิตของพวกเรา พระวจนะของพระเจ้ามีฤทธิ์เดช “เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตาย และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูก และไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิด และความมุ่งหมายในใจด้วย 13ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์ แต่ตรงข้ามทุกสิ่งปรากฎแจ้งต่อพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องสัมพันธ์ด้วย (ฮบ. 4:12-13) พระวจนะของพระเจ้าไม่เพียงแต่เป็นคำตรัสจากพระเจ้า เป็นเครื่องมือในการสื่อสารความคิดเท่านั้น แต่พระวจนะนั้นมีชีวิต สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต มีพลังขับเคลื่อนขณะเมื่อพระคำนั้นทำงานภายในเรา เปรียบเหมือนมีดในมือศัลยแพทย์ พระวจนะเปิดเผยให้เห็นว่าเราเป็นใคร และเราไม่ใช่ใคร วินิจฉัยสิ่งที่อยู่ในเราทั้งดีและร้าย เราไม่เพียงต้องฟังพระวจนะ แต่ต้องยอมให้พระวจนะขัดเกลาชีวิตของเราด้วย เพราะไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้นจากพระเจ้าได้ พระองค์ทรงเห็นทุกอย่างที่เรากระทำและรู้ทุกอย่างที่เราคิด แม้เมื่อเราไม่รู้ตัวว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วย หรือแม้เมื่อเราพยายามซ่อนจากพระองค์ พระองค์ทรงทราบเราไม่สามารถมีความลับกับพระองค์ได้    
          สดุดี หนึ่งร้อยสิบเก้า ข้อ หกสิบห้าถึงแปดสิบ ให้ข้อหนุนใจมากมายแก่พวกเราโดยเฉพาะ
ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันนั้นยากที่จะไม่เกลือกกลั้วกับสิ่งชั่วร้ายสกปรกโสมมถ้าผู้เชื่อจะ
ดำเนินชีวิตให้ดีรอบคอบนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยพระวจนะชี้ทางที่บริสุทธิ์ให้ บางครั้งเราอาจหลงทางจากลู่ทางของพระเจ้า พระองค์อาจทรงตีสอนเรา โดย ทำให้ชีวิตต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เพื่อนำเรากลับมาสู่ทางอันชอบธรรมของพระองค์อีก ความทุกข์ยากลำบากในบริบทของพระคำนี้คือ การถูกติฉินนินทากล่าวซุบซิบเสียดสีของคู่อริ พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะปั้นแต่งขัดเกลาให้เราได้รูปสวยงามหมดจด พระองค์จะทรงดัดแปลงอุปนิสัยของเราเรื่อยๆ เพื่อเข้าสู่สภาพสมบูรณ์ดีเลิศ การตีสอนของพระเจ้าจึงทำให้เราเข้มแข็งกว่าเดิม และรู้จักพระเจ้าได้ดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นเหตุกระตุ้นให้แก่ผู้อื่นที่กำลังทนทุกข์อยู่ ให้ยืนกรานอดทนต่อสู้ต่อไป     
          ดังนั้นการสั่งสอนของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ล้ำเลิศ “บรรดาพระโอวาทของพระองค์ประหลาดนัก เพราะฉะนั้นจิตใจของข้าพระองค์จึงรักษาไว้ 130การคลี่คลายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย 131ข้าพระองค์หอบจนอ้าปาก เพราะข้าพระองค์กระหายพระบัญญัติของพระองค์ 132ขอทรงหันมาหาข้าพระองค์ และมีพระกรุณาต่อข้าพระองค์ ดังที่พระองค์ทรงเคยกระทำต่อผู้ที่รักพระนามของพระองค์ 133ขอทรงให้ย่างเท้าของข้าพระองค์มั่นคงอยู่ในพระดำรัสของพระองค์ ขออย่าทรงให้ความบาปผิดใดๆ มีอำนาจเหนือข้าพระองค์ 134ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นการบีบบังคับของมนุษย์ เพื่อข้าพระองค์จะปฏิบัติตามข้อบังคับของพระองค์ 135ขอทรงกระทำให้พระพักตร์ของพระองค์ ทอแสงมาที่ผู้รับใช้ของพระองค์ และขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ 136ข้าพระองค์น้ำตาไหลพรั่งพรู เพราะคนไม่ปฏิบัติตามพระธรรมของพระองค์” (สดด.119:129-136) ผู้รับใช้ของพระเจ้าย่อมหิวกระหายและแสวงหาเรียนรู้พระคำของพระองค์ เมื่อมุ่งมั่นจะประพฤติตามพระโอวาทอย่างเคร่งครัด จะต้องมีชัยชนะต่อความบาปอย่างจริงจัง “หันมาหา” ความปารถนาของผู้รับใช้ต่อพระเจ้า ก็เพื่อพระองค์จะทรงหันมาหาและมอบความเมตตาไว้ด้วย การทรงนำ การไถ่ การอวยพระพร และการสั่งสอน “พระพักตร์ของพระองค์ ทอแสงมาที่ผู้รับใช้” ผู้รับใช้ที่ดำเนินชีวิตเช่นนี้ จึงนำความโปรดปรานของพระเจ้ามาสู่พวกเขา พระองค์จะเงยพระพักตร์ที่สว่างของพระองค์มาเหนือพวกเขา ดังนั้นผู้รับใช้พระเจ้าจะโศกเศร้าเสมอ เมื่อผู้เชื่อไม่ได้อุทิศชีวิตของตนเองต่อพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริง

“ขอพระพักตร์พระองค์ทอแสงบนผู้รับใช้ของพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด
ด้วยความรักมั่นคงของพระองค์” (สดด.31:16)
“...และโดยความสว่างแห่งพระพักตร์พระองค์ เพราะพระองค์ทรงปีติยินดี
ในเขาทั้งหลายเหล่านั้น (สดด. 44:3)
“...ขอพระองค์ทรงให้พระพักตร์ฉายสว่างแก่ข้าพระองค์” (สดด.67:1)

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/


วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ(ตอนสุดท้าย)

          “ เพราะว่า พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ขายหน้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ และข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย 8 พระองค์ผู้ทรงแก้แทนข้าพเจ้าก็อยู่ใกล้ ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า ก็ให้เรายืนอยู่ด้วยกัน ใครเป็นปฏิปักษ์ของข้าพเจ้า ก็ให้เขามาใกล้ข้าพเจ้า 9 ดูเถิด พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้าว่ามีความผิด ดูเถิด บรรดาเขาทุกคนจะร่อยหรอไป เหมือนอย่างเสื้อผ้า ตัวแมลงจะกินเขาเหล่านั้นเสีย ” (อสย.50:7-9) ความเข้มแข็งของผู้รับใช้ เป็นผลของการฝึกฝนและการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตามข้อพระคัมภีร์อิสยาห์บทที่ห้าสิบข้อสี่ถึงหก ที่ได้ใคร่ครวญไปนั้นพระคำนี้เผยให้เราทราบว่า “เคล็ดลับของความเข้มแข็งภายในตัวเรานั้น ก็คือความรู้แน่แก่ใจตนเองว่า “ องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ช่วยเหลือเรา ” พระคำข้างบนนี้น่าจะเป็นที่หนุนใจของ ลูกา และเปาโล เมื่อลูกาบันทึกข้อพระคำว่า“...พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วไปยังกรุงเยรูซาเล็ม” (ลก.9:51) ลูกาน่าจะกำลังคิดถึงอิสยาห์บทที่ห้าสิบข้อเจ็ด “...ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ...” เปาโลก็น่าจะได้รับการหนุนใจจากอิสยาห์บทที่ห้าสิบข้อเจ็ดถึงเก้านี้เช่นกัน เมื่อบันทึกในโรมที่ว่า “ และบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย 31 ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา 32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ 33 ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว 34 ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก พระเยซูคริสต์น่ะหรือ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย 35 แล้วใครจะให้เราทั้งหลาย ขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ 36 ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า 37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้น โดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย  38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย 39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลาย ขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ ” (รม.30-39) จะเห็นได้ว่าวิธีการเขียนเป็นไปในแนวเดียวกันกับอิสยาห์คือ เป็นการพูดถึงความเข้มแข็งภายในโดยใช้วิธีตั้งคำถามว่า “ ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเราใครจะขัดขวางเราได้ ” คริสเตียนทุกยุคทุกสมัยมั่นใจ ยืนหยัด ยอมเสี่ยงเพื่อความเชื่อของตนเอง เพราะแน่ใจว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
          “ เชื่อวางใจในพระเจ้าทั้งวันนี้และวันพรุ่งนี้ ” ...พระเจ้าทรงสัญญาแก่เราทุกคนที่รูสึกอ่อนแอว่า“ ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั้น... ” (2คร.12:9) พวกเรามีพระบิดาเจ้าผู้สถิตอยู่กับเราเสมอ พระองค์จะประทานกำลังอย่างเพียงพอให้แก่เราในการอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ความสามารถของเราจะมากหรือน้อยในการอดทน จึงไม่เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเราจะได้รับการหนุนจิตชูใจจากพระคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราต้องฝึกฝนการวางใจ ในพระสัญญาของพระเจ้าตั้งแต่วันนี้ โดยนึกถึงพระสัญญาของพระองค์เสมอ พระองค์ตรัสว่า

- “...เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย ” (ฮบ.13:5)
- “ อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเรา
เป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า
เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา ” (อสย.41:10)

เพราะฉะนั้นอย่าย่อท้อต่อ“การฝึกพูด การฝึกฟัง และการฝึกทนทุกข์(อดทน)เพื่อหล่อหลอมเป็นผู้รับใช้

“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ(ตอนสี่)

          3. การฝึกหลังให้ยอมถูกโบยตี(ยอมรับความทุกข์ยากลำบาก) “พระเจ้าได้ทรงเบิกหูข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ดื้อดัน ข้าพเจ้าไม่หันกลับ 6 ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่คนที่ดึงเคราข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่หนีหน้า จากความอายแก่การถ่มน้ำลายรด” (อสย.50:5-6) กระบวนการอบรมสั่งสอนซึ่งเริ่มด้วย การฝึกพูด ไปสู่ การฝึกฟัง และไปสู่ การฝึกทนทุกข์(อดทน) บททดสอบขั้นสุดท้ายของการเป็นผู้รับใช้คือ “การยอมทนต่อความทุกข์ลำบาก” คริสเตียนในยุคแรกๆ มักจะถูกนำขึ้นสู้คดีในศาล และถูกตัดสินลงโทษด้วยการถูกโบยตี เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสอนผู้รับใช้ว่า การเรียนรู้ที่จะยอมรับการโบยตีด้วยความยินดีนั้น ถือว่าเป็นการรับใช้พระเจ้า “...และเมื่อได้ให้โบยตีพระเยซูแล้ว ก็มอบให้เขาเอาไปตรึงไว้ที่กางเขน” (มก.15:15) องค์พระเยซูคริสต์ก็ถูกกระทำเช่นนี้เหมือนกัน และในกาลต่อมาเปาโลซึ่งเป็นอัครสาวกก็ถูกทำร้ายเช่นกัน “พวกยูเดียเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้งๆ ละสามสิบเก้าที 25 เขาตีข้าพเจ้าด้วยตะบองสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง” (2คร.11:24-25)ผู้รับใช้ปัจจุบันอาจต้องเรียนรู้ที่จะยินยอมถูกทรมานร่างกาย หรือยอมรับความยากลำบากต่างๆ เพื่อเห็นแก่คนอื่น และด้วยความเชื่อฟังพระเจ้า อาจจะไม่ใช่ความทุกข์จากร่างกายอย่างเดียว แต่อาจจะรับทุกข์ทางใจด้วย นั้นคือได้รับการดูถูกเหยียดหยาม หรือทำให้เสียเกียรติ ชื่อเสียง และสุขภาพจิต ผู้รับใช้สมควรต้องเรียนรู้ที่จะอดทนต่อเหตุการณ์เหล่านี้ เพราะนั้นเป็นการเชื่อฟังพระเจ้า ในบทที่สองของพระธรรมสองทิโมธีนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สอนผ่านการหนุนใจของเปาโลที่มีต่อทิโมธีโดยกำชับให้ทนทุกข์เพื่อข่าวประเสริฐ “จงทนการยากลำบากด้วยกัน กับทหารที่ดีของพระเยซูคริสต์ 4 ไม่มีทหารคนใดที่เข้าประจำการแล้ว จะยุ่งอยู่กับงานฝ่ายพลเรือน ด้วยว่าเขามุ่งที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ” (2ทธ.2:3-4) เปาโลเปรียบผู้รับใช้เป็นทหารเพื่อเน้นว่า ผู้รับใช้ต้องเป็นคนที่อุทิศตัว ยอมทนทุกข์ และมีใจแน่วแน่ในการทำหน้าที่   ทหารยามรบย่อมถือว่าความยากลำบาก การเสี่ยงภัย และการทนทุกข์เป็นของธรรมดาที่ต้องพบ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทหาร   ฉันใดฉันนั้น คริสเตียนก็ไม่ควรหวังว่าจะมีชีวิตที่สบาย ถ้าเขาจริงจังกับข่าวประเสริฐ เขาก็ต้องเผชิญการต่อต้านและดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ทหารต้องไม่ไปพัวพันกับงานฝ่ายพลเรือน คือไม่พัวพันกับสิ่งใดที่อาจขัดขวางมิให้เขาต่อสู้เพื่อพระคริสต์อย่างเต็มที่   ประเด็นนี้อาจเป็นคำแนะนำที่เจาะจงสำหรับผู้รับใช้เต็มเวลาไม่ควรต้องแบกภาระการเลี้ยงชีพโดยทำงาน ฝ่ายโลกเพื่อเขาจะได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดทำหน้าที่และจดจ่อศึกษาพระวจนะโดยไม่วอกแวก นอกจากนั้นการทนทุกข์ก็เป็นเงื่อนไขของพระพร “ จงระลึกถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงสืบเชื้อสายจากดาวิด ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น 9 และเพราะเหตุข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงทนทุกข์ ถูกล่ามโซ่ตั้งผู้ร้าย แต่พระวจนะของพระเจ้านั้น ไม่มีผู้ใดเอาโซ่ล่ามไว้ได้ 10 เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงยอมทนทุกอย่าง เพราะเห็นแก่ผู้ที่ทรงเลือกไว้นั้น เพื่อเขาจะได้รับความรอด ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ พร้อมทั้งศักดิ์ศรีนิรันดร์ 11 ข้อนี้เป็นความจริง คือ ถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ 12 ถ้าเรามีความอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ ถ้าเราไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทรงยอมรับเราเช่นเดียวกัน 13 ถ้าเราไม่มีความสัตย์จริง พระองค์ก็ยังทรงไว้ซึ่งความสัตย์จริง เพราะพระองค์จะไม่ทรงเป็นพระองค์เองไม่ได้ ” (2ทธ.8-13) ในพระคำนี้เปาโลยกประสบการณ์จริง 3 ประการมาชี้ให้เห็นว่า ไม่มีสิ่งสูงค่าใดที่ได้มาโดยง่ายดังนี้  
          ประการแรกคือ ประสบการณ์ของพระคริสต์   การที่พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตายบ่งว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนการที่ทรงสืบเชื้อสายจากดาวิดบ่งว่าพระองค์เป็นมนุษย์และเป็นพระมหากษัตริย์   ประสบการณ์การสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ของพระคริสต์ชี้ให้เห็นว่า ความตายเป็นประตูสู่ชีวิตและการทนทุกข์เป็นหนทางสู่สง่าราศี ประการที่สอง ประสบการณ์ของเปาโล   เปาโลประกาศข่าวประเสริฐเพื่อให้คนที่พระเจ้าทรงเลือกได้รับความรอด   ประสบการณ์ของเปาโลแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครประกาศข่าวประเสริฐได้โดยไม่ต้องทนทุกข์ และประการสุดท้าย ประสบการณ์ของคริสเตียนทุกคน   เราจะได้ชีวิตร่วมกับพระคริสต์ในสวรรค์ก็ต่อเมื่อเรามีส่วนร่วมกับความตายของพระองค์ในโลกนี้ และเราจะได้ครอบครองกับพระคริสต์ในวันหน้าก็ต่อเมื่อเรามีส่วนร่วมทนทุกข์กับพระองค์ในวันนี้ ดังนั้นบางครั้งชีวิตเราอาจจะไม่สะดวกสบาย และไม่น่าจะสัญญากับคนอื่นๆ ว่าชีวิตเขาจะไร้ปัญหาเมื่อติดตามรับใช้องค์พระเยซูคริสต์ เราสามารถอุทิศชีวิตของเราไห้กับพระองค์ได้ โดยเริ่มต้นที่จะปรับตัวปรับใจฝึกพูด ฝึกฟัง และฝึกอดทน ใช้ชีวิตทุกวันเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ ใช้ชีวิตที่ให้สมกับโลหิตที่พระองค์ทรงหลั่งเพื่อเรา ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ให้กับทุกคนได้รับรู้ สมกับที่กล่าวว่า “ ...เป็นผู้อุทิศชีวิตของตน เพื่อพระนามแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ” (กจ.15:26)

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/


วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ(ตอนสาม)

                    2. การฝึกหูให้ตื่นในการฟัง “...ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุก ทรงปลุกหูของข้าพเจ้า เพื่อให้ฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน” (อสย 50:4) ผู้รับใช้จะต้องเรียนรู้ที่จะให้องค์พระผู้เป็นเจ้าปลุกหู เพื่อจะได้ยินว่าพระองค์กำลังตรัสกับเขาทางไหนและอย่างไร “การฟัง” เป็นการรับรู้ การเข้าใจจับประเด็น และแปลความหมายจากเสียงที่เป็นคำพูด สัญญาณต่างๆ ที่สื่อสารกัน ได้ถูกต้อง นักวิชาการได้อธิบายว่า “ การฟังนั้นต่างจากการได้ยิน ซึ่งเป็นการรับรู้อย่างหนึ่งของร่างกาย โดยอาศัยโสตประสาทเป็นเครื่องรับรู้ แต่การฟังนั้นเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างตั้งใจของระบบประสาท ซึ่งจะต้องประกอบด้วย การได้ยิน การรับรู้หรือสัญชาตญาณ การจำได้ และความเข้าใจ หมายความว่า ในการฟังนั้นต้องมีการรับสารและตีความหมายของสารที่ได้ยินนั้นด้วย การฟังจึงนับว่า เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้ฟังต้องใช้ทักษะ ไหวพริบ และความคิดเป็นสำคัญ ในชีวิตประจำวันคนเรามักใช้การฟังในการสื่อสารบ่อยครั้งมากพอๆกับทักษะในการสื่อสารอย่างอื่น การฟังช่วยให้เรารับรู้สิ่งที่ได้ยินแล้ว สามารถตีความและจับใจความสิ่งที่รับรู้นั้น สามารถเข้าใจและจดจำไว้ได้ ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญาที่ต้องอาศัยการฝึกฝนบ่อยๆ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าต้องฝึกตลอดชีวิต เพื่อเพิ่มทักษะการฟังนี้ให้สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการฝึก ผู้รับใช้ต้องฝึกฝนที่จะฟัง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าอาจจะตรัสกับผู้รับใช้ ทางเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน อาจจะได้ยินพระองค์ตรัสจาก “การสังเกตธรรมชาติและการดำเนินชีวิตของมนุษย์” จาก “การเรียนรู้พระคัมภีร์”จาก “วิกฤตส่วนตัวและวิกฤตของบ้านเมือง” ในความฝัน ในนิมิต ในถ้อยคำของพี่น้อง หรือในความคิดของตนเอง สาวกในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่กำลังเรียนรู้จากพระองค์ เรียนรู้ที่จะฟังพระสุรเสียงของพระองค์อย่างไรจึงจะเข้าใจสิ่งที่ได้ยิน และปฏิบัติตามได้อย่างไร เพื่อรับพระบัญชาอย่างชัดเจน ทุกๆเช้าพระเจ้าทรงปลุกหูพวกเราในการภาวนา อธิษฐาน หรือในการสำรวมใจเฝ้าเดี่ยว
          พระสุรเสียงของพระเจ้า...“ ข้าแต่เทวชีพทั้งหลาย จงถวายแด่พระเยโฮวาห์เถิดจงถวาวพระสิริ และพระกำลังแด่พระเจ้า 2จงถวายพระสิริ ซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์แด่พระเจ้าจงประดับกายด้วยเครื่องบริสุทธิ์ นมัสการพระเจ้า 3  พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่เหนือน้ำ พระเจ้าแห่งพระสิริทรงคะนองเสียง คือ พระเจ้าเหนือน้ำทั้งหลาย 4พระสุรเสียงของพระเจ้า ทรงฤทธานุภาพ พระสุรเสียงของพระเจ้า เต็มด้วยความสูงส่ง 5พระสุรเสียงของพระเจ้า หักต้นสนสีดาร์พระเจ้าทรงฟาดต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน 6พระองค์ทรงกระทำให้เลบานอนกระโดดเหมือนลูกวัว และสีรีออนเหมือนวัวกระทิงหนุ่ม 7พระสุรเสียงของพระเจ้า แวบออกมาเป็นเปลวเพลิง8พระสุรเสียงของพระเจ้า สั่นถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงสั่นป่าดงแห่งเมืองขาเดช 9พระสุรเสียงของพระเจ้า กระทำให้กวางตัวเมียตกลูก และทำให้ป่าดงโหรงเหรง และในพระวิหารของพระองค์ทุกคนร้องว่า "พระสิริ" 10พระเจ้าประทับเหนือน้ำท่วม พระเจ้าประทับเป็นพระราชาเป็นนิตย์11ขอพระเจ้าประทานพระกำลังแก่ประชากรของพระองค์ ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ประชากรของพระองค์ให้มีสันติภาพ (สดด.29:1-11) กษัตริย์ดาวิดดำรงชีพเป็น นักรบแบบกองโจร เป็นพวกอยู่นอกกฎหมาย  ต้องอดทน  ไม่ได้รับการยอมรับ พระองค์ใช้วิธีการเอาตัวรอดในช่วงที่ซาอูลไล่ล่าพระองค์  กษัตริย์ดาวิดต้องไปพึ่งพาชาวฟิลิตเตีย ไปอาศัยชั่วคราว หลังจากซาอูลเสียชีวิต พระองค์ก็ได้ เป็นกษัตริย์ การครองอาณาจักรของพระองค์มาจากลักษณะที่แตกต่างจาก อาณาจักรของซาอูล ซาอูลมาจากผู้นำที่เป็นแบบบารมีอำนาจ ไม่มีฐานการสนับสนุนอย่างมั่นคงจากเผ่าต่างๆ ซาอูลไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแท้จริงและไม่มีการบริหารที่ได้ผล ตรงกันข้ามกับกษัตริย์เดวิด ที่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และการบริหารที่ได้ผล  แต่พระองค์ก็ ไม่ได้เป็นกษัตริย์ที่มีบารมีอำนาจ  แต่รูปแบบการปกครองของพระองค์ “มาจากพระเจ้า โดยพระเจ้า และของพระเจ้า” พระองค์เป็นนักรบได้รับการสนับสนุนจากทหารในเผ่า และพี่น้องเผ่าอื่นๆ ด้วยกษัตริย์ดาวิด เป็นผู้รับใช้ที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า พระองค์ไม่ทำให้พระเจ้าผิดหวัง พระองค์เชื่อฟัง รับใช้พระเจ้า แม้ว่าพระองค์จะหลงผิดไปบ้างแต่ก็ถ่อมใจสารภาพต่อพระเจ้า ในพระธรรมสดุดีบทที่ 29 กษัตริย์ดาวิดบรรยายภาพการตรัสของพระเจ้าให้เราเห็นได้อย่างชัดเจน พระองค์ต้องการดึงความสนใจของเราไปที่ความยิ่งใหญ่ พระเกียรติสิริ และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระคุณ และการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง สมควรจะได้รับการนมัสการอย่างเต็มศักดิ์ศรีแต่องค์เดียว พระองค์ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ และพระองค์ประสงค์ที่จะตรัสกับเราเป็นการส่วนตัว “ ขอให้ข้าพระองค์ได้ฟังความที่พระเจ้าจะตรัส เพราะพระองค์จะตรัสความสันติแก่ประชากรของพระองค์ แก่ธรรมิกชนของพระองค์ แต่อย่าให้เขาทั้งหลายหันกลับ ไปสู่ความโง่อีก 9แน่ทีเดียวที่ความรอดของพระองค์ อยู่ใกล้คนที่เกรงกลัวพระองค์ เพื่อพระสิริจะอยู่ในแผ่นดินของข้าพระองค์ทั้งหลาย 10ความรักมั่นคง และความสัตย์สุจริตจะพบกัน ความชอบธรรม และสันติภาพจะจุบกันและกัน 11ความสัตย์สุจริตจะงอกขึ้นมาจากแผ่นดิน และความชอบธรรมจะมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ 12เออ พระเจ้าจะประทานสิ่งที่ดีๆ และแผ่นดินของข้าพระองค์ทั้งหลายจะเกิดผล 13ความชอบธรรมจะนำหน้าพระองค์ และกระทำให้รอยพระบาทของพระองค์เป็นทางเดิน ” (สดด.85:8-13)     “...ข้าพระองค์ได้ฟังความที่พระเจ้าจะตรัส...”
การเอาใจใส่ในการฟังพระเจ้าด้วยท่าทีนี้จะไม่ไร้ผล หากมนุษย์ฟัง พระเจ้าจะทรงตรัส หากมนุษย์เชื่อฟัง พระเจ้าจะทรงลงมือจัดการ ไม่ใช่เราเสนอความคิดต่อพระเจ้า แต่พระองค์จะชี้แนะเรา สิ่งที่เราต้องการเหนือสิ่งอื่นใดคือ เรียนรู้ที่จะฟังพระเจ้า ไม่ว่าชีวิตเราจะอยู่ในสภาพการณ์เช่นใด และเรารู้สึกอย่างไร สิ่งเดียวที่สาคัญ คือการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และยอมรับพระคำของพระองค์
          พระเจ้าตรัสกับกับเราทางพระคำ (2 ทิโมธี 3:16-17) พระเจ้าตรัสผ่านอิสยาห์ว่า คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเราจะไม่กลับมาสู่เราเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น (อสย.55:11)  พระคัมภีร์บันทึกพระคำของพระเจ้าที่มีมาถึงเรา เกี่ยวกับทุกอย่างที่เราอยากรู้เพื่อที่เราจะได้รับความรอดและใช้ชีวิตแบบคริสเตียนได้ ดังนั้น ด้วยเห็นแล้วว่าฤทธิ์เดชของพระองค์ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เรา ที่จะให้มีชีวิตและมีธรรมโดยรู้จักพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความล้ำเลิศของพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงประทานพระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่งแก่เรา เพื่อว่าด้วยเหตุเหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรม ที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์ (2ปต.1:3-4) นอกจากนั้น พระเจ้าตรัสกับเราทางความรู้สึกที่ฝังอยู่ในความทรงจำ, ทางเหตุการณ์ต่างๆ และทางความคิด พระเจ้าทรงช่วยให้เรารู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก โดยทางความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจของเรา (1ทธ.1:5; 1ปต.3:16) พระเจ้าทรงอนุญาตให้เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเราเพื่อที่จะได้ทรงนำเรา เปลี่ยนแปลงเรา และช่วยให้เราโตขึ้นฝ่ายวิญญาณ (ยก.1:2-5; ฮบ.12:5-11) ใน 1 เปโตร 1:6-7 เตือนเราว่า ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ เกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ 


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/