ทอแสงมาที่ผู้รับใช้ของพระองค์
และขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์
แก่ข้าพระองค์(สดด.119:135)
“พระวจนะ” ของพระเจ้าเป็นของขวัญล้ำค่าต่อพวกเรา
เป็นคู่มือชีวิตให้เราดำเนินชีวิต และปฏิบัติตาม เพื่อเกิดความสุขความเจริญทั้งด้าน
กาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
เป็นสื่อจากเบื้องบนให้เราได้รู้จักกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และรับความรอดจากพระองค์ผ่านข่าวประเสริฐในพระวจนะของพระองค์(พระคัมภีร์)
และเป็นสารจากสวรรค์ รากฐานความเชื่อของพวกเราก็คือการทรงสำแดงของพระเจ้า
พระองค์ทรงสำแดงผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้ง 66 เล่ม 39
เล่มเขียนขึ้นก่อนที่พระคริสต์เสด็จมายังโลก อีก 27 เล่มเขียนขึ้นหลังจากนั้น ทั้งหมดนั้นคือ บันทึก การตีความ การแสดงให้เห็น
และเป็นรูปแบบแห่งการเปิดเผยพระองค์เอง “พระเจ้าและความชอบธรรมแบบพระองค์”
คือ แก่นเรื่องที่สอดสานเป็นเอกภาพของพระคัมภีร์ตลอดทั้ง 66 เล่ม
ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้า(พระคัมภีร์)
จึงมีฤทธิ์เดช และสำคัญยิ่งต่อชีวิตของพวกเรา พระวจนะของพระเจ้ามีฤทธิ์เดช “เพราะว่า
พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตาย และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ
แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูก และไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิด
และความมุ่งหมายในใจด้วย 13ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์
แต่ตรงข้ามทุกสิ่งปรากฎแจ้งต่อพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องสัมพันธ์ด้วย ”(ฮบ. 4:12-13) พระวจนะของพระเจ้าไม่เพียงแต่เป็นคำตรัสจากพระเจ้า
เป็นเครื่องมือในการสื่อสารความคิดเท่านั้น แต่พระวจนะนั้นมีชีวิต
สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต มีพลังขับเคลื่อนขณะเมื่อพระคำนั้นทำงานภายในเรา
เปรียบเหมือนมีดในมือศัลยแพทย์ พระวจนะเปิดเผยให้เห็นว่าเราเป็นใคร
และเราไม่ใช่ใคร วินิจฉัยสิ่งที่อยู่ในเราทั้งดีและร้าย เราไม่เพียงต้องฟังพระวจนะ
แต่ต้องยอมให้พระวจนะขัดเกลาชีวิตของเราด้วย
เพราะไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้นจากพระเจ้าได้
พระองค์ทรงเห็นทุกอย่างที่เรากระทำและรู้ทุกอย่างที่เราคิด
แม้เมื่อเราไม่รู้ตัวว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วย หรือแม้เมื่อเราพยายามซ่อนจากพระองค์
พระองค์ทรงทราบเราไม่สามารถมีความลับกับพระองค์ได้
สดุดี หนึ่งร้อยสิบเก้า ข้อ หกสิบห้าถึงแปดสิบ ให้ข้อหนุนใจมากมายแก่พวกเราโดยเฉพาะ
ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันนั้นยากที่จะไม่เกลือกกลั้วกับสิ่งชั่วร้ายสกปรกโสมมถ้าผู้เชื่อจะ
ดำเนินชีวิตให้ดีรอบคอบนั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยพระวจนะชี้ทางที่บริสุทธิ์ให้ บางครั้งเราอาจหลงทางจากลู่ทางของพระเจ้า
พระองค์อาจทรงตีสอนเรา โดย ทำให้ชีวิตต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก
เพื่อนำเรากลับมาสู่ทางอันชอบธรรมของพระองค์อีก
ความทุกข์ยากลำบากในบริบทของพระคำนี้คือ
การถูกติฉินนินทากล่าวซุบซิบเสียดสีของคู่อริ พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จะปั้นแต่งขัดเกลาให้เราได้รูปสวยงามหมดจด
พระองค์จะทรงดัดแปลงอุปนิสัยของเราเรื่อยๆ เพื่อเข้าสู่สภาพสมบูรณ์ดีเลิศ
การตีสอนของพระเจ้าจึงทำให้เราเข้มแข็งกว่าเดิม และรู้จักพระเจ้าได้ดีขึ้นด้วย
ซึ่งเป็นเหตุกระตุ้นให้แก่ผู้อื่นที่กำลังทนทุกข์อยู่ ให้ยืนกรานอดทนต่อสู้ต่อไป
ดังนั้นการสั่งสอนของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ล้ำเลิศ
“บรรดาพระโอวาทของพระองค์ประหลาดนัก
เพราะฉะนั้นจิตใจของข้าพระองค์จึงรักษาไว้ 130การคลี่คลายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง
ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย 131ข้าพระองค์หอบจนอ้าปาก เพราะข้าพระองค์กระหายพระบัญญัติของพระองค์
132ขอทรงหันมาหาข้าพระองค์ และมีพระกรุณาต่อข้าพระองค์
ดังที่พระองค์ทรงเคยกระทำต่อผู้ที่รักพระนามของพระองค์
133ขอทรงให้ย่างเท้าของข้าพระองค์มั่นคงอยู่ในพระดำรัสของพระองค์
ขออย่าทรงให้ความบาปผิดใดๆ มีอำนาจเหนือข้าพระองค์ 134ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นการบีบบังคับของมนุษย์
เพื่อข้าพระองค์จะปฏิบัติตามข้อบังคับของพระองค์
135ขอทรงกระทำให้พระพักตร์ของพระองค์ ทอแสงมาที่ผู้รับใช้ของพระองค์
และขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ 136ข้าพระองค์น้ำตาไหลพรั่งพรู
เพราะคนไม่ปฏิบัติตามพระธรรมของพระองค์” (สดด.119:129-136) ผู้รับใช้ของพระเจ้าย่อมหิวกระหายและแสวงหาเรียนรู้พระคำของพระองค์
เมื่อมุ่งมั่นจะประพฤติตามพระโอวาทอย่างเคร่งครัด
จะต้องมีชัยชนะต่อความบาปอย่างจริงจัง “หันมาหา” ความปารถนาของผู้รับใช้ต่อพระเจ้า ก็เพื่อพระองค์จะทรงหันมาหาและมอบความเมตตาไว้ด้วย
การทรงนำ การไถ่ การอวยพระพร และการสั่งสอน “พระพักตร์ของพระองค์
ทอแสงมาที่ผู้รับใช้” ผู้รับใช้ที่ดำเนินชีวิตเช่นนี้
จึงนำความโปรดปรานของพระเจ้ามาสู่พวกเขา พระองค์จะเงยพระพักตร์ที่สว่างของพระองค์มาเหนือพวกเขา ดังนั้นผู้รับใช้พระเจ้าจะโศกเศร้าเสมอ
เมื่อผู้เชื่อไม่ได้อุทิศชีวิตของตนเองต่อพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริง
“ขอพระพักตร์พระองค์ทอแสงบนผู้รับใช้ของพระองค์
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด
ด้วยความรักมั่นคงของพระองค์” (สดด.31:16)
“...และโดยความสว่างแห่งพระพักตร์พระองค์
เพราะพระองค์ทรงปีติยินดี
ในเขาทั้งหลายเหล่านั้น”
(สดด. 44:3)
“...ขอพระองค์ทรงให้พระพักตร์ฉายสว่างแก่ข้าพระองค์” (สดด.67:1)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น