2. การฝึกหูให้ตื่นในการฟัง “...ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุก ทรงปลุกหูของข้าพเจ้า
เพื่อให้ฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน” (อสย 50:4)
ผู้รับใช้จะต้องเรียนรู้ที่จะให้องค์พระผู้เป็นเจ้าปลุกหู
เพื่อจะได้ยินว่าพระองค์กำลังตรัสกับเขาทางไหนและอย่างไร “การฟัง” เป็นการรับรู้
การเข้าใจจับประเด็น และแปลความหมายจากเสียงที่เป็นคำพูด
สัญญาณต่างๆ ที่สื่อสารกัน ได้ถูกต้อง นักวิชาการได้อธิบายว่า “ การฟังนั้นต่างจากการได้ยิน
ซึ่งเป็นการรับรู้อย่างหนึ่งของร่างกาย โดยอาศัยโสตประสาทเป็นเครื่องรับรู้
แต่การฟังนั้นเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างตั้งใจของระบบประสาท
ซึ่งจะต้องประกอบด้วย การได้ยิน การรับรู้หรือสัญชาตญาณ การจำได้ และความเข้าใจ
หมายความว่า ในการฟังนั้นต้องมีการรับสารและตีความหมายของสารที่ได้ยินนั้นด้วย
การฟังจึงนับว่า เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้ฟังต้องใช้ทักษะ ไหวพริบ และความคิดเป็นสำคัญ ”
ในชีวิตประจำวันคนเรามักใช้การฟังในการสื่อสารบ่อยครั้งมากพอๆกับทักษะในการสื่อสารอย่างอื่น
การฟังช่วยให้เรารับรู้สิ่งที่ได้ยินแล้ว สามารถตีความและจับใจความสิ่งที่รับรู้นั้น สามารถเข้าใจและจดจำไว้ได้
ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญาที่ต้องอาศัยการฝึกฝนบ่อยๆ
ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าต้องฝึกตลอดชีวิต
เพื่อเพิ่มทักษะการฟังนี้ให้สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการฝึก ผู้รับใช้ต้องฝึกฝนที่จะฟัง
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าอาจจะตรัสกับผู้รับใช้ ทางเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน
อาจจะได้ยินพระองค์ตรัสจาก “การสังเกตธรรมชาติและการดำเนินชีวิตของมนุษย์” จาก
“การเรียนรู้พระคัมภีร์”จาก “วิกฤตส่วนตัวและวิกฤตของบ้านเมือง” ในความฝัน
ในนิมิต ในถ้อยคำของพี่น้อง หรือในความคิดของตนเอง สาวกในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่กำลังเรียนรู้จากพระองค์
เรียนรู้ที่จะฟังพระสุรเสียงของพระองค์อย่างไรจึงจะเข้าใจสิ่งที่ได้ยิน
และปฏิบัติตามได้อย่างไร เพื่อรับพระบัญชาอย่างชัดเจน
ทุกๆเช้าพระเจ้าทรงปลุกหูพวกเราในการภาวนา อธิษฐาน หรือในการสำรวมใจเฝ้าเดี่ยว
พระสุรเสียงของพระเจ้า...“ ข้าแต่เทวชีพทั้งหลาย
จงถวายแด่พระเยโฮวาห์เถิดจงถวาวพระสิริ และพระกำลังแด่พระเจ้า 2จงถวายพระสิริ
ซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์แด่พระเจ้าจงประดับกายด้วยเครื่องบริสุทธิ์
นมัสการพระเจ้า 3 พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่เหนือน้ำ
พระเจ้าแห่งพระสิริทรงคะนองเสียง คือ พระเจ้าเหนือน้ำทั้งหลาย 4พระสุรเสียงของพระเจ้า
ทรงฤทธานุภาพ พระสุรเสียงของพระเจ้า เต็มด้วยความสูงส่ง 5พระสุรเสียงของพระเจ้า
หักต้นสนสีดาร์พระเจ้าทรงฟาดต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน 6พระองค์ทรงกระทำให้เลบานอนกระโดดเหมือนลูกวัว
และสีรีออนเหมือนวัวกระทิงหนุ่ม 7พระสุรเสียงของพระเจ้า แวบออกมาเป็นเปลวเพลิง8พระสุรเสียงของพระเจ้า
สั่นถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงสั่นป่าดงแห่งเมืองขาเดช 9พระสุรเสียงของพระเจ้า
กระทำให้กวางตัวเมียตกลูก และทำให้ป่าดงโหรงเหรง และในพระวิหารของพระองค์ทุกคนร้องว่า
"พระสิริ" 10พระเจ้าประทับเหนือน้ำท่วม
พระเจ้าประทับเป็นพระราชาเป็นนิตย์11ขอพระเจ้าประทานพระกำลังแก่ประชากรของพระองค์
ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ประชากรของพระองค์ให้มีสันติภาพ (สดด.29:1-11) กษัตริย์ดาวิดดำรงชีพเป็น นักรบแบบกองโจร
เป็นพวกอยู่นอกกฎหมาย ต้องอดทน ไม่ได้รับการยอมรับ พระองค์ใช้วิธีการเอาตัวรอดในช่วงที่ซาอูลไล่ล่าพระองค์ กษัตริย์ดาวิดต้องไปพึ่งพาชาวฟิลิตเตีย ไปอาศัยชั่วคราว
หลังจากซาอูลเสียชีวิต พระองค์ก็ได้ เป็นกษัตริย์ การครองอาณาจักรของพระองค์มาจากลักษณะที่แตกต่างจาก
อาณาจักรของซาอูล ซาอูลมาจากผู้นำที่เป็นแบบบารมีอำนาจ
ไม่มีฐานการสนับสนุนอย่างมั่นคงจากเผ่าต่างๆ ซาอูลไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแท้จริงและไม่มีการบริหารที่ได้ผล
ตรงกันข้ามกับกษัตริย์เดวิด ที่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และการบริหารที่ได้ผล แต่พระองค์ก็ ไม่ได้เป็นกษัตริย์ที่มีบารมีอำนาจ แต่รูปแบบการปกครองของพระองค์ “มาจากพระเจ้า
โดยพระเจ้า และของพระเจ้า” พระองค์เป็นนักรบได้รับการสนับสนุนจากทหารในเผ่า
และพี่น้องเผ่าอื่นๆ ด้วยกษัตริย์ดาวิด
เป็นผู้รับใช้ที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า พระองค์ไม่ทำให้พระเจ้าผิดหวัง พระองค์เชื่อฟัง
รับใช้พระเจ้า แม้ว่าพระองค์จะหลงผิดไปบ้างแต่ก็ถ่อมใจสารภาพต่อพระเจ้า ในพระธรรมสดุดีบทที่
29 กษัตริย์ดาวิดบรรยายภาพการตรัสของพระเจ้าให้เราเห็นได้อย่างชัดเจน
พระองค์ต้องการดึงความสนใจของเราไปที่ความยิ่งใหญ่ พระเกียรติสิริ และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
พระคุณ และการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง
สมควรจะได้รับการนมัสการอย่างเต็มศักดิ์ศรีแต่องค์เดียว พระองค์ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ
และพระองค์ประสงค์ที่จะตรัสกับเราเป็นการส่วนตัว “ ขอให้ข้าพระองค์ได้ฟังความที่พระเจ้าจะตรัส
เพราะพระองค์จะตรัสความสันติแก่ประชากรของพระองค์ แก่ธรรมิกชนของพระองค์
แต่อย่าให้เขาทั้งหลายหันกลับ ไปสู่ความโง่อีก 9แน่ทีเดียวที่ความรอดของพระองค์ อยู่ใกล้คนที่เกรงกลัวพระองค์ เพื่อพระสิริจะอยู่ในแผ่นดินของข้าพระองค์ทั้งหลาย
10ความรักมั่นคง และความสัตย์สุจริตจะพบกัน ความชอบธรรม
และสันติภาพจะจุบกันและกัน 11ความสัตย์สุจริตจะงอกขึ้นมาจากแผ่นดิน
และความชอบธรรมจะมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ 12เออ
พระเจ้าจะประทานสิ่งที่ดีๆ และแผ่นดินของข้าพระองค์ทั้งหลายจะเกิดผล 13ความชอบธรรมจะนำหน้าพระองค์ และกระทำให้รอยพระบาทของพระองค์เป็นทางเดิน ” (สดด.85:8-13)
“...ข้าพระองค์ได้ฟังความที่พระเจ้าจะตรัส...”
การเอาใจใส่ในการฟังพระเจ้าด้วยท่าทีนี้จะไม่ไร้ผล
“หากมนุษย์ฟัง พระเจ้าจะทรงตรัส หากมนุษย์เชื่อฟัง พระเจ้าจะทรงลงมือจัดการ
ไม่ใช่เราเสนอความคิดต่อพระเจ้า แต่พระองค์จะชี้แนะเรา
สิ่งที่เราต้องการเหนือสิ่งอื่นใดคือ เรียนรู้ที่จะฟังพระเจ้า” ไม่ว่าชีวิตเราจะอยู่ในสภาพการณ์เช่นใด และเรารู้สึกอย่างไร
สิ่งเดียวที่สาคัญ คือการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และยอมรับพระคำของพระองค์
พระเจ้าตรัสกับกับเราทางพระคำ
(2 ทิโมธี 3:16-17) พระเจ้าตรัสผ่านอิสยาห์ว่า
“คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเราจะไม่กลับมาสู่เราเปล่า
แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น”
(อสย.55:11) พระคัมภีร์บันทึกพระคำของพระเจ้าที่มีมาถึงเรา
เกี่ยวกับทุกอย่างที่เราอยากรู้เพื่อที่เราจะได้รับความรอดและใช้ชีวิตแบบคริสเตียนได้
ดังนั้น “ด้วยเห็นแล้วว่าฤทธิ์เดชของพระองค์ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เรา
ที่จะให้มีชีวิตและมีธรรมโดยรู้จักพระองค์
ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความล้ำเลิศของพระองค์
พระองค์จึงได้ทรงประทานพระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่งแก่เรา
เพื่อว่าด้วยเหตุเหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรม
ที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์”
(2ปต.1:3-4) นอกจากนั้น
พระเจ้าตรัสกับเราทางความรู้สึกที่ฝังอยู่ในความทรงจำ, ทางเหตุการณ์ต่างๆ
และทางความคิด พระเจ้าทรงช่วยให้เรารู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก
โดยทางความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจของเรา (1ทธ.1:5; 1ปต.3:16) พระเจ้าทรงอนุญาตให้เหตุการณ์ต่างๆ
เกิดขึ้นในชีวิตของเราเพื่อที่จะได้ทรงนำเรา เปลี่ยนแปลงเรา และช่วยให้เราโตขึ้นฝ่ายวิญญาณ
(ยก.1:2-5; ฮบ.12:5-11) ใน 1 เปโตร 1:6-7 เตือนเราว่า “ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้
จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ
เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ
จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ เกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ
ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น