วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ปรับตัว...ปรับใจ(ตอนสี่)

          3. การฝึกหลังให้ยอมถูกโบยตี(ยอมรับความทุกข์ยากลำบาก) “พระเจ้าได้ทรงเบิกหูข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ดื้อดัน ข้าพเจ้าไม่หันกลับ 6 ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่คนที่ดึงเคราข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่หนีหน้า จากความอายแก่การถ่มน้ำลายรด” (อสย.50:5-6) กระบวนการอบรมสั่งสอนซึ่งเริ่มด้วย การฝึกพูด ไปสู่ การฝึกฟัง และไปสู่ การฝึกทนทุกข์(อดทน) บททดสอบขั้นสุดท้ายของการเป็นผู้รับใช้คือ “การยอมทนต่อความทุกข์ลำบาก” คริสเตียนในยุคแรกๆ มักจะถูกนำขึ้นสู้คดีในศาล และถูกตัดสินลงโทษด้วยการถูกโบยตี เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสอนผู้รับใช้ว่า การเรียนรู้ที่จะยอมรับการโบยตีด้วยความยินดีนั้น ถือว่าเป็นการรับใช้พระเจ้า “...และเมื่อได้ให้โบยตีพระเยซูแล้ว ก็มอบให้เขาเอาไปตรึงไว้ที่กางเขน” (มก.15:15) องค์พระเยซูคริสต์ก็ถูกกระทำเช่นนี้เหมือนกัน และในกาลต่อมาเปาโลซึ่งเป็นอัครสาวกก็ถูกทำร้ายเช่นกัน “พวกยูเดียเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้งๆ ละสามสิบเก้าที 25 เขาตีข้าพเจ้าด้วยตะบองสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง” (2คร.11:24-25)ผู้รับใช้ปัจจุบันอาจต้องเรียนรู้ที่จะยินยอมถูกทรมานร่างกาย หรือยอมรับความยากลำบากต่างๆ เพื่อเห็นแก่คนอื่น และด้วยความเชื่อฟังพระเจ้า อาจจะไม่ใช่ความทุกข์จากร่างกายอย่างเดียว แต่อาจจะรับทุกข์ทางใจด้วย นั้นคือได้รับการดูถูกเหยียดหยาม หรือทำให้เสียเกียรติ ชื่อเสียง และสุขภาพจิต ผู้รับใช้สมควรต้องเรียนรู้ที่จะอดทนต่อเหตุการณ์เหล่านี้ เพราะนั้นเป็นการเชื่อฟังพระเจ้า ในบทที่สองของพระธรรมสองทิโมธีนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สอนผ่านการหนุนใจของเปาโลที่มีต่อทิโมธีโดยกำชับให้ทนทุกข์เพื่อข่าวประเสริฐ “จงทนการยากลำบากด้วยกัน กับทหารที่ดีของพระเยซูคริสต์ 4 ไม่มีทหารคนใดที่เข้าประจำการแล้ว จะยุ่งอยู่กับงานฝ่ายพลเรือน ด้วยว่าเขามุ่งที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ” (2ทธ.2:3-4) เปาโลเปรียบผู้รับใช้เป็นทหารเพื่อเน้นว่า ผู้รับใช้ต้องเป็นคนที่อุทิศตัว ยอมทนทุกข์ และมีใจแน่วแน่ในการทำหน้าที่   ทหารยามรบย่อมถือว่าความยากลำบาก การเสี่ยงภัย และการทนทุกข์เป็นของธรรมดาที่ต้องพบ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทหาร   ฉันใดฉันนั้น คริสเตียนก็ไม่ควรหวังว่าจะมีชีวิตที่สบาย ถ้าเขาจริงจังกับข่าวประเสริฐ เขาก็ต้องเผชิญการต่อต้านและดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ทหารต้องไม่ไปพัวพันกับงานฝ่ายพลเรือน คือไม่พัวพันกับสิ่งใดที่อาจขัดขวางมิให้เขาต่อสู้เพื่อพระคริสต์อย่างเต็มที่   ประเด็นนี้อาจเป็นคำแนะนำที่เจาะจงสำหรับผู้รับใช้เต็มเวลาไม่ควรต้องแบกภาระการเลี้ยงชีพโดยทำงาน ฝ่ายโลกเพื่อเขาจะได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดทำหน้าที่และจดจ่อศึกษาพระวจนะโดยไม่วอกแวก นอกจากนั้นการทนทุกข์ก็เป็นเงื่อนไขของพระพร “ จงระลึกถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงสืบเชื้อสายจากดาวิด ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น 9 และเพราะเหตุข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงทนทุกข์ ถูกล่ามโซ่ตั้งผู้ร้าย แต่พระวจนะของพระเจ้านั้น ไม่มีผู้ใดเอาโซ่ล่ามไว้ได้ 10 เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงยอมทนทุกอย่าง เพราะเห็นแก่ผู้ที่ทรงเลือกไว้นั้น เพื่อเขาจะได้รับความรอด ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ พร้อมทั้งศักดิ์ศรีนิรันดร์ 11 ข้อนี้เป็นความจริง คือ ถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ 12 ถ้าเรามีความอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ ถ้าเราไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทรงยอมรับเราเช่นเดียวกัน 13 ถ้าเราไม่มีความสัตย์จริง พระองค์ก็ยังทรงไว้ซึ่งความสัตย์จริง เพราะพระองค์จะไม่ทรงเป็นพระองค์เองไม่ได้ ” (2ทธ.8-13) ในพระคำนี้เปาโลยกประสบการณ์จริง 3 ประการมาชี้ให้เห็นว่า ไม่มีสิ่งสูงค่าใดที่ได้มาโดยง่ายดังนี้  
          ประการแรกคือ ประสบการณ์ของพระคริสต์   การที่พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตายบ่งว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนการที่ทรงสืบเชื้อสายจากดาวิดบ่งว่าพระองค์เป็นมนุษย์และเป็นพระมหากษัตริย์   ประสบการณ์การสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ของพระคริสต์ชี้ให้เห็นว่า ความตายเป็นประตูสู่ชีวิตและการทนทุกข์เป็นหนทางสู่สง่าราศี ประการที่สอง ประสบการณ์ของเปาโล   เปาโลประกาศข่าวประเสริฐเพื่อให้คนที่พระเจ้าทรงเลือกได้รับความรอด   ประสบการณ์ของเปาโลแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครประกาศข่าวประเสริฐได้โดยไม่ต้องทนทุกข์ และประการสุดท้าย ประสบการณ์ของคริสเตียนทุกคน   เราจะได้ชีวิตร่วมกับพระคริสต์ในสวรรค์ก็ต่อเมื่อเรามีส่วนร่วมกับความตายของพระองค์ในโลกนี้ และเราจะได้ครอบครองกับพระคริสต์ในวันหน้าก็ต่อเมื่อเรามีส่วนร่วมทนทุกข์กับพระองค์ในวันนี้ ดังนั้นบางครั้งชีวิตเราอาจจะไม่สะดวกสบาย และไม่น่าจะสัญญากับคนอื่นๆ ว่าชีวิตเขาจะไร้ปัญหาเมื่อติดตามรับใช้องค์พระเยซูคริสต์ เราสามารถอุทิศชีวิตของเราไห้กับพระองค์ได้ โดยเริ่มต้นที่จะปรับตัวปรับใจฝึกพูด ฝึกฟัง และฝึกอดทน ใช้ชีวิตทุกวันเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ ใช้ชีวิตที่ให้สมกับโลหิตที่พระองค์ทรงหลั่งเพื่อเรา ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ให้กับทุกคนได้รับรู้ สมกับที่กล่าวว่า “ ...เป็นผู้อุทิศชีวิตของตน เพื่อพระนามแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ” (กจ.15:26)

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น