วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนสี่)

        หากเราใคร่ครวญความทุกข์ความเจ็บปวดที่เกิดกับโยบนั้น จริงๆแล้วไม่ได้เกิดเพราะโยบ ทำบาปจนพระเจ้าต้องพิพากษาลงโทษ แต่เกิดเพราะพระเจ้าทรงมั่นใจอย่างยิ่งในความสัตย์ซื่อของโยบ ชีวิตเราเองก็อาจจะถูกทดสอบเช่นนี้ได้เหมือนกัน อย่าประเมินตัวเองสูงเกินไป เราเองอาจกลายเป็นคนที่อ่อนแอได้เมื่อต้องทนทุกข์และเจ็บปวด เราต้องยึดความเชื่อไว้ให้มั่นแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือ  “จงอย่าดูถูกตนเอง” เราเคยดูถูกตนเอง หรือเกลียดตนเองบ้างไหม? ในเวลาที่เราท้อแท้  เกิดความเครียด อึดอัด หรือไม่สมหวังอะไรบางอย่างในชีวิต มนุษย์เรามักจะลงท้ายด้วยการดุด่าตนเอง ว่าตนเอง ว่าเราไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ทำไมชีวิตมันบัดซบเช่นนี้  เรามันไม่น่าเกิดมาเลย... การกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ทำให้เรามีสภาพการที่แย่ลงกว่าเดิม  เพราะเป็นช่วงที่เราไม่ได้รักตนเอง ลงโทษตนเอง และดูถูกตนเอง ความสำเร็จต่างๆ ก็จะห่างไกลออกไปทุกที ทุกที  เมื่อเราคิดในแง่ลบกับตนเอง จะขาดซึ่งสติยั้งคิดในการพิจารณาบ่อเกิดของปัญหา มันยิ่งทำให้ปัญหาเลวร้ายลง เมื่อปัญหาชีวิตเดิมไม่ได้แก้ไข  เมื่อมีปัญหาใหม่เข้ามาทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ท้อแท้เสียก่อนแล้ว ทำให้ปัญหาเดิมไม่ได้แก้ไข ปัญหาใหม่ก็เตรียมก่อตัว ปัญหายิ่งพอกพูนจนยากที่จะแก้ไข อันเป็นการสร้างปมด้อยให้ตนเองไปโดยปริยาย
 
           การดูถูกตนเอง กล่าวโทษตนเอง ดุด่าตนเอง เมื่อทำบ่อยครั้งเข้า จะทำให้ร่างกายและจิตของเราบันทึกความล้มเหลว ความท้อแท้ของเราไว้ จิตและสมองของเราไม่ได้แยกแยะว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่กับตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านบวก หรือด้านลบ จิตกับสมองของเราจะสนับสนุนความคิดนั้นให้เกิดเป็นความจริง ยิ่งเราคิดดูถูก กล่าวโทษตนเองซ้ำๆ ซ้ำๆ จะยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เราขาดความมั่นใจ เมื่อจะทำอะไรใหม่ๆ ก็จะท้อแท้ไปเสียก่อนแล้วทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย  ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำ ณ ตอนนี้ก็คือ “เลิกดูถูกตนเอง ….. จงคิดว่าเรานั่นแหละเจ๋ง และแน่จริง”
            จงคิดว่าเรานั่นแหละเก่งที่สุด  ใครก็ตามที่ว่าเรา บั่นทอนกำลังใจเรา ให้เราคิดว่าเราเก่งที่สุด เจ๋งที่สุด ดีที่สุด อย่างไปใส่ใจต่อปัญหา และคำนินทาของคนอื่น เรานั่นแหละคือของจริง “เพราะพระคริสต์ปลอมและผู้เผยพระวจนะเท็จจะปรากฏขึ้นและแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เพื่อลวงแม้กระทั่งผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้ถ้าเป็นไปได้”(มธ.24:24) แม้ว่าการหลอกลวงในยุคสุดท้ายจะยิ่งใหญ่จนคนที่ได้รับเลือกจะถูกหลอกลวง ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงปกป้องเรา พระเจ้าจะทรงทำลายมารซาตานและทุกคนที่ปฏิบัติตามพวกมันทั้งสิ้น (วว.19-20) เราได้บังเกิดใหม่อีกครั้งในฐานะเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ต่อพระพักตร์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงประทับอยู่ภายในตัวเรา และเราอยู่ภายใต้การปกป้องนั้นอยู่ “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!” (2คร.5:17)  และ “ ...ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตายสถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจะประทานชีวิตแก่กายซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้นโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ผู้สถิตในท่าน” (รม.8:11)  
          เราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าใครก็ตามจะมาทำเวทมนต์คาถาชั่วร้ายใส่เรา ผู้ทำพิธีไสยศาสตร์ มนต์คาถา พ่อมดหมอผี และคำสาปแช่งไม่มีอำนาจเหนือเราเพราะพวกมันมาจากซาตาน ลูกที่รัก ท่านมาจากพระเจ้าและได้ชนะคนพวกนั้น เพราะพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นซึ่งอยู่ในโลก (1ยน.4:4) พระเจ้าได้ทรงชัยชนะมันแล้ว และเราได้รับอิสระที่จะนมัสการพระเจ้าโดยไม่ต้องกลัว (ยน.8:36) เราจะกลัวใครเล่า?ในเมื่อ “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นความสว่างและความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องเกรงกลัวผู้ใด? องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นที่กำบังแข็งแกร่งสำหรับชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องหวาดกลัวผู้ใด? (สดด.27:1)


อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนสาม)

กลับมาที่เรื่องของ “โยบ”
          1ต่อมาโยบเอ่ยปากสาปแช่งวันที่เขาเกิดมา 2 เขากล่าวว่า 3หากเป็นไปได้ ขอให้วันที่ข้าเกิดมาและคืนที่พวกเขาพูดกันว่าเด็กชายคนหนึ่งเกิดมาแล้ว!พินาศเถิด 4 ขอให้วันนั้นกลับกลายเป็นความมืด ขอพระเจ้าเบื้องบนอย่าใส่พระทัยกับวันนั้น อย่าให้มีแสงใดๆ ส่องในวันนั้น 5 ขอให้ความมืดและเงาดำ[ครอบคลุมมันไว้ ขอให้เมฆปกคลุมเหนือมัน ขอให้ความมืดบดบังแสงสว่างของวันนั้น
6 ขอให้ความมืดกลืนค่ำคืนที่ข้าได้เกิดมานั้น ขอให้ลบวันนั้นออกจากปฏิทิน  อย่านับมันเข้ากับวันหรือเดือนใดๆ อีกเลย 7 ขอให้คืนนั้นเป็นหมัน อย่าให้ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดี 8 ขอให้ผู้มีอาคมสาปแช่งวันทั้งหลาย ผู้พร้อมจะปลุกเรียกเลวีอาธาน ขึ้นมาสาปแช่งวันนั้น 9 ขอให้ดาวรุ่งในเช้านั้นอับแสงไป ขอให้ความหวังที่จะได้เห็นแสงสว่างนั้นสูญเปล่า และไม่มีวันได้เห็นแสงอรุณ 10 จงสาปแช่งวันนั้น เพราะมันไม่ยอมปิดครรภ์มารดาของข้า ปล่อยให้ข้าเกิดมารู้เห็นความทุกข์นี้ (โยบ 3:1-10) องค์พระเยซูคริสต์ทรงร้องทูลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?” (มธ.27:46) นี่เป็นคำตรัสที่พระองค์ทูลถามพระบิดา ความรู้สึกแบบนี้น่าจะตรงกับความรู้สึกของโยบ ซึ่งเขาต้องสูญเสียคนในครอบครัวไป อับอาย เจ็บปวด และเกิดความปวดร้าวในใจมากที่สุด ดูๆแล้วเหมือนกับว่าพระเจ้าละทิ้งเขาไปแล้ว โยบไม่ได้แช่ด่าพระเจ้าแต่เขาก็แช่งด่าวันที่เขาเกิด เขาคิดว่าไม่เกิดมาเลยก็ยังดีกว่าเกิดมาแล้วถูกพระเจ้าทอดทิ้ง เขากำลังดิ้นรนต่อสู้ทั้งอารมณ์ ร่างกาย และจิตวิญญาณ คำพูดของเขาบอกความรู้สึกต่อพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมา เขาเริ่มต้นด้วยการแช่งสาปวันที่เขาเกิด และการมีชีวิตอยู่อย่างน่าเศร้า “เลวีอาธาน” ซึ่งเป็นสัตว์ร้ายในทะเล ตามความในพระคัมภีร์ (สดด.74:13-14; โยบ 41; และอสย. 27:1) จอมปีศาจแห่งริษยาตกเป็นตำแหน่งของงูยักษ์เลวีอาธาน มันถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ ว่าเป็นสัตว์ทะเลขนาดยักษ์มีหลายหัว มีฟันแหลมคมเหมือนจระเข้ มีดวงตาดั่งขนตาของตะวัน (หมายถึงมันโผล่ตาขึ้นมาเหนือน้ำเหมือนที่จระเข้ทำเวลาจะล่าเหยื่อ ตามันจะโผล่พ้นน้ำมาเล็กน้อย เหมือนพระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาในตอนเช้า) บางครั้งมันก็ถูกกล่าวว่าเป็นพลังแห่งความสับสนวุ่นวายเมื่อครั้งสร้างโลก ในปฐมกาลกล่าวว่า "ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินแผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น" ผืนน้ำนั่นแหละครับคือความสับสนวุ่นวาย และก็คือเลวีอาธาน คำว่า "เลวีอาธาน" นั้นยังหมายถึงสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ หรือสัตว์ขนาดใหญ่ใดๆ ก็ได้ โยบต้องการให้ผู้มีอาคมเรียกสัตว์ร้ายเช่นนี้มากลืนกินวันที่เขาเกิดเสีย แต่ถ้าสังเกตให้ดีในถ้อยคำนั้น โยบไม่ได้แช่งด่าพระเจ้าเลย การร้องทูลของเขาแสดงถึงความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง โดยไม่ได้ตำหนิองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย     
          บางครั้ง เรารู้สึกหดหู่เมื่อเห็นคนที่รักประสบปัญหาในชีวิต คนเหล่านี้มักจะเป็นคนดี เราไม่เข้าใจ เราเกิดความสงสัยว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ยิ่งเข้าใจยากถ้ามันเกิด กับตัวเราเอง ทำไมต้องเกิดขึ้นกับเราด้วยเราไม่ได้ทำอะไรผิดบาป ทำไมเราต้องป่วย ทำไมครอบครัวเราต้องแตกแยก ทำไม     เราต้องตกงาน เราพยายามไขว่คว้าหาเหตุผล พยายามถามคนรอบข้างหาคำตอบ แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่มีคำตอบใด ที่สามารถสลายความเจ็บปวดขมขื่นที่เกิดจากสิ่งที่เรากำลังประสบอยู่ การอธิษฐานของเราจะดำเนินไปด้วยใจที่ปวดร้าวและเป็นทุกข์ นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้เชื่ออย่างเรา ที่จะแสดงความรู้สึกสงสัย และความรู้สึกอย่างจริงใจของเราต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า มีการอธิษฐานวิงวอนแบบนี้ในพระคัมภีร์
                   14 ขอแช่งวันที่ข้าพเจ้าถือกำเนิดมา! ขออย่าให้วันที่แม่คลอดข้าพเจ้าออกมานั้นได้รับพร! 15 ขอแช่งคนที่นำข่าวไปบอกพ่อของข้าพเจ้า คนที่ทำให้พ่อของข้าพเจ้าดีใจมาก โดยบอกว่า ท่านได้ลูกชายแล้ว!16 ขอให้คนนั้นเป็นเหมือนเมืองต่างๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า+ทรงคว่ำทลายโดยปราศจากความเมตตาสงสารขอให้เขาได้ยินเสียงร่ำไห้ในยามเช้า เสียงโห่ร้องทำศึกยามเที่ยงวัน 17 เนื่องจากเขาไม่ฆ่าข้าพเจ้าเสียตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ให้ท้องของแม่เป็นหลุมฝังศพของข้าพเจ้า ให้ท้องของแม่โตอยู่อย่างนั้นตลอดไป 18 ทำไมหนอข้าพเจ้าจึงออกมาจากท้องแม่ ต้องเห็นความทุกข์โศกลำเค็ญ และชีวิตหมดไปกับความอัปยศอดสู? (ยรม.20:14-18)
                   1ข้าพเจ้าคือผู้ที่เห็นความทุกข์ลำเค็ญ จากไม้เรียวแห่งพระพิโรธของพระองค์ พระองค์ทรงขับไล่ข้าพเจ้าออกมาเดิน ในความมืดมนแทนที่จะเดินในความสว่าง อันที่จริงพระองค์ทรงหันมาเล่นงานข้าพเจ้า ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดวันคืน พระองค์ทรงกระทำให้เนื้อและหนังของข้าพเจ้าเหี่ยวย่นไป ทรงหักกระดูกของข้าพเจ้า พระองค์ทรงล้อมกรอบข้าพเจ้าไว้ ด้วยความขมขื่นและความทุกข์ลำเค็ญ พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าอยู่ในความมืด เหมือนคนที่ตายไปนานแล้ว พระองค์ทรงล้อมข้าพเจ้าไว้ไม่ให้หนีไปได้พระองค์ทรงถ่วงข้าพเจ้าด้วยโซ่ตรวน แม้เมื่อข้าพเจ้าทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือ พระองค์ไม่ทรงรับฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า พระองค์ทรงวางศิลากั้นทางของข้าพเจ้า ทรงทำให้หนทางของข้าพเจ้าคดเคี้ยว10 พระองค์ทรงเป็นดั่งหมีที่คอยตะครุบ ดั่งสิงโตที่ซุ่มอยู่ 11 พระองค์ทรงลากข้าพเจ้าออกจากทางและฉีกข้าพเจ้าเป็นชิ้นๆ แล้วทิ้งข้าพเจ้าโดยไม่มีใครมาช่วย 12 พระองค์ทรงโก่งคันธนู เล็งข้าพเจ้าเป็นเป้า 13 ลูกธนูจากแล่งธนูของพระองค์ เสียบทะลุหัวใจของข้าพเจ้า 14 ข้าพเจ้าตกเป็นขี้ปากให้พี่น้องร่วมชาติหัวเราะเยาะ เขาร้องเพลงล้อเลียนข้าพเจ้าวันยังค่ำ 15 พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้ากินผักรสขมจนอิ่ม และทำให้ข้าพเจ้าเข็ดขมด้วยบอระเพ็ด 16 พระองค์ทรงเลาะฟันของข้าพเจ้าด้วยกรวด ทรงเหยียบย่ำข้าพเจ้าจมฝุ่นธุลี 17 สันติสุขถูกพรากไปจากใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าลืมไปแล้วว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างไร 18 ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าสูญสิ้นเสียแล้ว และทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าคาดหวังจากองค์พระผู้เป็นเจ้า+ก็พังทลาย19 โปรดระลึกถึงความทุกข์ลำเค็ญและการระหกระเหินของข้าพเจ้า ระลึกถึงความขมขื่นและบอระเพ็ดที่ข้าพเจ้าได้รับ 20 ข้าพเจ้าจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ดีและจิตใจของข้าพเจ้าก็หดหู่อยู่ภายใน 21 ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็หวนคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ข้าพเจ้าจึงมีความหวัง22 เพราะความรักใหญ่หลวงขององค์พระผู้เป็นเจ้า+เราจึงไม่ถูกผลาญทำลายไป เพราะพระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด 23 มีมาใหม่ทุกเช้า ความซื่อสัตย์ของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก (พคค.3:1-23)


อ่านบทความอื่นต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนสอง)

          2. เป็นคนพูดด้วยวาจา อ่อนหวาน ไพเราะ เป็นที่เจริญใจ
                   อย่าหลุดปากเอ่ยสิ่งที่ไม่สมควร แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นขึ้นตามความจำเป็นของเขา จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง (อฟ.4:29) นอกจากจะยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว การพูดก็มีความสำคัญ คำพูดที่น่าฟัง โดยอย่าให้คําหยาบคายหลุดออกมาจากปากของเรา ควรกล่าวคําที่ดี และเป็นประโยชน์ให้เกิดความจําเริญ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง จงให้คำสนทนาของท่านเปี่ยมด้วยพระคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะรู้ว่าควรตอบทุกคนอย่างไร” (คส.4:6) ต้องมีคำพูดเพราะๆ ทุกคำพูดของเราควรมาจากความจริงใจ เป็นคำพูดที่ประกอบด้วยเมตตาคุณ ความรัก ความนุ่มนวล รักษาน้ำใจกัน พูดอะไรก็นึกถึงใจคนอื่น และไม่โกหก  นอกจากนั้นแล้ว คำพูดของเรายังต้อง ปรุงด้วยเกลือให้มีรส คือให้เราสะท้อนความงามขององค์พระผู้เป็นเจ้า เสริมสร้างให้เติบโตไปด้วยกัน และช่วยผู้ไม่เชื่อให้ได้เห็นความจริง ความดีงามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผ่านคำพูดของเรา ดังที่เราได้บอกไว้แล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่าหากใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่านนอกเหนือจากที่ท่านได้รับไว้แล้ว ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์!” (กท.1:9) อย่างไรก็ดี ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยพระคุณสุภาพอ่อนหวาน ไม่ได้หมายถึง ไม่กล่าวถ้อยคำแสดงออกด้วยใจร้อนรนและรุนแรง เมื่อจำเป็นต้องต่อสู้กับผู้เชื่อเทียมเท็จ ซึ่งเป็นศัตรูต่อวิถีทางแห่งกางเขน
          3. เป็นคนพูดจริงทำจริง
                     ลูกที่รัก อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง (1ยน.3:18) การยิ้มอาจจะเป็นเรื่องง่ายที่จะกระทำ การพูดจาสุภาพก็เช่นกันใครๆก็พอจะพูดได้ แต่เมื่อพูดแล้วลงมือกระทำด้วย อันนี้แหล่ะเป็นเรื่องยาก “ลูกที่รัก” เป็นคำเตือนสติให้เราคิดถึงการบังเกิดในฝ่ายจิตวิญญาณ ประชากรของพระเจ้าต้องไม่ “รักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น” นั้นหมายความว่าความรักนั้นไม่ใช่เรื่องของคำพูดเรื่องของปากเท่านั้น แต่เราต้องรักกัน “ด้วยการกระทำและความจริง” “ไม่มีผู้ใดมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้คือ การที่เขายอมสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตนเอง” (ยน.15:13) รักแท้เป็นการกระทำ มิใช่ความรู้สึก ดั่งองค์พระเยซูคริสต์ที่มีรักแท้ต่อมนุษยชาติ รักแท้ของพระองค์เกิดผลเป็นการให้อย่างเสียสละ และไม่เห็นแก่ตัว การกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความรักก็คือ การเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น เมื่อพี่น้องขัดสนเรามีท่าทีอย่างไรบ้าง ความรักที่แสดงออกก็ด้วยความช่วยเหลือแก่คนขัดสนอย่างจริงใจ นั้นคือ แบ่งปันทรัพย์สินฝ่ายโลกของเราให้แก่พวกเขา การปฏิเสธไม่ให้อาหาร เสื้อผ้าหรือเงินทองเพื่อช่วยเหลือคนขัดสนนั้น เป็นการปิดใจของเราต่อพวกเขา (1ยน.3:16-17)  แต่สำหรับคริสเตียนเราต้องแสดงความรัก ทางหนึ่งที่กระทำได้ คือจัดหาความช่วยเหลือเพื่อคนอื่นที่ขัดสน ซึ่ง อ.ยากอบ เองก็มีคำสอนอยู่ใน บทที่2ข้อ14ถึง17 เราต้องถามตัวเองว่าการกระทำของเรา แสดงให้เห็นชัดเจนเพียงใดว่า เรารักคนอื่นจริงๆ เรามีน้ำใจกว้างขว้างเพียงไร ในการแบ่งปันต่อผู้ขัดสน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการกระทำที่ดูเหมือนว่า มาจากความรักนั้น บางครั้งอาจเป็นความรักที่เสแสร้ง หรือหน้าซื่อใจคดได้เหมือนกัน อ.ยอห์น จึงเพิ่มคำว่า “ด้วยความจริง” เข้าไปด้วย ความรักของเราต้องเป็นความรักที่เป็นความจริง ไม่ใช่ของปลอมๆ หรือเสแสร้ง เพราะความรักแท้เช่นนั้นถึงจะเป็นตัวพิสูจน์ได้ว่าคนๆ นั้น ได้ “พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว” (1ยน.3:14)
          4. เป็นคนมีใจรับใช้ผู้อื่น
                   พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้นก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่านเพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่ “จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก” (กท.5:13) การที่อยากจะให้สิ่งดีแก่ใครบางคน สามารถทำให้ร่างกายของเราหลั่งสารแห่งความสุขจนท่วมท้นตัวของเราแล้ว ความสุขที่เกิดจากการรับ แม้จะมี แต่ก็ไม่อาจเปรียบได้กับความสุขที่เกิดจากการให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งที่เราให้ออกไปนั้นเป็นสิ่งที่ก่อเกิดความสุขให้แก่ผู้รับ การให้ที่กล่าวมานี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นการให้เงินทอง หรือสิ่งของที่มีมูลค่าราคาสูงบางครั้งสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านการแสดงน้ำใจใน “การรับใช้” ด้วยความถ่อมใจก็อาจก่อเกิดสุขแก่ผู้รับจนเกินบรรยายแล้ว อาทิเช่น  การให้รอยยิ้มที่ปริ่มปาก การให้หูที่รับฟังด้วยใส่ใจ การให้มือช่วยหยิบยื่นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยมิตรภาพ “การให้กับการรับใช้” จึงเป็นคู่แฝดที่นำความสุขมาให้แก่ผู้ที่กระทำ การรับใช้ผู้อื่นนั้นทำให้ผู้อื่นเห็นความรักของพระเจ้าในชีวิต และนั่นเป็นสิ่งที่วิเศษมาก อ.เปาโลสอนว่า บางคนใช้หลักการเรื่องเสรีภาพของคริสเตียนในทางที่ผิด และใช้มันเป็นช่องทางที่จะทําอะไรก็ได้ตามใจชอบ ความแตกแยกมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ทางออกของปัญหานี้ นั้นง่ายนิดเดียว แต่จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรักเถิด คํากล่าวนี้ลึกซึ้งจริงๆ เราไม่เพียงควรรักซึ่งกันและกันเท่านั้น แต่เราควรรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยน้ำใจแบบเดียวกันด้วย
          5. เป็นคนมีความถ่อมใจ
                   ท่านทั้งหลาย “จงถ่อมใจ” ลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น (ยก.4:10)เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ความหยิ่งจองหองนั้นไม่น่ารักในสายพระเนตรของพระเจ้าเลย (คนอื่นๆ ก็ไม่ชอบเหมือนกัน) ถ้าอยากดำเนินชีวิตคริสเตียนแบบสวยงาม เราต้องมีความยำเกรงพระเจ้าและความถ่อมใจ เพราะความถ่อมใจเดินนำหน้าเกียรติ แต่ความเอาแต่ใจมาพร้อมกับความน่าเกลียด (สภษ.18:12) พระเจ้าจะยังไม่ยกชูเราจนกว่าเราจะเต็มใจถ่อมตัวลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ด้วยความเสียใจตามแบบของพระองค์ เพราะผู้ใดยกตัวเองขึ้นจะถูกทำให้ต่ำลงและผู้ใดถ่อมตัวลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น (มธ.23:12) และเพราะฉะนั้นพวกท่านจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าเพื่อพระองค์จะทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร (1 ปต.5:6) พระเจ้าทรงต่อสู้กับคนที่หยิ่งจองหอง และทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม
          ห้าวิธีการตามพระคัมภีร์ที่จะทำให้ชีวิตของเราๆ สามารถเป็นที่รักได้สำหรับคนรอบข้าง ไม่ว่าเราจะทำอะไรให้เราทำด้วยเต็มใจเหมือนทำถวายพระเจ้า รักกันด้วยใจจริง แสดงออกด้วยจริงใจ แบบนี้แหล่ะถึงจะเรียกว่า เป็นลูกๆ ที่น่ารักของพระเจ้า คริสเตียนแบบนี้แหล่ะที่ดูดีมีเสน่ห์

อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนแรก)



โยบ3:20
ทำไมหนอจึงยังให้แสงสว่างแก่ผู้ที่ทุกข์ลำเค็ญ
และ ให้ชีวิตแก่ผู้ที่ขมขื่นในดวงวิญญาณ

          มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อความสำเร็จ เมื่อสำเร็จในขั้นนี้แล้วก็ต้องการความสำเร็จ ในขั้นตอนต่อไปอีก
ดังมีคำกล่าวกันว่าความสำเร็จก็ คือ ความไม่สำเร็จ และความไม่สำเร็จขั้นต่อ ๆ ไปอีก ความสำเร็จดังกล่าวนี้จะเป็นไปด้านใดก็ได้ และจะต่ำสูงเพียงไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพฐานะ และโอกาสของแต่ละคน คริสเตียนเองก็มีชีวิตอยู่เพื่อความสำเร็จ ต่างกันตรงที่ความพยายาม หรือความกระตือรือร้นต่างกันมากน้อยเพียงใดเท่านั้น และความสำเร็จอันสุดท้ายคือ ความสุขอันเกิดจากความรักองค์พระผู้เป็นพระเจ้า และการได้รับความรักจากพระองค์ตลอดกาล
                “โยบ” ก็เช่นกัน เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งมีความปรารถนาที่จะมีชีวิตเพื่อความสำเร็จ และความสำเร็จอันสูงสุดก็คือ ความสุขอันเกิดจากความรักองค์พระผู้เป็นพระเจ้า และการได้รับความรักจากพระองค์ตลอดกาล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาตั้งแต่บทที่ ๑ข้อ๑๓ ถึงบทที่ ๒ข้อ๑๐ เป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตของเขาไม่ว่าจะเป็นเรื่อง วัวถูกปล้น ฟ้าผ่าฝูงแกะและคนเลี้ยงตาย กองโจรปล้นอูฐและฆ่าบ่าวไพร่ตาย พายุพัดบ้านพังทับบุตรชายบุตรสาวตาย  และเกิดฝีร้ายขึ้นทั่วตัวของโยบอย่างทรมาน  
                เมื่อเพื่อนสามคนของโยบ คือเอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอามาห์ ได้ข่าวเรื่องความทุกข์ร้อนทั้งสิ้นที่เกิดกับเขา ก็นัดกันเดินทางจากบ้านมาเพื่อร่วมทุกข์และให้กำลังใจโยบ 12 เมื่อพวกเขาเห็นโยบแต่ไกลก็จำเขาแทบไม่ได้ พวกเขาจึงพากันร้องไห้เสียงดัง ฉีกเสื้อผ้า และโปรยฝุ่นใส่ศีรษะ 13 แล้วนั่งอยู่ที่พื้นเป็นเพื่อนโยบตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน ไม่มีใครเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียวเพราะเห็นว่าโยบทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงใด (โยบ2:11-13) โยบนิ่งเงียบ ตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตกใจและกลัวเกินกว่าที่จะพูดอะไร เขาทำได้แค่นั่งจมอยู่กับความเจ็บปวดของเขา เมื่อเพื่อนทั้งสามได้ข่าวความทุกข์ยากของโยบ พวกเขาก็เดินทางมาเพื่อร่วมทุกข์และให้กำลังใจ ถึงแม้ว่ากาลต่อมากำลังใจจากพวกเขาช่วยอะไรโยบไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มาหาโยบ พวกเขาต้องการช่วยโยบจริงๆ พวกเขาร้องไห้กับโยบ นั่งนิ่งกับโยบเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เหตุที่พวกเขามาแล้วนั่งนิ่งก็ด้วยตามธรรมเนียมของยิวแล้ว คนที่มาปลอบผู้ไว้ทุกข์ไม่ควรพูดอะไรจนกว่าผู้ไว้ทุกข์จะพูดขึ้นมาก่อน บ่อยครั้งการนิ่งเงียบก็เป็นวิธีตอบสนองที่ดีที่สุดเมื่อเราเห็นคนอื่นกำลังทุกข์ใจ เพื่อนๆ ของโยบ ตระหนักว่าโยบเจ็บปวดรวดร้าวเกินกว่าจะเยียวยาได้ด้วยคำพูด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดอะไรเลย บางครั้งเรามักจะรู้สึกว่าเราควรจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อให้กำลังใจ หรือให้ข้อคิดแก่เพื่อนที่ทุกข์ใจ แต่บางทีสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือ ให้เราอยู่เคียงข้างและแสดงความห่วงใยก็พอ คำตอบที่คาดเดา หรือคำพูดซ้ำซากนั้น สู้ความเห็นอกเห็นใจอย่างเงียบๆ และการอยู่เคียงข้างกันด้วยความรักไม่ได้  
                เพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา เหมือนมีเกลือนิดหน่อยด้อยราคา ยังดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล คนเราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนมากมาย ด้วยว่าคุณค่าของเพื่อนไม่ได้อยู่ที่ “ปริมาณ” แต่อยู่ที่ “คุณภาพ” หากว่าเรามีเพื่อนที่มีคุณภาพแม้จะเป็นเพียงแต่หยิบมือเดียว แต่ก็ทำให้ชีวิตของเรามีความสุขอย่างสุดที่จะบรรยายได้แล้ว เพื่อนดีมีคุณภาพ คือเพื่อนที่เสริมหรือเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตของเรา ดังนั้นเพื่อนคนใดที่ยิ่งคบหาก็ยิ่งฉุดเราให้ตกต่ำลง เพื่อนอย่างนั้นเราควรรีบออกห่างไว้ จะปลอดภัยกว่าแต่สิ่งที่จะเป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า ใครคือเพื่อนแท้ก็คือต้องดูในยามที่เราต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ดังภาษิตที่ว่า เพื่อนแท้คือเพื่อนในยามยาก พวกเราจะสร้างความเป็นเพื่อนที่ดีต่อผู้อื่นได้อย่างไร อาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายที่จะสร้างมิตรภาพกับคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะสอนพวกเรา เพื่อให้เป็นคริสเตียนที่ดูดีมีเสน่ห์ในตัวเอง ควรดำเนินชีวิตแบบนี้
                1. เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส
                                "จิตใจที่เป็นสุขเป็นยาขนานเอก แต่วิญญาณที่ร้าวรานทำให้ใจกายห่อเหี่ยว” (สภษ.17:22) “จิตใจที่เป็นสุข” ความสุขภายใน แสดงออกมาเป็นความชื่นชมยินดีภายนอก ก็ด้วย “รอยยิ้ม” การที่เรายิ้มจะทำให้เรามีแรงดึงดูดด้านบวก ที่ทำให้ผู้อยู่ใกล้มีความสุขไม่อึดอัด มนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งที่หาไม่ได้ในบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตด้วยกัน นั้นก็คือ ยิ้ม”  สัตว์โลกทุกชนิดที่ยกย่องกันว่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดและฝึกได้  แต่ฝึกให้ ยิ้มไม่ได้   ยิ้มของคน ซื้อขายไม่ได้ ยิ้มเป็นเครื่องดึงดูดให้คนเข้าใกล้  ปราศจากความระแวง  ยิ้มเป็นเกราะป้องกันภัยให้แก่ตนเองได้ด้วย  แต่ต้องเป็นยิ้มตามปกติไม่ใช่ยิ้มอย่างนักแสดง ที่โปรยยิ้มไปรอบๆเวที เพราะนั้นเป็นรอยยิ้มที่แต่งขึ้น  ยิ้มต้องเกิดจากใจจริง  มีลักษณะเบิกบาน  สดชื่น และบรรเทาทุกข์ร้อนได้ ทำให้ผู้ยิ้มเป็นผู้มีสติยั้งคิด  ไม่ผลุนผลัน เมื่อฝ่ายหนึ่งหน้าบึ้งมาหา  อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มรับเหตุร้ายย่อมกลายเป็นดี ในการยิ้มคนเราจะใช้กล้ามเนื้อใบหน้าเพียงสองมัด  คือกล้ามเนื้อบริเวณแก้มและรอบดวงตา คนเราจะยิ้มเมื่อมีความสุข  ยิ้มเพื่อปลอบใจและให้กำลังใจตนเอง หรือผู้อื่น ยิ้มเพื่อต้องการทักทาย ผูกมิตร  ยิ้มเพื่อขอบคุณ ขอโทษ และให้อภัย และยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก  ซึ่งรอยยิ้มที่จริงใจจะปรากฏอยู่เพียง หนึ่งถึงสี่วินาที เท่านั้น  
          การยิ้มทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี  สมองจะมีอุณหภูมิต่ำลง  หัวใจเต้นช้าลง  ความดันโลหิตลดลง  ระบบต่างๆ ในร่างกายผ่อนคลาย ต่อมหมวกไตทำงานน้อยลง  ฮอร์โมนอะดรีนาลีนซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกขับออกมาน้อยลง  ดังนั้นการยิ้มจะมีผลทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย  ช่วยลดความเครียด ช่วยเสริมสร้างอารมณ์และความรู้สึกให้ดีขึ้นได้  ยิ้ม  เป็นภาษาสากลที่เหมือนกันทุกชาติทุกภาษา  โดยปกติคนเราจะยิ้มเมื่อมีความสุข ดังนั้นการยิ้ม จึงถือว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความสุข   คนที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เป็นนิจ  แสดงว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี สนุกสนาน ร่าเริง  มั่นใจในตัวเอง มีวุฒิภาวะ ไม่มีลับลมคมใน  มีเสน่ห์  เอื้อเฟื้อ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย   ต่างกับคนที่ทำหน้าตาเคร่งขรึม  มักจะถูกมองว่าเป็นคนเคร่งเครียด  เป็นคนหยิ่ง เจ้าระเบียบ เย็นชาและไม่น่าคบ การยิ้มยังเป็นการแสดงถึงความกล้าหาญในการเผชิญกับอุปสรรคต่างๆอีกด้วย   เช่น ในสถานการณ์คับขันหากเรายังยิ้มได้ อย่างที่เรียกว่า ยิ้มได้เมื่อภัยมาแสดงว่าบุคคลนั้นมีความมั่นใจในตัวเอง จึงมีพลังในที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคนั้นได้ เป็นที่ยอมรับกันว่า “การยิ้มเป็นกลยุทธที่ดีในการสร้างมิตร” เพราะช่วยลดความแปลกหน้า ทำให้เกิดความไว้วางใจกัน  เป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้ตนเอง ใครได้เห็นเป็นที่ประทับใจ การยิ้มแย้มทำให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้น ลดปัญหาอุปสรรค ความขัดแย้งหรืออคติต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น  กล่าวโดยสรุปการยิ้มจึงมีประโยชน์มากมายมหาศาลในการสร้างความสุขโดยไม่ต้องใช้เงินซื้อหาที่ยิ่งให้ยิ่งได้รับ แล้วเราจะรู้ว่ายิ้มสร้างชีวิตที่แจ่มใสให้กับตัวเราเองและคนรอบข้างได้อย่างมหัศจรรย์


อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559

โปรดวางใจ(ตอนสุดท้าย)

                        1พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าบรรพบุรุษของเราล้วนได้อยู่ใต้เมฆและได้ผ่านทะเลไปทุกคนพวกเขาล้วนได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในโมเสส ในเมฆและในทะเล พวกเขาล้วนได้รับประทานอาหารทิพย์เหมือนกันและได้ดื่มน้ำทิพย์เหมือนกัน พวกเขาได้ดื่มน้ำจากศิลาทิพย์ ซึ่งร่วมทางมากับพวกเขา และศิลานั้นคือพระคริสต์ อย่างไรก็ตามพระเจ้าไม่พอพระทัยพวกเขาเกือบทั้งหมด บรรพบุรุษเหล่านั้นจึงล้มตายเกลื่อนกลาดในถิ่นกันดาร สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่าง[a] ไม่ให้จิตใจของเราฝักใฝ่ในสิ่งชั่วร้ายเหมือนที่คนเหล่านั้นได้ทำ อย่านับถือรูปเคารพเหมือนบางคน ดังที่มีเขียนไว้ว่า ประชากรนั่งล้อมวงกินดื่มและลุกขึ้นระเริงในงานเลี้ยงอย่างคนนอกศาสนา[b] เราไม่ควรทำผิดศีลธรรมทางเพศเหมือนที่บางคนได้ทำแล้วล้มตายถึง 23,000 คนในวันเดียว เราไม่ควรลองดีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่พวกเขาบางคนได้ทำแล้วถูกงูกัดตาย 10 และอย่าพร่ำบ่นเหมือนที่พวกเขาบางคนได้ทำแล้วถูกทูตมรณะประหาร11 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแก่พวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และบันทึกไว้เพื่อเตือนใจเราผู้ซึ่งอยู่ในยุคที่พระราชกิจของพระเจ้าจะสำเร็จ (1คร.10:1-11) อ.เปาโลนำเหตุการณ์อพยพของอิสราเอลมาเป็นบทเรียนสำคัญ เพื่อเตือนพวกเราทุกคนในองค์พระเยซูคริสต์ว่า เราจะไม่ได้รับความมั่งคั่งในพันธสัญญาของพระเจ้าหากปราศจากการเชื่อฟังที่เกิดจากความเชื่อ ประชากรอิสราเอลเป็นตัวอย่างของผู้ที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ฝ่ายวิญญาณ ซึ่งแสดงให้เห็นในการที่พวกเขามีความมั่นใจเกินควร และไม่มีวินัย เมฆและทะเล ที่กล่าวในที่นี้พาดพิงถึงตอนที่อิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์พ้นจากการเป็นทาส พระเจ้าทรงนำเขาด้วยเมฆ และทรงนำข้ามทะเลแดงมาอย่างปลอดภัย อาหารและน้ำฝ่ายวิญญาณ เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้อย่างอัศจรรย์ ขณะเดินท่องไปในทะเลทราย “ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในโมเสส” สิ่งนี้คือ การที่ประชากรอิสราเอลรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้การนำของโมเสส เมื่อครั้งที่อพยพออกจากอียิปต์ (เปรียบได้กับพวกคริสเตียนเราในปัจจุบันที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระคริสต์ด้วยพีธีบัพติศมา) พระเจ้าทรงปกป้องและเลี้ยงดูอิสราเอลอย่างมากมาย แต่พวกเขาก็บ่นว่าพระเจ้า พวกเขาทดลองพระองค์ อ.เปาโลนำวิธีการดำเนินชีวิตของตนเองมาเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้เชื่อทุกคนได้เรียนรู้ 19 แม้ข้าพเจ้าเป็นอิสระและไม่ขึ้นกับใคร ข้าพเจ้าก็ยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวงเพื่อชนะใจผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 20 ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนยิวเพื่อชนะใจคนยิว ต่อบรรดาผู้อยู่ใต้บทบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนผู้อยู่ใต้บทบัญญัติ (แม้ตัวข้าพเจ้าเองไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ) เพื่อจะได้ชนะใจผู้อยู่ใต้บทบัญญัติ 21 ต่อบรรดาผู้ที่ไม่มีบทบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนผู้ที่ไม่มีบทบัญญัติ (ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอิสระจากบทบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้บทบัญญัติของพระคริสต์) เพื่อจะได้ชนะใจผู้ที่ไม่มีบทบัญญัติ 22 ต่อผู้อ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นผู้อ่อนแอ เพื่อจะได้ชนะใจผู้อ่อนแอ ข้าพเจ้าได้เป็นคนทุกแบบต่อคนทั้งปวง เพื่อว่าข้าพเจ้าจะช่วยบางคนให้รอดโดยทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ 23 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งนี้เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนร่วมในพระพรแห่งข่าวประเสริฐ24 ท่านไม่รู้หรือว่าในการแข่งขัน นักวิ่งทุกคนออกวิ่ง แต่มีเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัล? จงวิ่งอย่างนั้นเพื่อให้ได้รางวัลมา25 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนผ่านการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด เขาทำอย่างนั้นเพื่อมงกุฎอันไม่ยืนยง ส่วนเราทำเพื่อมงกุฎอันยืนยงเป็นนิตย์ 26 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้วิ่งอย่างไม่มีจุดหมาย ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้เหมือนคนชกลม 27 เปล่าเลย ข้าพเจ้าฝึกฝนตนเองให้อยู่ในการควบคุม เพื่อว่าหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่คนอื่นแล้ว ข้าพเจ้าเองจะไม่ขาดคุณสมบัติที่จะรับรางวัล”(1คร.9:19-27) การประกาศข่าวประเสริฐเป็นของประทาน และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้อ.เปาโลกระทำ เขาเองก็มีใจปรารถนาทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และใช้ของประทานของตนเพื่อพระสิริของพระองค์ อ.เปาโลยืนยันว่าท่านมีเสรีภาพจะทำสิ่งใดก็ได้ แต่ในข้อ24-27 ท่านย้ำถึงชีวิตที่มีวินัยเคร่งครัด ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่มีทั้งวินัยและเสรึภาพ เป้าหมายแห่งชีวิตของเขาก็เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเพื่อนำผู้คนมารู้จักกับพระคริสต์อ.เปาโลจึงไม่ได้ยึดติดกับหลักปรัชญาใดๆ รวมทั้งไม่พัวพันกับเรื่องทางวัตถุ ซึ่งอาจจะหันเหใจท่านให้ออกจากจุดหมายชีวิต ขณะเดียวกันก็อยู่อย่างมีวินัยอันเข้มงวด เพื่อจะได้ไปถึงจุดหมาย สำหรับอ.เปาโลแล้วทั้งเสรีภาพและวินัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับใช้พระเจ้า ชัยชนะในการวิ่งแข่งขันจำเป็นต้องมีทั้งเป้าหมายและวินัย อ.เปาโลใช้ภาพการวิ่งแข่งขันเพื่อสะท้อนถึงการดำเนินชีวิตเพื่อการรับใช้ ดังนั้นชีวิตคริสเตียนต้องทำงานหนัก ต้องปฏิเสธความต้องการของตนเอง และเตรีมพร้อมที่จะเหน็ดเหนื่อยอยู่เสมอในฐานะคริสเตียนเรากำลังวิ่งสู่เป้าหมาย นั่นคือ “รางวัลแห่งเมืองสวรรค์”  ชัยชนะในการวิ่งแข่งขันจำเป็นต้องมีทั้งเป้าหมายและวินัยชัยชนะในการวิ่งแข่งขันจำเป็นต้องมีทั้งเป้าหมายและวินัย บางครั้งอ.เปาโลรู้สึกว่าตนเองอาจจะกลายเป็นคนที่ “ขาดคุณสมบัติ” จริงๆแล้วท่านไม่ได้หมายความว่า ตัวท่านจะสูญเสียความรอด แต่หมายความว่า ท่านเกรงว่าจะสูญเสียสิทธิพิเศษที่จะบอกคนอื่นเรื่องพระคริสต์ เป็นเรื่องง่ายที่จะบอกคนอื่นว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร แต่ตนเองไม่ทำตามคำแนะนำของตนเอง พวกเราจึงต้องระวังที่จะทำตามที่พวกเราสอน วินัยที่ควรมีในชีวิตที่เชื่อและวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ คือ การอธิษฐาน การศึกษาพระคัมภีร์ และนมัสการสามัคคีธรรม ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้จะช่วยให้เรามีความพร้อมที่จะวิ่งอย่างแข็งขันและทรหด ขออย่าเป็นเพียงผู้ชมบนอัฒจันทร์ และอย่าเป็นเพียงผู้วิ่งเหยาะๆ ออกกำลังพักสองพักในตอนเช้า แต่ให้ฝึกฝนอย่างหมั่นเพียร เพราะความก้าวหน้าฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเราขึ้นกับสิ่งเหล่านี้

อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/