โยบ3:20
ทำไมหนอจึงยังให้แสงสว่างแก่ผู้ที่ทุกข์ลำเค็ญ
และ ให้ชีวิตแก่ผู้ที่ขมขื่นในดวงวิญญาณ
มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อความสำเร็จ
เมื่อสำเร็จในขั้นนี้แล้วก็ต้องการความสำเร็จ ในขั้นตอนต่อไปอีก
ดังมีคำกล่าวกันว่าความสำเร็จก็ คือ ความไม่สำเร็จ
และความไม่สำเร็จขั้นต่อ ๆ ไปอีก ความสำเร็จดังกล่าวนี้จะเป็นไปด้านใดก็ได้ และจะต่ำสูงเพียงไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพฐานะ
และโอกาสของแต่ละคน คริสเตียนเองก็มีชีวิตอยู่เพื่อความสำเร็จ ต่างกันตรงที่ความพยายาม
หรือความกระตือรือร้นต่างกันมากน้อยเพียงใดเท่านั้น และความสำเร็จอันสุดท้ายคือ ความสุขอันเกิดจากความรักองค์พระผู้เป็นพระเจ้า
และการได้รับความรักจากพระองค์ตลอดกาล
“โยบ”
ก็เช่นกัน เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งมีความปรารถนาที่จะมีชีวิตเพื่อความสำเร็จ
และความสำเร็จอันสูงสุดก็คือ ความสุขอันเกิดจากความรักองค์พระผู้เป็นพระเจ้า
และการได้รับความรักจากพระองค์ตลอดกาล
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาตั้งแต่บทที่ ๑ข้อ๑๓ ถึงบทที่ ๒ข้อ๑๐
เป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตของเขาไม่ว่าจะเป็นเรื่อง วัวถูกปล้น
ฟ้าผ่าฝูงแกะและคนเลี้ยงตาย กองโจรปล้นอูฐและฆ่าบ่าวไพร่ตาย พายุพัดบ้านพังทับบุตรชายบุตรสาวตาย และเกิดฝีร้ายขึ้นทั่วตัวของโยบอย่างทรมาน
เมื่อเพื่อนสามคนของโยบ
คือเอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอามาห์
ได้ข่าวเรื่องความทุกข์ร้อนทั้งสิ้นที่เกิดกับเขา
ก็นัดกันเดินทางจากบ้านมาเพื่อร่วมทุกข์และให้กำลังใจโยบ 12
เมื่อพวกเขาเห็นโยบแต่ไกลก็จำเขาแทบไม่ได้ พวกเขาจึงพากันร้องไห้เสียงดัง
ฉีกเสื้อผ้า และโปรยฝุ่นใส่ศีรษะ 13
แล้วนั่งอยู่ที่พื้นเป็นเพื่อนโยบตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน
ไม่มีใครเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียวเพราะเห็นว่าโยบทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงใด
(โยบ2:11-13) โยบนิ่งเงียบ ตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ตกใจและกลัวเกินกว่าที่จะพูดอะไร เขาทำได้แค่นั่งจมอยู่กับความเจ็บปวดของเขา เมื่อเพื่อนทั้งสามได้ข่าวความทุกข์ยากของโยบ
พวกเขาก็เดินทางมาเพื่อร่วมทุกข์และให้กำลังใจ
ถึงแม้ว่ากาลต่อมากำลังใจจากพวกเขาช่วยอะไรโยบไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มาหาโยบ
พวกเขาต้องการช่วยโยบจริงๆ พวกเขาร้องไห้กับโยบ นั่งนิ่งกับโยบเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
เหตุที่พวกเขามาแล้วนั่งนิ่งก็ด้วยตามธรรมเนียมของยิวแล้ว
คนที่มาปลอบผู้ไว้ทุกข์ไม่ควรพูดอะไรจนกว่าผู้ไว้ทุกข์จะพูดขึ้นมาก่อน บ่อยครั้งการนิ่งเงียบก็เป็นวิธีตอบสนองที่ดีที่สุดเมื่อเราเห็นคนอื่นกำลังทุกข์ใจ
เพื่อนๆ ของโยบ ตระหนักว่าโยบเจ็บปวดรวดร้าวเกินกว่าจะเยียวยาได้ด้วยคำพูด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดอะไรเลย
บางครั้งเรามักจะรู้สึกว่าเราควรจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อให้กำลังใจ
หรือให้ข้อคิดแก่เพื่อนที่ทุกข์ใจ แต่บางทีสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือ
ให้เราอยู่เคียงข้างและแสดงความห่วงใยก็พอ คำตอบที่คาดเดา หรือคำพูดซ้ำซากนั้น
สู้ความเห็นอกเห็นใจอย่างเงียบๆ และการอยู่เคียงข้างกันด้วยความรักไม่ได้
“เพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย
ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา เหมือนมีเกลือนิดหน่อยด้อยราคา ยังดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล” คนเราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนมากมาย
ด้วยว่าคุณค่าของเพื่อนไม่ได้อยู่ที่ “ปริมาณ” แต่อยู่ที่ “คุณภาพ”
หากว่าเรามีเพื่อนที่มีคุณภาพแม้จะเป็นเพียงแต่หยิบมือเดียว
แต่ก็ทำให้ชีวิตของเรามีความสุขอย่างสุดที่จะบรรยายได้แล้ว เพื่อนดีมีคุณภาพ
คือเพื่อนที่เสริมหรือเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตของเรา ดังนั้นเพื่อนคนใดที่ยิ่งคบหาก็ยิ่งฉุดเราให้ตกต่ำลง เพื่อนอย่างนั้นเราควรรีบออกห่างไว้ จะปลอดภัยกว่าแต่สิ่งที่จะเป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า ใครคือเพื่อนแท้ก็คือต้องดูในยามที่เราต้องการความช่วยเหลือจริงๆ
ดังภาษิตที่ว่า “เพื่อนแท้คือเพื่อนในยามยาก” พวกเราจะสร้างความเป็นเพื่อนที่ดีต่อผู้อื่นได้อย่างไร
อาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายที่จะสร้างมิตรภาพกับคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะสอนพวกเรา
เพื่อให้เป็นคริสเตียนที่ดูดีมีเสน่ห์ในตัวเอง ควรดำเนินชีวิตแบบนี้
1. เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส
"จิตใจที่เป็นสุขเป็นยาขนานเอก
แต่วิญญาณที่ร้าวรานทำให้ใจกายห่อเหี่ยว” (สภษ.17:22) “จิตใจที่เป็นสุข” ความสุขภายใน
แสดงออกมาเป็นความชื่นชมยินดีภายนอก ก็ด้วย “รอยยิ้ม” การที่เรายิ้มจะทำให้เรามีแรงดึงดูดด้านบวก ที่ทำให้ผู้อยู่ใกล้มีความสุขไม่อึดอัด มนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งที่หาไม่ได้ในบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตด้วยกัน
นั้นก็คือ “ยิ้ม” สัตว์โลกทุกชนิดที่ยกย่องกันว่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดและฝึกได้ แต่ฝึกให้ “ยิ้ม” ไม่ได้ ยิ้มของคน ซื้อขายไม่ได้ ยิ้มเป็นเครื่องดึงดูดให้คนเข้าใกล้ ปราศจากความระแวง ยิ้มเป็นเกราะป้องกันภัยให้แก่ตนเองได้ด้วย แต่ต้องเป็นยิ้มตามปกติไม่ใช่ยิ้มอย่างนักแสดง ที่โปรยยิ้มไปรอบๆเวที เพราะนั้นเป็นรอยยิ้มที่แต่งขึ้น “ยิ้ม”ต้องเกิดจากใจจริง มีลักษณะเบิกบาน สดชื่น และบรรเทาทุกข์ร้อนได้
ทำให้ผู้ยิ้มเป็นผู้มีสติยั้งคิด ไม่ผลุนผลัน เมื่อฝ่ายหนึ่งหน้าบึ้งมาหา อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มรับเหตุร้ายย่อมกลายเป็นดี ในการยิ้มคนเราจะใช้กล้ามเนื้อใบหน้าเพียงสองมัด คือกล้ามเนื้อบริเวณแก้มและรอบดวงตา
คนเราจะยิ้มเมื่อมีความสุข ยิ้มเพื่อปลอบใจและให้กำลังใจตนเอง
หรือผู้อื่น ยิ้มเพื่อต้องการทักทาย ผูกมิตร ยิ้มเพื่อขอบคุณ ขอโทษ และให้อภัย และยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก ซึ่งรอยยิ้มที่จริงใจจะปรากฏอยู่เพียง หนึ่งถึงสี่วินาที เท่านั้น
การยิ้มทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี สมองจะมีอุณหภูมิต่ำลง หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง ระบบต่างๆ ในร่างกายผ่อนคลาย ต่อมหมวกไตทำงานน้อยลง ฮอร์โมนอะดรีนาลีนซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกขับออกมาน้อยลง ดังนั้นการยิ้มจะมีผลทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียด ช่วยเสริมสร้างอารมณ์และความรู้สึกให้ดีขึ้นได้
“ยิ้ม” เป็นภาษาสากลที่เหมือนกันทุกชาติทุกภาษา โดยปกติคนเราจะยิ้มเมื่อมีความสุข
ดังนั้นการยิ้ม จึงถือว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความสุข คนที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เป็นนิจ แสดงว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี
สนุกสนาน ร่าเริง มั่นใจในตัวเอง มีวุฒิภาวะ
ไม่มีลับลมคมใน มีเสน่ห์ เอื้อเฟื้อ
เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ต่างกับคนที่ทำหน้าตาเคร่งขรึม มักจะถูกมองว่าเป็นคนเคร่งเครียด เป็นคนหยิ่ง เจ้าระเบียบ เย็นชาและไม่น่าคบ
การยิ้มยังเป็นการแสดงถึงความกล้าหาญในการเผชิญกับอุปสรรคต่างๆอีกด้วย เช่น ในสถานการณ์คับขันหากเรายังยิ้มได้ อย่างที่เรียกว่า “ยิ้มได้เมื่อภัยมา” แสดงว่าบุคคลนั้นมีความมั่นใจในตัวเอง
จึงมีพลังในที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคนั้นได้ เป็นที่ยอมรับกันว่า “การยิ้มเป็นกลยุทธที่ดีในการสร้างมิตร” เพราะช่วยลดความแปลกหน้า
ทำให้เกิดความไว้วางใจกัน เป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้ตนเอง
ใครได้เห็นเป็นที่ประทับใจ การยิ้มแย้มทำให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้น ลดปัญหาอุปสรรค
ความขัดแย้งหรืออคติต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น กล่าวโดยสรุปการยิ้มจึงมีประโยชน์มากมายมหาศาลในการสร้างความสุขโดยไม่ต้องใช้เงินซื้อหาที่ยิ่งให้ยิ่งได้รับ แล้วเราจะรู้ว่ายิ้มสร้างชีวิตที่แจ่มใสให้กับตัวเราเองและคนรอบข้างได้อย่างมหัศจรรย์
อ่านบทความต่อได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น