วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

ผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมน(ตอนสอง)

          2. เป็นคนพูดด้วยวาจา อ่อนหวาน ไพเราะ เป็นที่เจริญใจ
                   อย่าหลุดปากเอ่ยสิ่งที่ไม่สมควร แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นขึ้นตามความจำเป็นของเขา จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง (อฟ.4:29) นอกจากจะยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว การพูดก็มีความสำคัญ คำพูดที่น่าฟัง โดยอย่าให้คําหยาบคายหลุดออกมาจากปากของเรา ควรกล่าวคําที่ดี และเป็นประโยชน์ให้เกิดความจําเริญ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง จงให้คำสนทนาของท่านเปี่ยมด้วยพระคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะรู้ว่าควรตอบทุกคนอย่างไร” (คส.4:6) ต้องมีคำพูดเพราะๆ ทุกคำพูดของเราควรมาจากความจริงใจ เป็นคำพูดที่ประกอบด้วยเมตตาคุณ ความรัก ความนุ่มนวล รักษาน้ำใจกัน พูดอะไรก็นึกถึงใจคนอื่น และไม่โกหก  นอกจากนั้นแล้ว คำพูดของเรายังต้อง ปรุงด้วยเกลือให้มีรส คือให้เราสะท้อนความงามขององค์พระผู้เป็นเจ้า เสริมสร้างให้เติบโตไปด้วยกัน และช่วยผู้ไม่เชื่อให้ได้เห็นความจริง ความดีงามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผ่านคำพูดของเรา ดังที่เราได้บอกไว้แล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่าหากใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่านนอกเหนือจากที่ท่านได้รับไว้แล้ว ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์!” (กท.1:9) อย่างไรก็ดี ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยพระคุณสุภาพอ่อนหวาน ไม่ได้หมายถึง ไม่กล่าวถ้อยคำแสดงออกด้วยใจร้อนรนและรุนแรง เมื่อจำเป็นต้องต่อสู้กับผู้เชื่อเทียมเท็จ ซึ่งเป็นศัตรูต่อวิถีทางแห่งกางเขน
          3. เป็นคนพูดจริงทำจริง
                     ลูกที่รัก อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง (1ยน.3:18) การยิ้มอาจจะเป็นเรื่องง่ายที่จะกระทำ การพูดจาสุภาพก็เช่นกันใครๆก็พอจะพูดได้ แต่เมื่อพูดแล้วลงมือกระทำด้วย อันนี้แหล่ะเป็นเรื่องยาก “ลูกที่รัก” เป็นคำเตือนสติให้เราคิดถึงการบังเกิดในฝ่ายจิตวิญญาณ ประชากรของพระเจ้าต้องไม่ “รักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น” นั้นหมายความว่าความรักนั้นไม่ใช่เรื่องของคำพูดเรื่องของปากเท่านั้น แต่เราต้องรักกัน “ด้วยการกระทำและความจริง” “ไม่มีผู้ใดมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้คือ การที่เขายอมสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตนเอง” (ยน.15:13) รักแท้เป็นการกระทำ มิใช่ความรู้สึก ดั่งองค์พระเยซูคริสต์ที่มีรักแท้ต่อมนุษยชาติ รักแท้ของพระองค์เกิดผลเป็นการให้อย่างเสียสละ และไม่เห็นแก่ตัว การกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความรักก็คือ การเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น เมื่อพี่น้องขัดสนเรามีท่าทีอย่างไรบ้าง ความรักที่แสดงออกก็ด้วยความช่วยเหลือแก่คนขัดสนอย่างจริงใจ นั้นคือ แบ่งปันทรัพย์สินฝ่ายโลกของเราให้แก่พวกเขา การปฏิเสธไม่ให้อาหาร เสื้อผ้าหรือเงินทองเพื่อช่วยเหลือคนขัดสนนั้น เป็นการปิดใจของเราต่อพวกเขา (1ยน.3:16-17)  แต่สำหรับคริสเตียนเราต้องแสดงความรัก ทางหนึ่งที่กระทำได้ คือจัดหาความช่วยเหลือเพื่อคนอื่นที่ขัดสน ซึ่ง อ.ยากอบ เองก็มีคำสอนอยู่ใน บทที่2ข้อ14ถึง17 เราต้องถามตัวเองว่าการกระทำของเรา แสดงให้เห็นชัดเจนเพียงใดว่า เรารักคนอื่นจริงๆ เรามีน้ำใจกว้างขว้างเพียงไร ในการแบ่งปันต่อผู้ขัดสน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการกระทำที่ดูเหมือนว่า มาจากความรักนั้น บางครั้งอาจเป็นความรักที่เสแสร้ง หรือหน้าซื่อใจคดได้เหมือนกัน อ.ยอห์น จึงเพิ่มคำว่า “ด้วยความจริง” เข้าไปด้วย ความรักของเราต้องเป็นความรักที่เป็นความจริง ไม่ใช่ของปลอมๆ หรือเสแสร้ง เพราะความรักแท้เช่นนั้นถึงจะเป็นตัวพิสูจน์ได้ว่าคนๆ นั้น ได้ “พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว” (1ยน.3:14)
          4. เป็นคนมีใจรับใช้ผู้อื่น
                   พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้นก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่านเพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่ “จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก” (กท.5:13) การที่อยากจะให้สิ่งดีแก่ใครบางคน สามารถทำให้ร่างกายของเราหลั่งสารแห่งความสุขจนท่วมท้นตัวของเราแล้ว ความสุขที่เกิดจากการรับ แม้จะมี แต่ก็ไม่อาจเปรียบได้กับความสุขที่เกิดจากการให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งที่เราให้ออกไปนั้นเป็นสิ่งที่ก่อเกิดความสุขให้แก่ผู้รับ การให้ที่กล่าวมานี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นการให้เงินทอง หรือสิ่งของที่มีมูลค่าราคาสูงบางครั้งสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านการแสดงน้ำใจใน “การรับใช้” ด้วยความถ่อมใจก็อาจก่อเกิดสุขแก่ผู้รับจนเกินบรรยายแล้ว อาทิเช่น  การให้รอยยิ้มที่ปริ่มปาก การให้หูที่รับฟังด้วยใส่ใจ การให้มือช่วยหยิบยื่นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยมิตรภาพ “การให้กับการรับใช้” จึงเป็นคู่แฝดที่นำความสุขมาให้แก่ผู้ที่กระทำ การรับใช้ผู้อื่นนั้นทำให้ผู้อื่นเห็นความรักของพระเจ้าในชีวิต และนั่นเป็นสิ่งที่วิเศษมาก อ.เปาโลสอนว่า บางคนใช้หลักการเรื่องเสรีภาพของคริสเตียนในทางที่ผิด และใช้มันเป็นช่องทางที่จะทําอะไรก็ได้ตามใจชอบ ความแตกแยกมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ทางออกของปัญหานี้ นั้นง่ายนิดเดียว แต่จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรักเถิด คํากล่าวนี้ลึกซึ้งจริงๆ เราไม่เพียงควรรักซึ่งกันและกันเท่านั้น แต่เราควรรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยน้ำใจแบบเดียวกันด้วย
          5. เป็นคนมีความถ่อมใจ
                   ท่านทั้งหลาย “จงถ่อมใจ” ลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น (ยก.4:10)เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ความหยิ่งจองหองนั้นไม่น่ารักในสายพระเนตรของพระเจ้าเลย (คนอื่นๆ ก็ไม่ชอบเหมือนกัน) ถ้าอยากดำเนินชีวิตคริสเตียนแบบสวยงาม เราต้องมีความยำเกรงพระเจ้าและความถ่อมใจ เพราะความถ่อมใจเดินนำหน้าเกียรติ แต่ความเอาแต่ใจมาพร้อมกับความน่าเกลียด (สภษ.18:12) พระเจ้าจะยังไม่ยกชูเราจนกว่าเราจะเต็มใจถ่อมตัวลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ด้วยความเสียใจตามแบบของพระองค์ เพราะผู้ใดยกตัวเองขึ้นจะถูกทำให้ต่ำลงและผู้ใดถ่อมตัวลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น (มธ.23:12) และเพราะฉะนั้นพวกท่านจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าเพื่อพระองค์จะทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร (1 ปต.5:6) พระเจ้าทรงต่อสู้กับคนที่หยิ่งจองหอง และทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม
          ห้าวิธีการตามพระคัมภีร์ที่จะทำให้ชีวิตของเราๆ สามารถเป็นที่รักได้สำหรับคนรอบข้าง ไม่ว่าเราจะทำอะไรให้เราทำด้วยเต็มใจเหมือนทำถวายพระเจ้า รักกันด้วยใจจริง แสดงออกด้วยจริงใจ แบบนี้แหล่ะถึงจะเรียกว่า เป็นลูกๆ ที่น่ารักของพระเจ้า คริสเตียนแบบนี้แหล่ะที่ดูดีมีเสน่ห์

อ่านบทความต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น