กลับมาที่เรื่องของ “โยบ”
1ต่อมาโยบเอ่ยปากสาปแช่งวันที่เขาเกิดมา
2 เขากล่าวว่า 3 “หากเป็นไปได้
ขอให้วันที่ข้าเกิดมาและคืนที่พวกเขาพูดกันว่า‘เด็กชายคนหนึ่งเกิดมาแล้ว!’
พินาศเถิด 4 ขอให้วันนั้นกลับกลายเป็นความมืด ขอพระเจ้าเบื้องบนอย่าใส่พระทัยกับวันนั้น
อย่าให้มีแสงใดๆ ส่องในวันนั้น 5 ขอให้ความมืดและเงาดำ[ครอบคลุมมันไว้ ขอให้เมฆปกคลุมเหนือมัน
ขอให้ความมืดบดบังแสงสว่างของวันนั้น
6
ขอให้ความมืดกลืนค่ำคืนที่ข้าได้เกิดมานั้น ขอให้ลบวันนั้นออกจากปฏิทิน อย่านับมันเข้ากับวันหรือเดือนใดๆ
อีกเลย 7 ขอให้คืนนั้นเป็นหมัน อย่าให้ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดี 8
ขอให้ผู้มีอาคมสาปแช่งวันทั้งหลาย ผู้พร้อมจะปลุกเรียกเลวีอาธาน ขึ้นมาสาปแช่งวันนั้น
9 ขอให้ดาวรุ่งในเช้านั้นอับแสงไป ขอให้ความหวังที่จะได้เห็นแสงสว่างนั้นสูญเปล่า และไม่มีวันได้เห็นแสงอรุณ
10 จงสาปแช่งวันนั้น เพราะมันไม่ยอมปิดครรภ์มารดาของข้า ปล่อยให้ข้าเกิดมารู้เห็นความทุกข์นี้ (โยบ 3:1-10) องค์พระเยซูคริสต์ทรงร้องทูลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์
พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?”
(มธ.27:46) นี่เป็นคำตรัสที่พระองค์ทูลถามพระบิดา
ความรู้สึกแบบนี้น่าจะตรงกับความรู้สึกของโยบ ซึ่งเขาต้องสูญเสียคนในครอบครัวไป
อับอาย เจ็บปวด และเกิดความปวดร้าวในใจมากที่สุด
ดูๆแล้วเหมือนกับว่าพระเจ้าละทิ้งเขาไปแล้ว
โยบไม่ได้แช่ด่าพระเจ้าแต่เขาก็แช่งด่าวันที่เขาเกิด เขาคิดว่าไม่เกิดมาเลยก็ยังดีกว่าเกิดมาแล้วถูกพระเจ้าทอดทิ้ง
เขากำลังดิ้นรนต่อสู้ทั้งอารมณ์ ร่างกาย และจิตวิญญาณ
คำพูดของเขาบอกความรู้สึกต่อพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมา
เขาเริ่มต้นด้วยการแช่งสาปวันที่เขาเกิด และการมีชีวิตอยู่อย่างน่าเศร้า “เลวีอาธาน”
ซึ่งเป็นสัตว์ร้ายในทะเล ตามความในพระคัมภีร์ (สดด.74:13-14; โยบ 41; และอสย. 27:1) จอมปีศาจแห่งริษยาตกเป็นตำแหน่งของงูยักษ์เลวีอาธาน
มันถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ ว่าเป็นสัตว์ทะเลขนาดยักษ์มีหลายหัว มีฟันแหลมคมเหมือนจระเข้
มีดวงตาดั่งขนตาของตะวัน (หมายถึงมันโผล่ตาขึ้นมาเหนือน้ำเหมือนที่จระเข้ทำเวลาจะล่าเหยื่อ
ตามันจะโผล่พ้นน้ำมาเล็กน้อย เหมือนพระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาในตอนเช้า)
บางครั้งมันก็ถูกกล่าวว่าเป็นพลังแห่งความสับสนวุ่นวายเมื่อครั้งสร้างโลก ในปฐมกาลกล่าวว่า
"ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินแผ่นดินก็ว่างเปล่า
ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น"
ผืนน้ำนั่นแหละครับคือความสับสนวุ่นวาย และก็คือเลวีอาธาน คำว่า
"เลวีอาธาน" นั้นยังหมายถึงสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์
หรือสัตว์ขนาดใหญ่ใดๆ ก็ได้ โยบต้องการให้ผู้มีอาคมเรียกสัตว์ร้ายเช่นนี้มากลืนกินวันที่เขาเกิดเสีย
แต่ถ้าสังเกตให้ดีในถ้อยคำนั้น โยบไม่ได้แช่งด่าพระเจ้าเลย
การร้องทูลของเขาแสดงถึงความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง
โดยไม่ได้ตำหนิองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย
บางครั้ง เรารู้สึกหดหู่เมื่อเห็นคนที่รักประสบปัญหาในชีวิต คนเหล่านี้มักจะเป็นคนดี
เราไม่เข้าใจ เราเกิดความสงสัยว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ยิ่งเข้าใจยากถ้ามันเกิด
กับตัวเราเอง ทำไมต้องเกิดขึ้นกับเราด้วยเราไม่ได้ทำอะไรผิดบาป ทำไมเราต้องป่วย ทำไมครอบครัวเราต้องแตกแยก
ทำไม เราต้องตกงาน เราพยายามไขว่คว้าหาเหตุผล
พยายามถามคนรอบข้างหาคำตอบ แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่มีคำตอบใด ที่สามารถสลายความเจ็บปวดขมขื่นที่เกิดจากสิ่งที่เรากำลังประสบอยู่ การอธิษฐานของเราจะดำเนินไปด้วยใจที่ปวดร้าวและเป็นทุกข์
นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้เชื่ออย่างเรา ที่จะแสดงความรู้สึกสงสัย
และความรู้สึกอย่างจริงใจของเราต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า มีการอธิษฐานวิงวอนแบบนี้ในพระคัมภีร์
14 ขอแช่งวันที่ข้าพเจ้าถือกำเนิดมา! ขออย่าให้วันที่แม่คลอดข้าพเจ้าออกมานั้นได้รับพร!
15 ขอแช่งคนที่นำข่าวไปบอกพ่อของข้าพเจ้า
คนที่ทำให้พ่อของข้าพเจ้าดีใจมาก โดยบอกว่า “ท่านได้ลูกชายแล้ว!”
16 ขอให้คนนั้นเป็นเหมือนเมืองต่างๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า+ทรงคว่ำทลายโดยปราศจากความเมตตาสงสารขอให้เขาได้ยินเสียงร่ำไห้ในยามเช้า เสียงโห่ร้องทำศึกยามเที่ยงวัน
17 เนื่องจากเขาไม่ฆ่าข้าพเจ้าเสียตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ให้ท้องของแม่เป็นหลุมฝังศพของข้าพเจ้า ให้ท้องของแม่โตอยู่อย่างนั้นตลอดไป 18 ทำไมหนอข้าพเจ้าจึงออกมาจากท้องแม่ ต้องเห็นความทุกข์โศกลำเค็ญ และชีวิตหมดไปกับความอัปยศอดสู?
(ยรม.20:14-18)
1ข้าพเจ้าคือผู้ที่เห็นความทุกข์ลำเค็ญ จากไม้เรียวแห่งพระพิโรธของพระองค์
2 พระองค์ทรงขับไล่ข้าพเจ้าออกมาเดิน ในความมืดมนแทนที่จะเดินในความสว่าง
3 อันที่จริงพระองค์ทรงหันมาเล่นงานข้าพเจ้า
ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดวันคืน 4 พระองค์ทรงกระทำให้เนื้อและหนังของข้าพเจ้าเหี่ยวย่นไป
ทรงหักกระดูกของข้าพเจ้า 5 พระองค์ทรงล้อมกรอบข้าพเจ้าไว้
ด้วยความขมขื่นและความทุกข์ลำเค็ญ 6 พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าอยู่ในความมืด
เหมือนคนที่ตายไปนานแล้ว 7 พระองค์ทรงล้อมข้าพเจ้าไว้ไม่ให้หนีไปได้พระองค์ทรงถ่วงข้าพเจ้าด้วยโซ่ตรวน
8 แม้เมื่อข้าพเจ้าทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือ
พระองค์ไม่ทรงรับฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า 9 พระองค์ทรงวางศิลากั้นทางของข้าพเจ้า
ทรงทำให้หนทางของข้าพเจ้าคดเคี้ยว10 พระองค์ทรงเป็นดั่งหมีที่คอยตะครุบ
ดั่งสิงโตที่ซุ่มอยู่ 11 พระองค์ทรงลากข้าพเจ้าออกจากทางและฉีกข้าพเจ้าเป็นชิ้นๆ
แล้วทิ้งข้าพเจ้าโดยไม่มีใครมาช่วย 12 พระองค์ทรงโก่งคันธนู
เล็งข้าพเจ้าเป็นเป้า 13 ลูกธนูจากแล่งธนูของพระองค์
เสียบทะลุหัวใจของข้าพเจ้า 14 ข้าพเจ้าตกเป็นขี้ปากให้พี่น้องร่วมชาติหัวเราะเยาะ
เขาร้องเพลงล้อเลียนข้าพเจ้าวันยังค่ำ 15 พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้ากินผักรสขมจนอิ่ม
และทำให้ข้าพเจ้าเข็ดขมด้วยบอระเพ็ด 16 พระองค์ทรงเลาะฟันของข้าพเจ้าด้วยกรวด ทรงเหยียบย่ำข้าพเจ้าจมฝุ่นธุลี 17 สันติสุขถูกพรากไปจากใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าลืมไปแล้วว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างไร
18 ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าสูญสิ้นเสียแล้ว และทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าคาดหวังจากองค์พระผู้เป็นเจ้า+ก็พังทลาย” 19 โปรดระลึกถึงความทุกข์ลำเค็ญและการระหกระเหินของข้าพเจ้า
ระลึกถึงความขมขื่นและบอระเพ็ดที่ข้าพเจ้าได้รับ 20 ข้าพเจ้าจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ดีและจิตใจของข้าพเจ้าก็หดหู่อยู่ภายใน 21 ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็หวนคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ข้าพเจ้าจึงมีความหวัง22 เพราะความรักใหญ่หลวงขององค์พระผู้เป็นเจ้า+เราจึงไม่ถูกผลาญทำลายไป เพราะพระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด 23 มีมาใหม่ทุกเช้า ความซื่อสัตย์ของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก (พคค.3:1-23)
อ่านบทความอื่นต่อได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น