วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560

รักษาใจ (ตอนสอง)

          บางครั้งการทดสอบความเชื่ออาจมีประโยชน์ เพราะเป็นโอกาสที่จะสังเกตสภาพหัวใจเรา “ดูก่อน พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี 3เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง 4และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย” (ยก.1:2-4) เส้นทางชีวิตปกติมักเต็มไปด้วยการทดสอบและการทดลอง ซึ่งบางคนอาจแยกไม่ได้ว่าต่างกันอย่างไร การทดสอบ(การพิสูจน์)พระเจ้าทรงทำการทดสอบคริสเตียน เพื่อให้เกิดความหนักแน่น เข้มแข็งขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณ ตัวอย่าง เช่น ความเจ็บป่วย ความผิดหวังเสียใจ ความทุกข์ทรมานใจ และความตายตามธรรมชาติ ส่วนการทดลอง(การล่อลวง)คือทุกสิ่งที่เย้ายวนใจจนนำเราไปสู่การทำความบาป การทดลองมาจากซาตาน เมื่อซาตานล่อลวงเราจงอย่าพูดว่าซาตานทดสอบเรา ซาตานไม่ตั้งใจจะทดสอบเราแม้แต่น้อย ความตั้งใจทั้งหมดของซาตานคือ ทำให้เราหลงผิด อ่อนแอ และพลาดล้มลงในความผิดบาป ดังนั้นเพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราจงอย่าหลงกลของซาตานเป็นอันขาด
          บางครั้งความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านพ้นไป ตามครรลองของชีวิต เช่น การเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ถูกโฉลก หรือเผชิญความยากลำบากในที่ทำงาน เป็นต้น ความทุกข์ยากอาจจะอยู่ล้อมรอบตัวเราในปัจจุบัน และในอนาคตข้างหน้าเป็นความทุกข์ยากที่ต้องเผชิญเป็นระยะยาวนาน เช่น อาการป่วยเรื้อรัง ชีวิตสมรสที่มีปัญหา เป็นต้น ในบางครั้งความทุกข์ยากลำบากดูเหมือนจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ โดยที่เราไม่เข้าใจว่าทำไหมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น เราได้แต่ร้องทูลว่า “พอแล้วพระองค์เจ้าข้า ลูกรับอีกไม่ไหวแล้ว” ความอดทนแถบจะขาดสะบั้น พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานเสียที ทั้งๆ ที่เรารอคำตอบมาเป็นเวลายาวนานแล้ว “ชีวิตเหมือนจะหยุดนิ่งอยู่กับที่” แต่จริงๆ แล้วพระเจ้ากำลังเล็งอะไรบางอย่างในชีวิตของเรา แต่เราไม่อาจทราบได้ “เพราะอับราฮัมมีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อท่านถูกลองใจ ท่านจึงได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา และท่านซึ่งเป็นผู้ได้รับพระสัญญา ก็ได้พร้อมแล้วที่จะถวายบุตรคนเดียวของท่าน” (ฮบ.11:17) อับราฮัมเองก็ได้รับการทดสอบความเชื่อจากพระเจ้า ซึ่งในที่สุด พระเจ้าก็ทรงจัดเตรียมลูกแกะไว้ให้ฆ่าแทนอิสอัค พระองค์ไม่ทรงโปรดให้อับราฮัมทำบาป โดยการฆ่าลูกชายของตนเอง เพราะนั่นเป็นการทำผิดพระบัญญัติของพระองค์ คือ “อย่าฆ่าคน” (อพย.20:13)
          ในการทดสอบมีความน่ายินดี “เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง 4และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย (ยก.1:3-4) ยากอบถือว่าการทดสอบที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นสิ่งที่ดี เพราะการทดลองความเชื่อ  ทำให้เกิด ความหนักแน่นมั่นคง  พระเจ้าลองใจเรา เพื่อให้เรารู้จักตัวเอง เพื่อประโยชน์ของเรา มากไปกว่านั้น พระเจ้าจัดสถานการณ์ต่างๆได้อย่างพอเหมาะกับเรา ซึ่งมันไม่มีมนุษย์หน้าไหนทำได้เช่นพระองค์ เชื่อว่า การทดลองของพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องของการสอบผ่านหรือสอบตก แต่เป็นเรื่องของการรู้จักตัวเอง(รู้ความในใจของตน) ยอมรับตัวเอง และรับการฝึกฝนชีวิต เพื่อเราจะได้แข็งแรงและมั่นคงขึ้นในพระคุณของพระเจ้า ในพระธรรมโรมเปาโลก็ได้รับการดลใจจากพระเจ้าบันทึกข้อความเหมือนกันว่า “ยิ่งกว่านั้น เรา (หรือ ให้เรา) ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน  4และความอดทนทำให้เห็นว่า เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้น ทำให้เกิดมีความหวังใจ 5และความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้า ได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว” (รม.5:3-5) คนที่พบ “การทดสอบ” พบความทุกข์ยาก จะต้องอดทนโดยการพึ่งพระเจ้า เมื่อเราทนได้ เราจะหนักแน่นมั่นคงขึ้น แกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้น การผ่านร้อนผ่านหนาวมา เมื่อเราเชื่อพระเจ้าและยืนหยัดเอาชนะได้ จะทำให้เรามีกำลังทวีขึ้น ความผิดพลาดล้มเหลว มันเป็นเรื่องปกติของชีวิต พระเจ้าทรงครอบครองและควบคุมอยู่ ไม่ใช่ตัวเราแผนการณ์และความคิดอาจจะเป็นของเรา แต่คำตอบมาจากพระเจ้า ไม่ต้องกลัวว่าจะผิดพลาด จงกล้าหาญที่จะยอมรับความล้มเหลว เพราะพระเจ้าทรงใช้ทุกอย่างร่วมกันเพื่อเป็นผลดีแก่เรา พระเจ้าผู้ทรงเฝ้าระวังชีวิตของเราอยู่ไม่เคยหลับ พระองค์พร้อมช่วยเราเสมอ พระเจ้าทรงอยู่ใกล้แค่คืบ พระเจ้าทรงใส่ใจเรา เส้นผมเราทุกเส้นก็ทรงนับไว้แล้ว พระองค์เป็นพระเจ้าของคนเป็น มิใช่คนตาย พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ช่วยเรา พระเจ้าไม่ได้มาเพื่อช่วยคนที่แข็งแรงดี แต่พระองค์มาแสวงหาคนที่บาดเจ็บฟกช้ำ เพื่อช่วยให้เขาหายดี... องค์พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เป็นผู้ดีรอบคอบ” (มธ.5:48) ดังนั้นยากอบ จึงย้ำว่าคนที่ผ่านพ้นความทุกข์ยากมา ดูแลระวังระไวใจตน  จึงเป็นคนดีพร้อม ครบถ้วนสมบูรณ์ และคนเช่นนี้ เปาโล เชื่อว่า “...เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้...” (รม.5:4)  


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

รักษาใจ (ตอนแรก)

จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน 
เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ 
สภษ.4:23
          ใจของคนเรานี้ ดูเหมือนจะใกล้ชิดกับเรามากที่สุด ถ้าเราไม่รู้จักใจเราแล้ว เราจะไปรู้จักอะไรที่ไหนได้ ในความไม่รู้และในความไม่ปฏิบัติ เราจะรู้สึกอย่างนี้กันทั้งนั้น แต่พอมาเริ่มสังเกตดูใจเรา เราจะรู้เลยว่าเป็นสิ่งๆ ยากยิ่งที่สุดในโลก ที่จะรู้ใจตัวเอง บางทีเราว่าเราเฝ้าดูอยู่ไม่คลาดสายตา แต่พอมาดูอีกที  ไม่รู้ อะไรก็ไม่รู้  ไม่ใช่ใจเราหรอก เมื่อเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรจึงจะพอแน่ใจมั่นใจว่า ที่เราตามดูและเห็นอยู่ เป็นใจเราใช่หรือไม่ “...ถึงเค้าความคิดในใจของมนุษย์ล้วนแต่ชั่วตั้งแต่เด็กมา... (ปฐก.8:21) จากพระคำพระเจ้าตรัสความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทราม และความชั่วช้าในธรรมชาติของมนุษย์ แนวโน้นที่จะทำความชั่วนั้นมีมาตั้งแต่เกิด และปรากฏออกมาตั้งแต่ในวัยเด็ก หรือวัยรุ่น จากพันธสัญญาเดิมสู่พันธสัญญาใหม่ พระคัมภีร์ก็ยังคงกล่าวถึงเรื่องนี้โดยพระองค์ได้ตรัสผ่านเปาโลว่า “ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย 11ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า 12เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย 13ลำคอของเขา คือ หลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา 14ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่า และคำเผ็ดร้อน  15เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16ในทางเดินของเขามีความพินาศ และความทุกข์  17และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข 18เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย” (รม.3:10-18) พระคำแสดงให้เห็นความเข้าใจอันถูกต้อง เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ตัวตนของเขาทั้งสิ้นได้รับผลกระทบอย่างมากจากบาป และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปตาม โลก ซาตาน และวิสัยบาป นั้นคือ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความผิด ในการที่หนีออกจาก “ทางของพระเจ้า” ไปสู่วิถีทางแห่ง “ความเห็นแก่ตัว” นี่ก็หมายความว่า หากเราดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ แม้แต่ผู้ที่มีหัวใจดีเยี่ยมก็อาจถูกล่อลวงให้ทำสิ่งชั่วได้ ดังนั้นเราควรใส่ใจต่อคำเตือนนี้ “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” (สภษ.4:23)
          องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านเยเรมีย์ว่า “เราคือพระเจ้าตรวจค้นดูจิต และทดลองดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของเขา ...” (ยรม.17:10) หากหัวใจจำเป็นต้องได้รับการตรวจเป็นประจำ หัวใจเราพร้อมรับการตรวจหรือยัง เราควรจะถามตัวเองว่า...
                                    - เราใช้เวลาส่วนตัวในการเติมเต็มอาหารฝ่ายจิตวิญญาณโดยการเรียนรู้ส่วนตัวอย่างเพียงพอ หรือไม่ “ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย 2แต่ความปีติยินดีของผู้นั้น อยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ ทั้งกลางวันและกลางคืน (สดด.1:1-2)”  และ
                                    - เราได้เข้าร่วมประชุมนมัสการเป็นประจำหรือไม่ “และขอให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกัน ให้มีความรักและทำความดี 25อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่า วันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว”(ฮบ.10:24-25)
          การกระทำทั้งสองอย่างนี้ จะสนับสนุน กระตุ้นให้เราอยากจะประกาศเล่าเรื่องของพระเจ้าแก่ผู้อื่น เยเรมีย์บันทึกว่า ถ้าข้าพระองค์จะกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะไม่อ้างถึงพระองค์ หรือกล่าวในพระนามของพระองค์อีก" ก็มีสิ่งในใจของข้าพระองค์เหมือนไฟไหม้ อัดอยู่ในกระดูกของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็อ่อนเปลี้ยที่ต้องอัดมันไว้ และข้าพระองค์ก็อัดไว้ไม่ไหว” (ยรม.20:9) เช่นเดียวกับเปาโลที่บันทึกว่า “เพราะว่า ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้น เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกต่างชาติด้วย  17เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” (รม.1:16-17) เมื่อเราใช้ชีวิตเรียนรู้ใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า และนำตัวเองเข้าร่วมประชุมนมัสการพระองค์อย่างสม่ำเสมอ สภาพแวดล้อมแบบนี้ หัวใจเราได้รับการกระตุ้นร้อนรนที่จะประการข่าวประเสริฐอย่างแข็งขันแน่นอน หัวใจเราพร้อม ไม่หวั่นไหว ต่อการตรวจสอบขององค์พระผู้เป็นเจ้า


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560

ก้าวใหม่...ด้วยใจที่เข้มแข็ง(ตอนสุดท้าย)

          4. ปรนนิบัติต่อกันด้วยใจจริงอย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว” “จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย” (ฟป.2:4) การปรนนิบัติเป็นการดูแลหรือเลี้ยงดู ให้ความช่วยเหลือ บริการ หรือสนองความต้องการ “จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว”(รม.12:10) องค์พระเยซูคริสต์ทำให้เราทุกคนหลุดพ้นจากการเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ในพระคริสต์เราได้รับการปลดปล่อยให้ปรนนิบัติผู้อื่น รักคนอื่นเหมือนรักตนเอง (กท.5:14) เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้รับชีวิตใหม่ซึ่งเป็นนิรันดร์ และด้วยของขวัญอันดีเลิศนี้ เราจึงมีศักยภาพและฤทธิ์อำนาจในการรับใช้คนอื่นอย่างชื่นชมยินดี ดังนั้นทุกคนที่อุทิศตนในความเชื่อแด่พระเยซูคริสต์ ต้องอุทิศตนแก่พี่น้องคริสเตียนในพระคริสต์ เปาโลได้รับการดลใจถ่ายทอดพระคำว่า “ส่วนเรื่องการรักพี่น้องทั้งหลายนั้น ไม่จำเป็นที่จะให้ใครเขียนถึงท่านอีก เพราะพระเจ้าทรงสอนท่านเอง ให้รักกันอยู่แล้ว 10ความจริงท่านได้ประพฤติต่อพวกพี่น้อง ทั่วแคว้นมาซิโดเนียเช่นนั้นอยู่ แต่พี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวอนท่านให้มีความรักทวีขึ้นอีก”(1ธส 4:9-10) การอุทิศตนต้องกระทำด้วยความรู้สึกที่จริงใจ เมตตาและสุภาพเอ็ดดู เราต้องห่วงใยทั้งในภาวะปกติสุข หรือในยามที่มีความจำเป็น ทั้งสภาพกาย และสภาพจิตวิญญาณของพี่น้อง ด้วยความเห็นอกเห็นใจพวกเขา และช่วยเหลือพวกเขาเมื่อเกิดความทุกข์ใจและมีปัญหา เราต้องให้เกียรติกันและกัน แสดงความนับถือต่อผู้เชื่อคนอื่นๆอย่างกระตือรือร้น
          อาจจะเป็นการยากสำหรับบางคน ที่จะเข้าไปสนิทสนมเป็นเพื่อนกับคนอื่น หากเราอยากจะมีเพื่อนพี่น้องในความเชื่อเดียวกันสักคน เราต้องเริ่มก่อน โดยเปิดเผยตัวเอง เราต้องเริ่มก่อน โดยเปิดเผยตัวเองและทำความรู้จักกับคนอื่น ใช่แล้ว การที่เราจะมีเพื่อนแท้ได้ เราต้องเปิดเผยความรู้สึกของเราให้คนอื่นรู้ หมายความว่าให้พวกเขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา การสื่อความและการเปิดเผยความรู้สึกในลักษณะนี้ สำคัญต่อการมีเพื่อนแท้มากกว่าการมีหน้าตาดีหรือมีบุคลิกภาพที่มีเสน่ห์ นักวิชาการด้านครอบครัวนำเสนอว่า คนที่มีเพื่อนซึ่งผูกพันกันและคบกันได้นาน ๆ อาจเป็นคนขี้อายหรือกล้าแสดงออก เป็นคนหนุ่มสาวหรือคนสูงอายุ น่าเบื่อหรือฉลาด หน้าตาธรรมดาหรือหน้าตาดีก็ได้ แต่ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันหมดก็คือ พวกเขาเป็นคนเปิดเผยจริงใจ พวกเขายอมให้คนอื่นเห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเขา ฉะนั้น อย่าเกร็ง! จงทำตัวตามสบาย การใส่หน้ากากไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น นักวิชาการด้านครอบครัว เขียนว่า ไม่มีอะไรจะทำให้เราดูดีมากไปกว่าการเป็นตัวของตัวเองอย่างจริงใจ คนที่มีความสุขจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำ หรือพยายามทำให้คนอื่นประทับใจ การแสดงความจริงใจเท่านั้นจึงจะทำให้เรามีเพื่อนแท้ได้ ในทำนองเดียวกัน เราก็ต้องยอมให้คนอื่นเป็นตัวของตัวเองด้วย คนที่มีความสุขคือ คนที่ยอมรับคนอื่นอย่างที่เขาเป็นจริง ๆ โดยไม่หงุดหงิดรำคาญใจกับข้อบกพร่องเล็กๆ น้อย ๆ พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อนของเขาให้เข้ากับความคิดเดิมๆ ของตน จงพยายามเป็นคนแบบนี้คือร่าเริงและไม่จู้จี้ขี้บ่น
          องค์พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน” (ลก.6:31) พระองค์ชี้ว่า ปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในทุกรูปแบบประสบความสำเร็จได้ก็คือ ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว วิธีเดียวที่จะมีเพื่อนแท้ก็คือ ตัวคุณเองต้องทำตัวเป็นเพื่อนที่พร้อมจะเสียสละ และไม่เห็นแก่ตัว พูดอีกอย่างคือ เพื่อจะมีเพื่อน จงทำตัวเป็นเพื่อนก่อน เพื่อมิตรภาพจะประสบความสำเร็จได้ มิตรภาพนั้นต้องมีการให้มากกว่าการรับ เราต้องพร้อมจะให้ตามความจำเป็นของเพื่อน มาก่อนความชอบและความสะดวกของตัวเราเอง ความจริงใจเป็นสิ่งพึงปรารถนา ความจริงใจคือ ไม่เสแสร้งหรือหน้าซื่อใจคด; น้ำใสใจจริง; ตรงไปตรงมา; ตรงตามความจริงเห็นได้ชัดว่าคุณลักษณะเช่นนี้เป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น เปาโลได้ตักเตือนว่า ...จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายของตน ตามเนื้อหนังทุกอย่าง ไม่ใช่ตามอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนประจบสอพลอ แต่ทำด้วยน้ำใสใจจริง ด้วยความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า 23ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจ เหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์ (คส.3:22-23) สิ่งที่เปาโลหนุนใจคริสเตียนนั้น คือให้มองดูการกระทำทุกอย่างเป็นเหมือนการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องกระทำเหมือนดั่งว่าพระคริสต์ทรงเป็นนายของเรา โดยรู้ว่าวันหนึ่งเราจะได้รับรางวัลจากการกระทำทุกอย่าง “เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า”  
          หากเปรียบชีวิตเป็นอย่างเรือเดินสมุทร ในปีที่ผ่านมาก็เหมือนกับเรือที่แล่นไปในทะเลเจอทั้งมรสุม เจอทั้งสายลม เจอทั้งแสงแดด บางครั้งเรือก็ลอยลำอยู่นิ่งๆในท้องทะเล...เพราะคลื่นสงบ...แต่บางครั้งเรือก็กำลังจะจมเพราะคลื่นที่ซัดไปมา...แต่สุดท้ายเรือก็แล่นไปถึงฝั่งได้โดยปลอดภัย การที่เรือถึงฝั่งไม่ใช่เป็นการเสร็จสิ้น แต่เป็นการบอกว่าเรือลำนั้นกำลังเริ่มต้น ที่จะออกสู่ท้องทะเลต่อไป ดังนั้นชีวิตของเราก็เช่นกัน..เราไม่สมารถบอกว่าพอแล้ว หรือไม่ไปต่อแล้ว...แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือ..การตั้งเป้าเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ หลักคิดทั้ง สี่ ประการ นี้ น่าจะช่วยกำหนด “ก้าวใหม่...ด้วยใจที่เข้มแข็ง” โดยดึงชีวิตออกมาจากสิ่งเดิมๆ ยอมก้าวออกไป จากจุดเดิมเพิ่มเติมเต็มสิ่งใหม่ๆ...แล้วเราจะรู้ว่าชีวิตใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม...มีค่าเพียงใด ที่ได้ใช้ชีวิตนี้ เพื่อเป็นที่ ถวายเกียรติ และพระสิริ แด่ “องค์พระเยซูคริสต์เจ้า”

เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือ ให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกัน
และกันด้วยอย่างนั้น 35ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวง
ก็จะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา" (ยน.13:34-35)

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2560

ก้าวใหม่...ด้วยใจที่เข้มแข็ง(ตอนสอง)

          2. สามัคคีธรรมด้วยรัก “...มีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน...คิดพร้อมเพรียงกัน” (ฟป.2:2) การสามัคคีธรรมเป็นหนึ่งในน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับคริสเตียนทุกคน ด้วยเหตุนี้ เราควรร่วมกันสร้างการสามัคคีธรรมที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในคริสตจักร ผ่านการเข้าร่วมและการเข้าส่วนในชีวิตเพื่อเสริมสร้างกันและกัน “จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้น ด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ 4 มีกายเดียว และมีพระวิญญาณองค์เดียวเหมือนมีความหวังใจอันเดียวที่เนื่องในการทรงเรียกท่าน 5 มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว 6 พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในคนทั้งปวง” (อฟ.4:3-6) องค์พระผู้เป็นเจ้ามีน้ำพระทัยที่จะให้ เราเพียรพยายามเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะเรามี “เจ็ด” สิ่งที่เหมือนกันคือ เรา “มีกายเดียว พระวิญญาณองค์เดียว ความหวังใจอันเดียว องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว และพระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดา” คริสเตียนทุกคนมีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นพระบิดาของเราทุกคน คริสเตียนทุกคนจึงเป็นพี่น้องกันในครอบครัวของพระเจ้า ดังนั้นในหมู่พี่น้องคริสเตียนจะต้องมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และรักซึ่งกันและกัน
          ภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ฟืนหลายท่อนที่ติดไฟอยู่รวมกันจะสามารถให้ความร้อนได้เป็นระยะเวลานาน แต่หากเราดึงฟืนท่อนหนึ่งออกมา เปลวไฟของฟืนท่อนนั้นจะค่อยๆ มอดแล้วก็ดับลงในที่สุด สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ก็คือ ฟืนท่อนหนึ่งที่ไม่สามารถจะให้ความอบอุ่นหรือแสงสว่างได้อีก ชีวิตคริสเตียนของเราก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคริสเตียนคนอื่นๆ และสิ่งที่จะช่วยให้เรารับใช้พระเจ้าได้อย่างเกิดผลมากขึ้น ก็คือการร่วมรับใช้กับคริสเตียนคนอื่นๆ ดังนั้น การสามัคคีธรรมจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชีวิตคริสเตียน
          3. มีใจถ่อม “จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว” (ฟป.2:3) ด้วยความเห็นแก่ตัวมีมาจากการล้มเหลวของมนุษย์ตั้งแต่ดั้งเดิม จึงส่งผลทุกวันนี้ โลกไม่ได้ยกย่องความถ่อมใจไว้สูง จะตีราคาความถ่อมใจไว้หลัง ชื่อเสียง ฐานะการเงิน ด้วยท่าทีแบบนี้ จึงทำให้คนทำลายศักดิ์ศรีสิ่งที่สำคัญที่พระเจ้าให้ไว้ในตัวมนุษย์ที่มีคุณค่ายิ่ง เหมือนพระคริสต์ที่ทรงยอมถ่อมพระองค์ลงมาเพื่อมนุษย์เพราะเห็นคุณค่าชีวิตของมนุษย์ ความภูมิใจในตนเองเป็นสิ่งที่ดี หากความภูมิใจของตนเองไม่ไปทำร้าย หรือดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น หากความภูมิใจที่มาจากพระเจ้า จะเป็นความภูมิใจแง่บวก ไม่ทำร้ายใคร มีแต่จะช่วยให้คนได้รับสิ่งที่ดีผ่านตนเองจะเป็นความภูมิใจที่ตระหนักว่า แม้แต่ตัวเราเอง หากปราศจากพระเจ้า เราก็ไม่มีอะไรที่จะอวดอ้างได้เลย
          มีถ้อยคำที่เขียนให้เราตระหนักถึงการมีใจถ่อมว่า ยอมแพ้เสียบ้าง ทำลายกำแพงแห่งความถือดีบ้าง จะพบสิ่งดี และได้ดี” “ทุกคนที่เราพบ ล้วนรู้อะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ เพราะฉะนั้น จงเรียนรู้จากเขา” “จงยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น” “อย่าอยู่เฉย ๆ เพราะคิดว่าตัวเองทำได้เล็กน้อย แต่จงทำเท่าที่ทำได้” “จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น เพราะคุณไม่อาจมีชีวิตยาวนานเพียงพอที่จะทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ด้วยตัวคุณเองโบราณท่านเปรียบเทียบไว้ว่า ธรรมดารวงข้าวที่เมล็ดมีเนื้อสมบูรณ์ ย่อมโค้งรวงลงมาอย่างงดงามน่าดู ส่วนรวงข้าวที่ปราศจากเมล็ด ไม่สมบูรณ์หรือปราศจากเนื้อ ย่อมชูชันปลายรวงชี้ขึ้นฟ้าฉันใด คนที่มีคิดแต่สิ่งดีในตัวเองนั้น ย่อมโค้งศรีษะ พนมมือไหว้หรือแสดงอาการอ่อนน้อมให้แก่คนทุกชั้น ส่วนคนที่ขาดสมบัตินี้ ย่อมทำตนเป็นคนแข็งกระด้าง ไม่ยอมค้อมหัวให้แก่ผู้ใด พึงรู้ไว้เถิดว่า การแสดงความเคารพหรือโค้งศรีษะ พนมมือไหว้ ให้แก่คนทั่วไปนั้น ไม่ใช่แสดงถึงความอ่อนแอหรือเกรงกลัวคน  แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงสมบัติผู้ดีที่มีอยู่ในตน เหตุฉะนั้น ในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้  เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก  จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน(คส.3:12) ผู้ดำเนินชีวิตคริสเตียนเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและเลือกไว้ เป็นกลุ่มที่พระเจ้าทรงรัก ควรสำนึกในพระคุณของพระองค์ที่เกิดขึ้นกับชีวิต ต้องเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ โดยมีใจเมตตา มีใจปรานี มีใจถ่อม มีใจอ่อนสุภาพ และมีใจอดทน ชีวิตก็จะเป็นคนที่รู้จักพอ ไม่ทะเยอทะยาน มองคนอื่น และมองโลกในแง่ดี รู้จักเอาชนะใจตนเอง  มีความสุขุมรอบคอบ เราก็จะเป็นที่รักและเอ็นดูของผู้ใหญ่ เป็นที่รักของคนรอบข้าง แล้วชีวิตและหน้าที่การงานก็จะประสบความสำเร็จมีความก้าวหน้า
  

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560

ก้าวใหม่...ด้วยใจที่เข้มแข็ง(ตอนแรก)


 แต่พระองค์ก็ได้ทรงประทานพระคุณเพิ่มขึ้นอีก 
เหตุฉะนั้นพระคัมภีร์จึงกล่าวว่า
พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง 
แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม
(ยก.4:6)

          เมื่อปีใหม่ มาถึง เราก็ไม่ควรคาดหวังเพียงแค่ ความสนุกสนานรื่นเริงหรือการได้บริโภคสิ่งใหม่ๆ แต่ควรเป็นโอกาสสำหรับ การมอบสิ่งใหม่ให้แก่จิตวิญญาณ รวมทั้งการเร่งทบทวนตนเองที่เคย ผัดวัน    ประกันพรุ่ง เพราะสิ่งเหล่านี้ต่างหาก ที่จะทำให้เรามีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง ถือเป็นจังหวะของชีวิตของเราด้วยเช่นกัน มันเป็นจุดตัดสินใจโดยใช้ความคิดของเรา เอาชนะใจของตนเองให้ได้ มันเป็นความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นมาจากที่เดิม เพื่อมุ่งเดินไปตามทางแห่งชีวิต มันเป็นการขวนขวายที่จะไม่ทำตามความสบายของใจ และหันกลับมาสร้างวินัยแห่งชีวิตเพื่อให้หันเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่มีคำว่าสายกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นได้เสมอ ๆ เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงในสิ่งเล็ก ๆ น้อยๆ ก่อนจนชำนาญ จนกว่าจะมั่นใจในชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ แล้วเริ่มทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้น ยากขึ้นไปตามลำดับ
          ก่อนที่เราจะก้าวเข้าสู่ชีวิตในปีต่อไป น่าจะหันกลับมองการดำเนินชีวิตสาวกของเรา ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เราได้มอบชีวิตนี้เพื่อการรับใช้พระเจ้ามากน้อยแค่ไหน เราส่วนใหญ่มักจะรู้สึกว่าเรายังไม่ดีพอ และยังไม่พร้อมจนกระทั้งคิดว่า เรายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ เราอาจจะคิดว่า “ฉันไม่มีอะไรดีที่จะให้ชีวิตของฉันเอง ยังสับสนและยุ่งเหยิงอยู่เลย ชีวิตแต่งงานก็กำลังมีปัญหา ฉันวิตกกังวลกับลูกๆ การเงินก็ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง  ฉันต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อไม่ให้ถูกไล่ออก ความสัมพันธ์ของฉันกับพระคริสต์ก็ไม่ดีเท่าที่ควรดูเหมือนฉันไม่เคยได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระองค์ ฉันมีอะไรดีพอที่จะให้กับคนอื่นได้บ้างล่ะ แค่นี้ฉันก็ยุ่งมากเกินกว่าที่จะมีเวลาคิดถึงสิ่งอื่นๆ อีกแล้ว” แล้วเราจะเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณได้อย่างไรเล่า ในฟีลิปปี บทที่ สอง ข้อ หนึ่งถึงสี่ หากเรานำมาศึกษาใคร่ครวญ และปฏิบัติตาม จะหนุนจิตชูใจเรามีชีวิตที่ เติบโต เข้มแข็ง และเกิดผล ในทางของพระคริสต์ได้ “เหตุฉะนั้น ถ้าชีวิตในพระคริสต์อำนวยการเร้าใจประการใด ถ้ามีการหนุนใจประการใดในความรัก ถ้ามีส่วนประการใดกับพระวิญญาณ ถ้ามีการรักใคร่เอ็นดู และเห็นอกเห็นใจประการใด ก็ขอให้ท่านทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม ด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีใจรู้สึก และคิดพร้อมเพรียงกัน 3อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกัน หรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว 4อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย”(ฟป.2:1-4)
  
          1. ให้พระคริสต์เป็นศูนย์กลาง “...ชีวิตในพระคริสต์อำนวยการเร้าใจ...”
                   “พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย 2อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”(รม.12:1-2) สิ่งแรก ที่เราต้องกระทำเพื่อให้พระคริสต์เป็นศูนย์กลางคือ “การถวายตัว” เปาโลใช้คำว่า วิงวอน เป็นการขอร้องและเห็นเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญจริงจัง เพราะรู้ซึ้งถึงพระคุณ พระเมตตาของพระเจ้าอันหาที่สุดไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องกตัญญูต่อพระเจ้า มีท่าทีที่ถูกต้องในการตอบสนองพระคุณนี้ “ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านถวายตัว เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์” เราต้องตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยใน ความรัก การอุทิศตน การสรรเสริญ และความบริสุทธิ์ และถวายร่างกายของตนเพื่อการปรนิบัติพระองค์ ในเลวีนิติเครื่องบูชาที่นำมาถวายเพื่อไถ่บาปต้องไม่มีตำหนิคัดอย่างพิถีพิถัน เครื่องบูชาในเลวีนิติเป็นเครื่องบูชาที่ไม่มีชีวิต และสัตว์ แต่เครื่องบูชาที่ เปาโลวิงวอนให้เราทั้งหลาย ถวาย คือ ชีวิตของเราที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีชีวิตที่บริสุทธิ์ เป็นร่างกายอย่างกายที่ตายต่อบาป และอย่างกายที่เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์แด่พระเจ้า ให้พระองค์ครอบครองทั้งหมด สิ่งที่สองคือ “รับการเปลี่ยนแปลง” เปาโลเตือนเราทั้งหลายว่า ...อย่าประพฤติตาม อย่างคนในยุคนี้... (2ทธ.3:2-5) มนุษย์ยุคนี้ จะเห็นแก่ตัว รักตนเอง , รักเงิน , ไม่รักพระเจ้า , รักความสนุกสนาน ถือศาสนาแต่เปลือกนอก เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเองได้ ต้องรับการเปลี่ยนแปลงและขอกำลังจากพระเจ้า ต้องอยู่เพื่อพระเจ้า นมัสการพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ อยู่ข้างพระองค์ในการต่อต้านบาป และอยู่ข้างความชอบธรรม ต่อสู้ และเกลียดชังความชั่ว กระทำกิจแห่งความเมตตาต่อผู้อื่น เลียนแบบพระคริสต์ติดตามพระองค์ เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดให้สอดคล้องกับความคิดของพระเจ้า(สดด.119:11 ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์)

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/