4.
ปรนนิบัติต่อกันด้วยใจจริง “อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว”
“จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย” (ฟป.2:4) การปรนนิบัติเป็นการดูแลหรือเลี้ยงดู
ให้ความช่วยเหลือ บริการ หรือสนองความต้องการ “จงรักกันฉันพี่น้อง
ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว”(รม.12:10) องค์พระเยซูคริสต์ทำให้เราทุกคนหลุดพ้นจากการเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง
ในพระคริสต์เราได้รับการปลดปล่อยให้ปรนนิบัติผู้อื่น รักคนอื่นเหมือนรักตนเอง (กท.5:14) เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้รับชีวิตใหม่ซึ่งเป็นนิรันดร์
และด้วยของขวัญอันดีเลิศนี้
เราจึงมีศักยภาพและฤทธิ์อำนาจในการรับใช้คนอื่นอย่างชื่นชมยินดี ดังนั้นทุกคนที่อุทิศตนในความเชื่อแด่พระเยซูคริสต์
ต้องอุทิศตนแก่พี่น้องคริสเตียนในพระคริสต์
เปาโลได้รับการดลใจถ่ายทอดพระคำว่า “ส่วนเรื่องการรักพี่น้องทั้งหลายนั้น
ไม่จำเป็นที่จะให้ใครเขียนถึงท่านอีก เพราะพระเจ้าทรงสอนท่านเอง ให้รักกันอยู่แล้ว
10ความจริงท่านได้ประพฤติต่อพวกพี่น้อง
ทั่วแคว้นมาซิโดเนียเช่นนั้นอยู่ แต่พี่น้องทั้งหลาย
เราขอวิงวอนท่านให้มีความรักทวีขึ้นอีก”(1ธส 4:9-10) การอุทิศตนต้องกระทำด้วยความรู้สึกที่จริงใจ
เมตตาและสุภาพเอ็ดดู เราต้องห่วงใยทั้งในภาวะปกติสุข
หรือในยามที่มีความจำเป็น ทั้งสภาพกาย และสภาพจิตวิญญาณของพี่น้อง
ด้วยความเห็นอกเห็นใจพวกเขา และช่วยเหลือพวกเขาเมื่อเกิดความทุกข์ใจและมีปัญหา
เราต้องให้เกียรติกันและกัน แสดงความนับถือต่อผู้เชื่อคนอื่นๆอย่างกระตือรือร้น
อาจจะเป็นการยากสำหรับบางคน
ที่จะเข้าไปสนิทสนมเป็นเพื่อนกับคนอื่น หากเราอยากจะมีเพื่อนพี่น้องในความเชื่อเดียวกันสักคน
เราต้องเริ่มก่อน โดยเปิดเผยตัวเอง เราต้องเริ่มก่อน โดยเปิดเผยตัวเองและทำความรู้จักกับคนอื่น
ใช่แล้ว การที่เราจะมีเพื่อนแท้ได้ เราต้องเปิดเผยความรู้สึกของเราให้คนอื่นรู้
หมายความว่าให้พวกเขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา
การสื่อความและการเปิดเผยความรู้สึกในลักษณะนี้ สำคัญต่อการมีเพื่อนแท้มากกว่าการมีหน้าตาดีหรือมีบุคลิกภาพที่มีเสน่ห์
นักวิชาการด้านครอบครัวนำเสนอว่า “คนที่มีเพื่อนซึ่งผูกพันกันและคบกันได้นาน
ๆ อาจเป็นคนขี้อายหรือกล้าแสดงออก เป็นคนหนุ่มสาวหรือคนสูงอายุ น่าเบื่อหรือฉลาด หน้าตาธรรมดาหรือหน้าตาดีก็ได้
แต่ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันหมดก็คือ พวกเขาเป็นคนเปิดเผยจริงใจ
พวกเขายอมให้คนอื่นเห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเขา” ฉะนั้น
อย่าเกร็ง! จงทำตัวตามสบาย การใส่หน้ากากไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น นักวิชาการด้านครอบครัว
เขียนว่า “ไม่มีอะไรจะทำให้เราดูดีมากไปกว่าการเป็นตัวของตัวเองอย่างจริงใจ”
คนที่มีความสุขจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำ หรือพยายามทำให้คนอื่นประทับใจ
การแสดงความจริงใจเท่านั้นจึงจะทำให้เรามีเพื่อนแท้ได้ ในทำนองเดียวกัน เราก็ต้องยอมให้คนอื่นเป็นตัวของตัวเองด้วย
คนที่มีความสุขคือ คนที่ยอมรับคนอื่นอย่างที่เขาเป็นจริง ๆ โดยไม่หงุดหงิดรำคาญใจกับข้อบกพร่องเล็กๆ
น้อย ๆ พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อนของเขาให้เข้ากับความคิดเดิมๆ ของตน
จงพยายามเป็นคนแบบนี้คือร่าเริงและไม่จู้จี้ขี้บ่น
องค์พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
“จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน” (ลก.6:31)
พระองค์ชี้ว่า ปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในทุกรูปแบบประสบความสำเร็จได้ก็คือ
ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว วิธีเดียวที่จะมีเพื่อนแท้ก็คือ ตัวคุณเองต้องทำตัวเป็นเพื่อนที่พร้อมจะเสียสละ
และไม่เห็นแก่ตัว พูดอีกอย่างคือ เพื่อจะมีเพื่อน จงทำตัวเป็นเพื่อนก่อน
เพื่อมิตรภาพจะประสบความสำเร็จได้ มิตรภาพนั้นต้องมีการให้มากกว่าการรับ
เราต้องพร้อมจะให้ตามความจำเป็นของเพื่อน มาก่อนความชอบและความสะดวกของตัวเราเอง ความจริงใจเป็นสิ่งพึงปรารถนา
“ความจริงใจ” คือ “ไม่เสแสร้งหรือหน้าซื่อใจคด; น้ำใสใจจริง; ตรงไปตรงมา; ตรงตามความจริง” เห็นได้ชัดว่าคุณลักษณะเช่นนี้เป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น
เปาโลได้ตักเตือนว่า “...จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายของตน
ตามเนื้อหนังทุกอย่าง ไม่ใช่ตามอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนประจบสอพลอ
แต่ทำด้วยน้ำใสใจจริง ด้วยความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า 23ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด
ก็จงทำด้วยความเต็มใจ เหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์” (คส.3:22-23) สิ่งที่เปาโลหนุนใจคริสเตียนนั้น
คือให้มองดูการกระทำทุกอย่างเป็นเหมือนการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า
เราต้องกระทำเหมือนดั่งว่าพระคริสต์ทรงเป็นนายของเรา
โดยรู้ว่าวันหนึ่งเราจะได้รับรางวัลจากการกระทำทุกอย่าง “เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า”
หากเปรียบชีวิตเป็นอย่างเรือเดินสมุทร
ในปีที่ผ่านมาก็เหมือนกับเรือที่แล่นไปในทะเลเจอทั้งมรสุม เจอทั้งสายลม
เจอทั้งแสงแดด บางครั้งเรือก็ลอยลำอยู่นิ่งๆในท้องทะเล...เพราะคลื่นสงบ...แต่บางครั้งเรือก็กำลังจะจมเพราะคลื่นที่ซัดไปมา...แต่สุดท้ายเรือก็แล่นไปถึงฝั่งได้โดยปลอดภัย
การที่เรือถึงฝั่งไม่ใช่เป็นการเสร็จสิ้น
แต่เป็นการบอกว่าเรือลำนั้นกำลังเริ่มต้น ที่จะออกสู่ท้องทะเลต่อไป ดังนั้นชีวิตของเราก็เช่นกัน..เราไม่สมารถบอกว่าพอแล้ว
หรือไม่ไปต่อแล้ว...แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือ..การตั้งเป้าเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ หลักคิดทั้ง
สี่ ประการ นี้ น่าจะช่วยกำหนด “ก้าวใหม่...ด้วยใจที่เข้มแข็ง” โดยดึงชีวิตออกมาจากสิ่งเดิมๆ
ยอมก้าวออกไป จากจุดเดิมเพิ่มเติมเต็มสิ่งใหม่ๆ...แล้วเราจะรู้ว่าชีวิตใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม...มีค่าเพียงใด
ที่ได้ใช้ชีวิตนี้ เพื่อเป็นที่ ถวายเกียรติ และพระสิริ แด่ “องค์พระเยซูคริสต์เจ้า”
เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย
คือ ให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร
เจ้าจงรักกัน
และกันด้วยอย่างนั้น 35ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน
ดังนี้แหละคนทั้งปวง
ก็จะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา"
(ยน.13:34-35)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น