จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน
เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ
สภษ.4:23
ใจของคนเรานี้
ดูเหมือนจะใกล้ชิดกับเรามากที่สุด ถ้าเราไม่รู้จักใจเราแล้ว
เราจะไปรู้จักอะไรที่ไหนได้ ในความไม่รู้และในความไม่ปฏิบัติ เราจะรู้สึกอย่างนี้กันทั้งนั้น
แต่พอมาเริ่มสังเกตดูใจเรา เราจะรู้เลยว่าเป็นสิ่งๆ ยากยิ่งที่สุดในโลก ที่จะรู้ใจตัวเอง
บางทีเราว่าเราเฝ้าดูอยู่ไม่คลาดสายตา แต่พอมาดูอีกที ไม่รู้ อะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่ใจเราหรอก เมื่อเป็นอย่างนี้
ทำอย่างไรจึงจะพอแน่ใจมั่นใจว่า ที่เราตามดูและเห็นอยู่ เป็นใจเราใช่หรือไม่ “...ถึงเค้าความคิดในใจของมนุษย์ล้วนแต่ชั่วตั้งแต่เด็กมา...” (ปฐก.8:21) จากพระคำพระเจ้าตรัสความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทราม และความชั่วช้าในธรรมชาติของมนุษย์
แนวโน้นที่จะทำความชั่วนั้นมีมาตั้งแต่เกิด และปรากฏออกมาตั้งแต่ในวัยเด็ก
หรือวัยรุ่น จากพันธสัญญาเดิมสู่พันธสัญญาใหม่ พระคัมภีร์ก็ยังคงกล่าวถึงเรื่องนี้โดยพระองค์ได้ตรัสผ่านเปาโลว่า
“ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว
ไม่มีเลย 11ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า 12เขาทุกคนหลงผิดไปหมด
เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย 13ลำคอของเขา
คือ หลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง
พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา 14ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่า และคำเผ็ดร้อน 15เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด
16ในทางเดินของเขามีความพินาศ และความทุกข์ 17และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข 18เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย”
(รม.3:10-18) พระคำแสดงให้เห็นความเข้าใจอันถูกต้อง เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์
โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ตัวตนของเขาทั้งสิ้นได้รับผลกระทบอย่างมากจากบาป
และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปตาม โลก ซาตาน และวิสัยบาป นั้นคือ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความผิด ในการที่หนีออกจาก “ทางของพระเจ้า”
ไปสู่วิถีทางแห่ง “ความเห็นแก่ตัว” นี่ก็หมายความว่า
หากเราดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ
แม้แต่ผู้ที่มีหัวใจดีเยี่ยมก็อาจถูกล่อลวงให้ทำสิ่งชั่วได้
ดังนั้นเราควรใส่ใจต่อคำเตือนนี้ “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน
เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” (สภษ.4:23)
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านเยเรมีย์ว่า “เราคือพระเจ้าตรวจค้นดูจิต
และทดลองดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของเขา ...”
(ยรม.17:10) หากหัวใจจำเป็นต้องได้รับการตรวจเป็นประจำ
หัวใจเราพร้อมรับการตรวจหรือยัง เราควรจะถามตัวเองว่า...
- เราใช้เวลาส่วนตัวในการเติมเต็มอาหารฝ่ายจิตวิญญาณโดยการเรียนรู้ส่วนตัวอย่างเพียงพอ
หรือไม่ “ความสุขเป็นของบุคคล
ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป
หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย 2แต่ความปีติยินดีของผู้นั้น
อยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ ทั้งกลางวันและกลางคืน (สดด.1:1-2)” และ
-
เราได้เข้าร่วมประชุมนมัสการเป็นประจำหรือไม่ “และขอให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร
จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกัน ให้มีความรักและทำความดี
25อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น
เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่า วันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว”(ฮบ.10:24-25)
การกระทำทั้งสองอย่างนี้
จะสนับสนุน กระตุ้นให้เราอยากจะประกาศเล่าเรื่องของพระเจ้าแก่ผู้อื่น เยเรมีย์บันทึกว่า
“ถ้าข้าพระองค์จะกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าจะไม่อ้างถึงพระองค์ หรือกล่าวในพระนามของพระองค์อีก"
ก็มีสิ่งในใจของข้าพระองค์เหมือนไฟไหม้ อัดอยู่ในกระดูกของข้าพระองค์
และข้าพระองค์ก็อ่อนเปลี้ยที่ต้องอัดมันไว้ และข้าพระองค์ก็อัดไว้ไม่ไหว” (ยรม.20:9)
เช่นเดียวกับเปาโลที่บันทึกว่า “เพราะว่า ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ
เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้น เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า
เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกต่างชาติด้วย 17เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น
ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ
ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” (รม.1:16-17)
เมื่อเราใช้ชีวิตเรียนรู้ใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า
และนำตัวเองเข้าร่วมประชุมนมัสการพระองค์อย่างสม่ำเสมอ สภาพแวดล้อมแบบนี้
หัวใจเราได้รับการกระตุ้นร้อนรนที่จะประการข่าวประเสริฐอย่างแข็งขันแน่นอน หัวใจเราพร้อม ไม่หวั่นไหว ต่อการตรวจสอบขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น