วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

รักษาใจ (ตอนแรก)

จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน 
เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ 
สภษ.4:23
          ใจของคนเรานี้ ดูเหมือนจะใกล้ชิดกับเรามากที่สุด ถ้าเราไม่รู้จักใจเราแล้ว เราจะไปรู้จักอะไรที่ไหนได้ ในความไม่รู้และในความไม่ปฏิบัติ เราจะรู้สึกอย่างนี้กันทั้งนั้น แต่พอมาเริ่มสังเกตดูใจเรา เราจะรู้เลยว่าเป็นสิ่งๆ ยากยิ่งที่สุดในโลก ที่จะรู้ใจตัวเอง บางทีเราว่าเราเฝ้าดูอยู่ไม่คลาดสายตา แต่พอมาดูอีกที  ไม่รู้ อะไรก็ไม่รู้  ไม่ใช่ใจเราหรอก เมื่อเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรจึงจะพอแน่ใจมั่นใจว่า ที่เราตามดูและเห็นอยู่ เป็นใจเราใช่หรือไม่ “...ถึงเค้าความคิดในใจของมนุษย์ล้วนแต่ชั่วตั้งแต่เด็กมา... (ปฐก.8:21) จากพระคำพระเจ้าตรัสความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทราม และความชั่วช้าในธรรมชาติของมนุษย์ แนวโน้นที่จะทำความชั่วนั้นมีมาตั้งแต่เกิด และปรากฏออกมาตั้งแต่ในวัยเด็ก หรือวัยรุ่น จากพันธสัญญาเดิมสู่พันธสัญญาใหม่ พระคัมภีร์ก็ยังคงกล่าวถึงเรื่องนี้โดยพระองค์ได้ตรัสผ่านเปาโลว่า “ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย 11ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า 12เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย 13ลำคอของเขา คือ หลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา 14ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่า และคำเผ็ดร้อน  15เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16ในทางเดินของเขามีความพินาศ และความทุกข์  17และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข 18เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย” (รม.3:10-18) พระคำแสดงให้เห็นความเข้าใจอันถูกต้อง เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ตัวตนของเขาทั้งสิ้นได้รับผลกระทบอย่างมากจากบาป และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปตาม โลก ซาตาน และวิสัยบาป นั้นคือ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความผิด ในการที่หนีออกจาก “ทางของพระเจ้า” ไปสู่วิถีทางแห่ง “ความเห็นแก่ตัว” นี่ก็หมายความว่า หากเราดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ แม้แต่ผู้ที่มีหัวใจดีเยี่ยมก็อาจถูกล่อลวงให้ทำสิ่งชั่วได้ ดังนั้นเราควรใส่ใจต่อคำเตือนนี้ “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” (สภษ.4:23)
          องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านเยเรมีย์ว่า “เราคือพระเจ้าตรวจค้นดูจิต และทดลองดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของเขา ...” (ยรม.17:10) หากหัวใจจำเป็นต้องได้รับการตรวจเป็นประจำ หัวใจเราพร้อมรับการตรวจหรือยัง เราควรจะถามตัวเองว่า...
                                    - เราใช้เวลาส่วนตัวในการเติมเต็มอาหารฝ่ายจิตวิญญาณโดยการเรียนรู้ส่วนตัวอย่างเพียงพอ หรือไม่ “ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย 2แต่ความปีติยินดีของผู้นั้น อยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ ทั้งกลางวันและกลางคืน (สดด.1:1-2)”  และ
                                    - เราได้เข้าร่วมประชุมนมัสการเป็นประจำหรือไม่ “และขอให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกัน ให้มีความรักและทำความดี 25อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่า วันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว”(ฮบ.10:24-25)
          การกระทำทั้งสองอย่างนี้ จะสนับสนุน กระตุ้นให้เราอยากจะประกาศเล่าเรื่องของพระเจ้าแก่ผู้อื่น เยเรมีย์บันทึกว่า ถ้าข้าพระองค์จะกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะไม่อ้างถึงพระองค์ หรือกล่าวในพระนามของพระองค์อีก" ก็มีสิ่งในใจของข้าพระองค์เหมือนไฟไหม้ อัดอยู่ในกระดูกของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็อ่อนเปลี้ยที่ต้องอัดมันไว้ และข้าพระองค์ก็อัดไว้ไม่ไหว” (ยรม.20:9) เช่นเดียวกับเปาโลที่บันทึกว่า “เพราะว่า ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้น เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกต่างชาติด้วย  17เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” (รม.1:16-17) เมื่อเราใช้ชีวิตเรียนรู้ใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า และนำตัวเองเข้าร่วมประชุมนมัสการพระองค์อย่างสม่ำเสมอ สภาพแวดล้อมแบบนี้ หัวใจเราได้รับการกระตุ้นร้อนรนที่จะประการข่าวประเสริฐอย่างแข็งขันแน่นอน หัวใจเราพร้อม ไม่หวั่นไหว ต่อการตรวจสอบขององค์พระผู้เป็นเจ้า


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น