วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ตรงไปเลย(ตอนสุดท้าย)

ภายใต้พันธสัญญาเดิม ความรอดและความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้มาโดยความเชื่อที่แสดงออกโดยการเชื่อฟังบทบัญญัติของพระองค์ และระบบการถวายเครื่องบูชา เครื่องบูชาในพันธสัญญาเดิมมีความมุ่งหมาย ๓ ประการคือ ประการแรก พระเจ้าต้องการสอนประชากรของพระองค์ ให้รู้จักความรุนแรงของบาป บาปแยกมนุษย์ออกจากพระเจ้าผู้ซึ่งทรงความบริสุทธิ์ และการคืนดีกันเพื่อที่มนุษย์จะได้รับการอภัยบาปก็โดยทางการหลั่งเลือดเท่านั้น(อพย.๑๒:๓-๑๔) ประการที่สอง เป็นการจัดเตรียมหนทางให้ชนชาติอิสราเอลเข้าหาพระเจ้าได้โดย ความเชื่อ การเชื่อฟัง และความรัก(ฮบ.๔:๑๖) และประการที่สาม เป็นการชี้ให้เห็นหรือเป็นเงาเล็งถึง เครื่องบูชาอันสมบูรณ์ของพระเยซูคริสต์เพื่อไถ่บาปของมวลมนุษย์(๑ปต.๑:๑๘-๑๙) จากเหตุผลประการที่สาม เยเรมีย์พยากรณ์ว่าในอนาคตพระเจ้าจะทรงทำพันธสัญญาใหม่ที่ดีกว่ากับประชากรของพระองค์ “พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ 32ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ 33แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา 34และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตนและพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า 'จงรู้จักพระเจ้า' เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาทั้งหลายอีกต่อไป"(ยรม.๓๑:๓๑-๓๔) เป็นพันธสัญญาที่ดีกว่าเดิม เพราะมีการให้อภัยบาปแก่ผู้กลับใจให้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ให้ใจ และธรรมชาติใหม่ เพื่อเราจะรัก และเชื่อฟังพระองค์โดยไม่ลังเลใจ(ฮบ.๘:๑๐)องค์พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา 7ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์"(ยน.๑๔:๖-๗) พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้สถาปนาพันธสัญญาใหม่ และพระราชกิจในสวรรค์ของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่กว่าการรับใช้ของเหล่าปุโรหิตบนโลกในพันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่เป็นข้อตกลง ที่บ่งบอกพระประสงค์ในการมอบพระคุณ และพระพรของพระเจ้าลงมาเหนือผู้ที่ตอบสนองต่อพระเจ้าด้วยความเชื่อที่เชื่อฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพันธสัญญาแห่งพระสัญญาสำหรับผู้ที่ยอมรับ พระเยซูคริสต์โดยความเชื่อว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า รับพระสัญญาของพระองค์ และอุทิศตนแด่พระองค์ และมีความรับผิดชอบในพันธสัญญาใหม่เป็นการส่วนตัว  
        “เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้แล้วว่า "เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆและเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาลบบาป (ที่เขาได้บูชาตามพระบัญญัตินั้น) พระองค์ไม่ทรงประสงค์และไม่ทรงพอพระทัย 9แล้วพระองค์จึงตรัสว่า "ข้าพระองค์มาแล้วพระเจ้าข้า เพื่อจะกระทำตามน้ำพระทัยพระองค์ พระองค์ทรงยกเลิกระบบเดิมนั้นเสีย เพื่อจะทรงตั้งระบบใหม่ 10และโดยน้ำพระทัยนั้นเองที่เราทั้งหลายได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น 11ฝ่ายปุโรหิตทุกคนก็ยืนปฏิบัติกิจอยู่ทุกวัน โดยการนำเครื่องบูชาอย่างเดียวกันมาถวายเนืองๆเครื่องบูชานั้นจะลบล้างบาปไม่ได้เลย 12แต่เมื่อพระคริสต์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องสัตวบูชา เพราะบาปเพียงครั้งเดียวเป็นเครื่องบูชาที่ลบบาปได้ตลอดไป พระองค์ก็เสด็จประทับเบื้องขวาของพระเจ้า 14โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นถึงความสมบูรณ์เป็นนิตย์”(ฮบ.๑๐:๘-๑๒,๑๔) องค์พระเยซูคริสต์ในฐานะคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ ตั้งอยู่บนพื้นฐานการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชา เครื่องบูชาของพระเยซูคริสต์ดีกว่าเครื่องบูชาในพันธสัญญาเดิม เพราะเป็นเครื่องบูชาที่ถวายด้วยความสมัครใจ และการเชื่อฟังของผู้ชอบธรรมผู้หนึ่งแทนที่จะเป็นสัตว์ที่ไม่ได้สมัครใจเป็นเครื่องถวายบูชา เครื่องบูชาของพระคริสต์ และการกระทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ เป็นสิ่งที่สมบูรณ์ครบถ้วน ดังนั้น จึงเปิดทางไปสู่การอภัยบาป การกลับคืนดี และการชำระให้บริสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุผลนี้ย่อมพูดได้ว่า “พระองค์คือทางที่จะไปถึงที่นั้น” ถึงแม้เราไม่รู้ว่าที่ประทับของพระบิดาอยู่ตรงไหนของจักรวาลนี้ แต่โดยทางพระเยซูคริสต์ เราจะสามารถไปที่นั้นได้ และสามารถเข้าไปอยู่ที่สวรรค์ได้ด้วย เพราะเรารู้จักกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าของสวรรค์ นั้นคือ การที่เรารู้จักพระเยซูคริสต์ก็เท่ากับเรารู้จักกับพระเจ้าด้วย(ยน.๑๔:๗) ..................... เอเมน

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

ตรงไปเลย(ตอนแรก)

แต่เมื่อพระคริสต์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องสัตวบูชา
เพราะบาปเพียงครั้งเดียวเป็นเครื่องบูชาที่ลบบาปได้ตลอดไป
พระองค์ก็เสด็จประทับเบื้องขวาของพระเจ้า (ฮบ.10:12)

บทอ่าน ฮบ.๑๐:๑-๓๙
        เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงดลใจให้ อ.มัทธิว เขียนพระกิตติคุณขึ้น พระกิตติคุณของ อ.มัทธิว ถ่ายทอดออกมาในลักษณะของการเติมเต็มให้สมบูรณ์ พระเยซูคริสต์สำแดงออกมาในฐานะผู้ที่ทำให้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมสำเร็จ เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างพันธสัญญาทั้งสองภาค ระหว่างการเตรียม และการสำเร็จอย่างสมบูรณ์ พระเยซูในฐานะการเติมเต็มที่ทำให้คำพยากรณ์ต่างๆ เป็นจริง คือ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้าที่รอคอยได้มาถึงแล้ว พระเยซูคริสต์ ตรัสว่า“อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มธ.๕:๑๗-๑๘,๒๐)
ในสายตาคนร่วมสมัยกับพระเยซูคริสต์อาจจะดูว่าพระองค์เหมือนจะไม่ให้ความเคารพต่อพระบัญญัติ อย่างเช่น การทำผิดกฎวันสะบาโต การดูถูกกฎของความบริสุทธิ์ที่ได้จากพิธีกรรม และการเมินเฉยต่อบัญญัติของการถืออดอาหาร แต่พระองค์ย้ำว่าพระองค์นั้นเคารพบัญญัติของพระเจ้าเสมอ  เหมือนที่พระองค์ตรัสใน มัทธิวบทที่๕ข้อ๑๗ข้อ๑๘และข้อ๒๐ สาวกของพระองค์เองคงสงสัยเหมือนกันว่าพวกเขาจะชอบธรรมมากกว่าพวกฟาริสีที่เป็นพวกชอบธรรมที่สุดในโลก แล้วด้วยสาเหตุอะไรผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ จึงมีความชอบธรรมมากกว่าพวกที่ชอบธรรมที่สุดในโลก แต่ความชอบธรรมของคริสเตียน ชอบธรรมกว่าของฟาริสีเพราะมีความล้ำลึกมากกว่าพระองค์กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ 22เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า "อ้ายโง่" ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า "อ้ายบ้า" ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก 23เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน 24จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน 25จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ 26เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้กว่าจะได้ใช้หนี้จนครบ 27"ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา 28ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว 29ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวหลงผิด จงควักออกทิ้งเสียเพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวของท่านจะต้องลงนรก30ถ้ามือข้างขวาทำให้หลงผิด จงตัดทิ้งเสียเพราะถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก”(มธ.๕:๒๑-๓๐) สิ่งนี้เป็นความชอบธรรมทางจิตใจ เป็นความชอบธรรมที่ไม่ได้มาจากคำพูด และการกระทำเท่านั้น แต่ด้วยความคิดและจุดมุ่งหมาย ดังนั้นโดยความเข้าใจเช่นนี้พระองค์จึงเป็นส่วนที่เติมเต็มให้แก่ธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงนำไปถึงจุดจบที่สมเหตุสมผล

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ทุกอย่างกำหนด...แล้ว(สุดท้าย)

คนที่พูดว่า ฉันเลือกทางชีวิตของฉันเองได้ ฉันสามารถ เอาชนะอำนาจของความบาปได้คนเช่นนั้นเขาไม่เข้าใจ
ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์  ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ (รม.7:18)อาจารย์เปาโลมอบตัวท่านเป็นแบบสอนพวกเรา เปรียบได้ว่า มนุษย์นั้นตั้งใจจะไม่โลภแต่เมื่อถูกเย้ายวนด้วยเงินทองก็ไม่สามารถ อดใจไว้ได้ เขาตั้งใจจะมีใจบริสุทธิ์แต่ความคิดของเขากลับเต็มไปด้วยความปรารถนาชั่ว ดังคกล่าวที่ว่า ถ้าใต้ถุนเตี้ยเราจะไม่ก้มศีรษะหรือ?” จะเห็นว่าศีลธรรมในใจมนุษย์ได้เสื่อมถอยขณะที่วิทยาศาสตร์กลังก้าวหน้า ยิ่งคุณธรรมของมนุษย์เสื่อมทรามลงมากเท่าใด เขายิ่งหาทางทบาปได้มากขึ้นเท่านั้น มนุษย์ได้หลงทางไปแล้วจริง ๆ
                “ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวง เพราะการละเมิดครั้งเดียวฉันใด การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียว ก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น 19เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาป เพราะคนคนเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรม เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น” (รม.5:18-19) พระเจ้าจัดการกับบาปของเรา  เมื่อเราเชื่อว่า “องค์พระเยซูคริสต์”  ได้ทรงตายแทนเรา และทรงเป็น “พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” พระองค์ก็ทรงรับบาปของเราไปเสีย เมื่อพระเจ้าทรงเอาบาปออกจากตัวเรานั้น พระองค์ทรงแยกมันไว้ห่างไกลมาก ไม่มีทางที่เราจะพบอีกเลย พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราทราบข้อนี้ พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะให้เราหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา ว่า สักวันหนึ่งเราต้องเผชิญกับบาปนั้นอีก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงมีคำสอนที่แสดงให้เราเห็นว่า ความผิดของเราได้หลุดพ้นไปแล้ว และเราจะไม่พบบาปนั้นอีก
                เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้ เราได้ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมอก จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว ( อสย.43:25 ; 44:22) การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเอาความบาปของพวกเราออกไป สุดท้ายแล้วก็เพื่อเห็นแก่พระองค์เองเมื่อพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาในการขจัดความบาปของเรา นั่นก็นำสง่าราศีมาสู่พระนามของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงสัญญาว่า จะไม่จดจำความบาปทั้งหลายของพวกเราเลย พระองค์ตรัสไว้ในฮีบรูว่า เพราะเราจะกรุณาต่อการอธรรมของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาไว้เลย.....และเราจะไม่จดจำบาปกับการอธรรมของเขาทั้งหลายอีกต่อไป” (ฮบ.8:12;10:17พวกเราเคยสังเกตเมฆก้อนใหญ่ในท้องฟ้าบ้างไหม พอเฝ้าดูสักครูหนึ่ง เมฆก้อนนั้นก็สลายตัวไป พระเจ้าได้ทรงจัดการกับ หมอกแห่งบาป ในชีวิตของพวกเรา ด้วยวิธีเดียวกันนี้แหละ พระเจ้าทรงลบล้างบาปของเราให้หมดไปอย่างหมอก จงจดจำไว้ว่าผู้เชื่อทุกคนเป็นของพระองค์ แม้พวกเขาได้หันหลังให้พระองค์ พระองค์ก็ไม่ทรงลืมพวกเขา ช่างเป็นภาพที่ตรงข้ามกันจริงๆ แม้พวกเขาจะได้หลงลืมพระเจ้า พระองค์ก็จะไม่มีวันลืมพวกเขาเลย
                “พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา หรือทรงสนองตามบาปผิดของเรา 11เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่งเท่านั้น 12ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ทรงปลดการละเมิดของเราจากเราไปไกลเท่านั้น 13บิดาสงสารบุตรของตนฉันใด พระเจ้าทรงสงสารบรรดาคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น (สดด.103:10-13) เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาประชากรของพระองค์แล้ว พระองค์ก็คงตีสอนพวกเขาน้อยกว่า ที่พวกเขาสมควรได้รับ ความเมตตาของพระองค์จึงปรากฏชัดเจนในการละเว้น โทษที่ประชากรของพระองค์สมควรจะได้รับ ภาพเปรียบเทียบฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลกที่อยู่ห่างไกลกันแทบจะหาปลายทางไม่ได้ ความเมตตาของพระองค์ก็เป็นเช่นนั้นต่อพวกเขาที่เกรงกลัวพระองค์ หากสังเกตให้ดีความเมตตาของพระเจ้าไม่ได้มีแก่คนทั้งปวง ตรงกันข้ามมันถูกจำกัด เฉพาะแก่คนเหล่านั้นที่เกรงกลัวพระองค์ และไว้วางใจพระองค์ พระองค์ไม่เคยทำให้คนของพระองค์เองผิดหวังเลย ตะวันออกเจอตะวันตกที่ไหน.....จุดจบนั้นหาที่สุดไม่ได้ในระยะทางของมัน เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงเอาความบาปต่างๆ ขอเราทั้งหมดสิ้น ไปแล้ว นี่บอกเป็นในถึงความเมตตายิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการยกโทษ และการนับว่าเป็นคนชอบธรรมดังกล่าว อีกครั้ง เราควรมีหน้าที่ในการถวายสาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยทุกสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา  บิดาผู้ชอบธรรมย่อมจะเปี่ยมเมตตาต่อบุตรทั้งหลายของเขา ก็เช่นเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสงสารต่อคนที่ยำเกรงพระองค์เสมอ

“.....จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง”

(ปญจ.12:13)

วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ทุกอย่างกำหนด...แล้ว(ตอนแรก)


เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่
โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระกรุณาอันไพบูลย์ และ
รับของประทานคือความชอบธรรมก็จะดำรงชีวิต และครอบครองโดย
พระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์
(รม.5:17)
บทอ่าน รม.5:12-21
                ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ผู้คนมากมายที่อยู่ร่วมกัน บางคนก็ยากจน บางคนก็เจ็บป่วย บางคนเกเร กินเหล้าเมามายเหตุที่มนุษย์เราต้องมีสภาพเช่นนี้ ก็เนื่องจากผลของบาป คนเหล่านั้นจมลึกอยู่ในหลุมแห่งความผิด จึงเห็นร่องรอยแห่งความผิดบาป แต่ก็มีบางกลุ่มที่ดูภายนอกแล้ว ประหนึ่งว่า จะไม่ใช่คนบาปเลย บางคนแต่งตัวเรียบร้อยดูสวยงาม สุภาพโอบอ้อมอารี ดูแล้วเป็นสุภาพชนครบบริบูรณ์ ไม่มีอะไรบกพร่อง ลักษณะเช่นนี้ก็น่าจะไม่ใช่คนบาป แต่นั้นเพียงเป็นการมอง จากสภาพภายนอกเท่านั้น เรามองดูจิตใจคนไม่ได้ พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบถึงจิตใจของทุกคน พระเจ้าตรัสว่า เขาทุกคนหลงผิดไปหมด  เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น  ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย” (รม.3:12) บาปเริ่มเข้ามาในโลก ก็ด้วยว่า เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป (รม.5:12) เรื่องราวของ อาดัมและเอวา ในสวนเอเดนนั้น พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างสวนขึ้นก่อน จากนั้นจึงทรงเอาผงคลีดินมาปั้นเป็นกายของอาดัม ระบายลมปรานเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต (ปฐก. 2:7) หลังจากนี้ พระเจ้าทรงสร้างเอวาจากกระดูกซี่โครงของอาดัม ด้วยเหตุนี้ครอบครัวแรกจึงเริ่มขึ้น ลักษณะที่เด่นชัดอย่างหนึ่งของมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลายก็คือมนุษย์มี เจตจานงเสรีที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีอำนาจในการตัดสินใจเลือก มนุษย์อาจจะเลือกกระทำตามพระทัยของพระเจ้า หรือเลือกกระทำตามใจของตนเองก็ได้ เพื่อจะย้ำในเรื่องนี้ พระเจ้าได้ทรงสร้างต้นไม้พิเศษขึ้นต้นหนึ่งในสวนนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในสวนนั้นจะต้องมีต้นไม้นานาชนิดนับเป็นหมื่น ๆ ต้น ซึ่งมีผลอร่อยน่ารับประทาน แต่มีอยู่ต้นเดียวที่เป็น ต้นไม้ต้องห้าม คือต้นที่ชื่อว่า ต้นไม้แห่งความสานึกในความดีและความชั่ว
                พระเจ้าได้ทรงสร้างอาดัม และเอวา ให้มีอิสระที่จะเลือกกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ แต่หากว่าเขาทั้งสองไม่มีโอกาสจะเลือกในทางที่ตรงกันข้ามกับพระประสงค์ของพระองค์แล้ว จะเรียกว่า ให้เลือกได้อย่างไร แต่พระเจ้าได้ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ในอันที่จะให้มนุษย์มีใจปรารถนาที่จะเชื่อฟังพระองค์ พระองค์ทรงสร้างอาดัม และเอวาให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง เขาทั้งสองมีความคิดที่หลักแหลมสุขุมรอบคอบ พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสาหรับมนุษย์ไว้อย่างล้นเหลือ ทรงโปรดประทานอาหารให้อย่างบริบูรณ์ ประทานสภาพดินฟ้าอากาศที่น่าอยู่ที่สุด อาดัมไม่ได้ขาดอะไรเลยสักอย่างเดียวและของประทานขั้นสุดยอดที่พระเจ้าทรงโปรดประทานแก่เขา ก็คือ เอวา คู่อุปถัมภ์ที่น่ารักยิ่ง พระเจ้าทรงมอบงานให้อาดัมทำพระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวน ให้ตกแต่งและรักษาสวน (ปฐก. 2:15) พระเจ้าเสด็จเข้ามาในสวนเพื่อร่วมสามัคคีธรรมกับมนุษย์เป็นประจำ (ปฐก. 3:8) และแล้วการทดสอบก็มาถึง ฝ่ายหนึ่งคือซาตาน อีกฝ่ายหนึ่งก็คือมนุษย์ ผู้มีอำนาจครอบครองเหนือสรรพสิ่ง การทดสอบครั้งนี้ มิใช่เป็นแต่เพียงการทดสอบเพื่อดูว่าอาดัมและเอวาจะกินผลไม้จากต้นที่ต้องห้ามนั้นหรือไม่ แต่เป็นการทดสอบว่าพระราชอำนาจของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดจะมีอำนาจเหนือจิตใจมนุษย์มากกว่ากลอุบายของซาตานหรือไม่  ในที่สุด แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง เมื่อกิเลสของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม 15ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย”(ยก.1:14-15) อาดัมและเอวาไม่พอใจที่จะอยู่ในขอบเขตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้  เขาอยากจะเป็นอิสระเขาจึงละเมิดคำสั่งของพระเจ้า ยากที่มนุษย์คนใดจะเอาชนะ จุดเริ่มต้นแห่งความผิดบาปก็คือ “ความเห็นแก่ตัว” เอวาได้ แตะ เด็ด และกิน ต่อจากนั้นก็ส่งให้อาดัมซึ่งก็ได้รับผลไม้ไปกินเช่นกัน บาปได้เกิดขึ้น และความตายได้เคลื่อนเข้าสู่มนุษยชาติทั้งมวล อาดัมและเอวาได้ขัดขืนต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า ซาตานได้ชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้
                “ความจริงบาปได้มีอยู่ในโลกแล้วก่อนมีธรรมบัญญัติ แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่ถือว่ามีบาป 14อย่างไรก็ตาม ความตายก็ได้ครอบงำตลอดมาตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้คนที่มิได้ทำบาปอย่างเดียวกับการละเมิดของอาดัม ผู้ซึ่งเป็นแบบของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง 15แต่ของประทานแห่งพระคุณนั้นหาเป็นเช่นความละเมิดนั้นไม่ เพราะว่าถ้าคนเป็นอันมากต้องตายเพราะการละเมิดของคนๆเดียว มากยิ่งกว่านั้น พระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณของพระองค์ผู้เดียวนั้น คือพระเยซูคริสต์ ก็มีบริบูรณ์แก่คนเป็นอันมาก 16และของประทานนั้นก็ไม่เหมือนกับผล ซึ่งเกิดจากบาปของคนนั้นคนเดียว เพราะว่าการพิพากษาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการละเมิดเพียงครั้งเดียวนั้น ได้นำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานจากพระเจ้าภายหลังการละเมิดหลายครั้งนั้น นำไปสู่ความชอบธรรม 17เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระกรุณาอันไพบูลย์ และรับของประทานคือความชอบธรรมก็จะดำรงชีวิต และครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์” (รม.5:13-17) อาจารย์เปาโล อธิบายด้วยหลักเหตุผลว่าความบาปมีอยู่ในโลกนี้นานแล้ว ก่อนการมาถึงของพระบัญญัติของโมเสส (หรือบัญญัติใดๆก็ตาม) ก่อนการมาถึงของพระบัญญัติ ความบาปนั้นไม่ถูกนับ แต่ความตายก็ครอบงำตลอดมา  “ความตาย” คือผลของความบาป แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำบาปอย่างเดียวกับ “การละเมิด” ของอาดัมก็ตาม บาปขออาดัมคือการไม่เชื่อฟังพระเจ้า และไปกินผลไม้ต้องห้าม ไม่เคยมีใครได้ทำบาปนี้อีก เพราะหลังจากนั้นพระเจ้าได้ขับไล่พวกเขาทั้งสองออกจากสวนเอเดน แต่กระนั้นคนในรุ่นหลังก็ได้รับผลของบาปเหมือนอาดัมคือ ความตาย ในข้อ14 เป็นแบบของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง ประโยคนี้เป็นแบบเปรียบเทียบในการกระทำระหว่างอาดัมกับพระเยซูคริสต์ อาดัมเหมือนกับพระเยซูคริสต์ตรงที่ว่าสิ่งที่ทั้งสองกระทำเกี่ยวกับมนุษย์ อาดัมเป็นชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง แต่พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ อาดัมเป็นต้นกำเนิดของความบาป ทำให้มนุษย์ทุกคนอยู่ใต้อำนาจของบาป พระเยซูคริสต์เป็นต้นกำเนิดของความชอบธรรม และความชอบธรรมนี้ก็มีอิทธิพลเหนือ มนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนตายในอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็มีชีวิตในพระเยซูคริสต์ ฉันนั้น

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คืนดี...ปรองดอง(ตอนสุดท้าย)

            เต็มใจที่จะทนทุกข์ ความบาปได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า และมีแต่การเสียสละอันเจ็บปวดเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้ทุกอย่างดีขึ้นดังเดิม พระคำกล่าวว่า“ด้วยว่าพระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ {สำเนาต้นฉบับบางฉบับว่า ทนทุกข์} ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า ฝ่ายกายพระองค์จึงสิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์” (1ปต.3:18) การที่องค์พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเพื่อสละพระชนม์นั้น พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเสียสละเพื่อเรา พระองค์ทรงอดทนที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์ ซึ่งเราก็ควรกระทำเช่นนั้นด้วย ในความสัมพันธ์ที่แตกร้าว โดยปกติแล้ว เรามักจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด จากการถูกนินทาว่าร้าย การถูกเข้าใจผิด และถูกปฏิเสธ แต่หากจะให้ความขัดแย้งระหว่างกันคลี่คลายได้ เราก็ต้องยอมทนความเจ็บปวดในการนี้ให้ได้ ไม่มีใครชอบความเจ็บปวด แต่ก็คุ้มค่าหากจะทำให้มิตรภาพที่เคยมี กลับมาอีกครั้ง
          ชวนมาคืนดีกัน โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเชื้อเชิญทั้งชาวยิวและชนต่างชาติ นี่เป็นข้อเสนอแห่งสันติสุข เพราะการเสียสละพระชนม์ชีพของพระบุตร เป็นโอกาสดีที่จะกลับมาหาพระเจ้า นี่เป็นคำเชิญชวน ให้เราสนใจและรับข้อเสนอที่จะคืนดีกลับพระองค์ “และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ 18เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน” (อฟ.2:17-18) นี้เป็นพระคำยืนยันจากพระเจ้า ในความขัดแย้งสิ่งหนึ่งที่ทำได้ยากที่สุดก็คือนั่งลงและพูดกันให้เข้าใจ“หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิดบาปต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขา สองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา” (มธ.18:15) การหลบหน้ากัน การระเบิดโทสะใส่กัน ย่อมง่ายกว่าการพูดคุยกันอย่างเงียบๆ เรามักจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันเพราะ ความอาย ความกลัว และความโกรธ แต่หากเราตั้งใจที่จะแก้ไขเรื่องนี้จริงๆ เมื่อไหร่ที่เกิดความขัดแย้งเราต้องชวนอีกฝ่ายมาคุยกันในเรื่องนั้นๆ ว่าจะแก้ไขความไม่ลงรอยนี้ได้อย่างไร
          ให้อภัย เราดื้อ แต่พระเจ้าก็ยังทรงพระกรุณาเรา เราสมควรถูกลงโทษ แต่พระองค์ยังทรงมีพระประสงค์จะสำแดงพระกรุณา แทนที่พระเจ้าจะทรงถือโทษเรา พระองค์ปรารถนาจะยกโทษให้เราผ่านทางพระบุตรของพระองค์ “ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์” (อฟ.1:7) ในชีวิตจริงเรามักจะคิดกันว่า “ฉันไม่โกรธหรอก แต่ฉันจะเอาคืน” ด้วยความคิดแบบนี้จึงยากที่จะเข้าใจพระกรุณาที่เราไม่สมควรได้รับนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ประสงค์จะเอาคืน พระองค์ปรารถนาจะนำเราให้กลับมาสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ ในการดำเนินชีวิตนั้นความสัมพันธ์ที่แตกร้าวจะไม่อาจฟื้นคืนได้ หากเราไม่พร้อมที่จะทำสิ่งที่ยากนี้ ต้องเต็มใจและยอมรับคนที่ทำร้ายเรา“และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น” (อฟ.4:32) การอภัยให้กันและกัน บางครั้งต้องเลือกที่จะยกโทษทั้งๆ ที่ขัดกับความรู้สึก พระคำกล่าวว่า “แม้ว่าพระเจ้าจะทรงเสียพระทัยและพิโรธเพราะความบาปของเรา(สดด.7:11) แต่พระองค์ก็ทรงเลือกที่จะให้อภัย(อฟ.4:23)” เราต้องทำแบบนี้ต่อกันด้วย ต้องพยายามอย่างจริงจังที่จะพูดคุยแก้ไขกับคู่กรณี ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ก็ไม่อาจดีดังเดิมได้
          แนวทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นทางที่ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อพระองค์ทรงพยายามคืนดีกับเรา พระองค์ทรงพยายามวางแบบอย่างของความรัก ความถ่อมใจ การทนทุกข์ การเชิญชวน และการให้อภัย ไว้ หากเรารับพระคุณนี้ แต่กลับปฏิเสธที่จะแสดงน้ำใจอย่างเดียวกันต่อผู้ที่ทำผิดต่อเรา ก็ถือว่าเราไม่รู้พระคุณอย่างแท้จริงเลยทีเดียว                             .......Amen.......


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

คืนดี...ปรองดอง(ตอนสี่)

           “จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่าง อยู่ห่างไกลจากท่านเถิด 32 และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”
(อฟ.4:31-32) อ.เปาโลยืนยันว่า ความขมขื่น ความเกรี้ยวกราด และความโกรธแค้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สมควรมีอยู่ในชีวิตของผู้ที่เรียกตนเองว่าคริสเตียน สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกขจัดออกไปเสีย เราต้องยอมรับความจริงว่า ในทุกความสัมพันธ์จะต้องพบกับวิกฤตการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคนเราเกิดความขุ่นเคืองแล้ว ก็จะเริ่มห่างเหิน ความคิดเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าคำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็ตามมาความสัมพันธ์ก็จะตึงเครียด ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวก็ทำให้การดำเนินชีวิตทนทุกข์ทรมานได้เหมือนกัน และถ้าเราตอบสนองตามใจอยากก็มีแต่จะทำให้ยิ่งแย่ลง หลายครั้งที่เราพยายามแก้ไขปัญหา แต่กลับไม่ได้ผลเอาเสียเลย การแก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกสลายแล้วให้กลับฟื้นคืนดีอีกนั้น นับว่าเป็นเรื่องยากแสนเข็ญ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ในชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ทรงแก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ด้วย พระองค์ทรงรัก พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง พระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์เชื้อเชิญให้คืนดี และพระองค์ทรงยกโทษ ดังนั้นในชีวิตคริสเตียนทุกคนควรจะยึดองค์พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่าง นั้นคือเราควรจัดการกับความสัมพันธ์ที่แตกร้าวด้วย ความรัก ความถ่อมใจ เต็มใจที่จะทนทุกข์ ชักชวนคืนดีกัน และให้อภัยกัน เช่นเดียวกับพระบิดาของเรา
          ความรัก พระเจ้าเป็นความรัก “โดยข้อนี้ ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือ พระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร 10 ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญา ที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา” (1 ยน.4:9-10) แม้เราจะเป็นคนบาปแต่พระเจ้าก็เป็นผู้เริ่มต้นของการคืนดี ด้วยเหตุนี้เราเองควรจะเป็นผู้เริ่มคืนดีกับคนที่เราผิดใจด้วย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย “เหตุฉะนั้น ท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก 2 และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลาย และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวาย และเครื่องบูชาอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”(อฟ.5:1-2) แต่ด้วยเราเป็นบุตรของพระเจ้าเราต้องเลียนแบบพระองค์ การเริ่มต้นที่จะ “ยอมรักเขา” เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ต้องรักด้วยใจจริง(รม.12:9) อดทนไม่แสดงอารมณ์ในทางลบ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิเสธตัวเอง ....."ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบก และตามเรามา" (มธ.16:24) ซึ่งองค์พระเยซูคริสต์เรียกร้องให้เรากระทำ
          ถ่อมใจ  พระเจ้าถ่อมพระองค์ลง พระเจ้าพระบุตร ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์คือ พระเยซูคริสต์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลง ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟป.2:8) พระองค์ไม่ได้เห็นแก่ราชศักดิ์ และสิทธิ์ทั้งปวง พระองค์ไม่ถือสิทธิ์ แต่ทรงห่วงใยเรายิ่งกว่าตัวพระองค์เอง การถ่อมลงเป็นสิ่งสำคัญมากในการซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างเรากับพระเจ้า แม้แต่พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้ายังลดพระองค์ลงเพื่อสร้างสันติกับคนบาปได้ เราก็ต้องลดตัวเองลงเพื่อสร้างสันติกับผู้อื่นได้เช่นกัน “เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้ถูกจำจอง เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจ อันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น 2 คือ จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพ อดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก 3 จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้น ด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ” (อฟ.4:1-3) ความหยิ่งยโสอาจเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดการโต้เถียงกับคนอื่น บางครั้งผู้คนมักมองว่าการสร้างสันติต่อกันเป็นความอ่อนแอ ดังนั้นเราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นคนอ่อนแอจึงปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองโดยการปิดกั้นตัวเองจากคู่กรณี การแสดงท่าทีที่เย็นชาต่อกันเป็นสิ่งไม่ถูกต้องสำหรับคริสเตียน “จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง” นี่เป็นคำสั่งในพระคำของพระเจ้า ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เรามีปัญหากับผู้อื่น “เราควรเข้าหาด้วยใจถ่อม”   
         
อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คืนดี...ปรองดอง(ตอนสาม)

          การเข้าร่วมกับกลุ่มพี่น้องคริสเตียนอย่างสม่ำเสมอ ช่วยป้องกันไม่ให้เรากลับไปทำบาปอีกทั้งยังทำให้พระเจ้าพอพระทัย ร่วมนมัสการ บริจาคทรัพย์ให้องค์กรที่ช่วยเหลือสังคม พูดคุยกับพี่น้องคริสเตียน ช่วยเหลือและรักเพื่อนบ้าน เราควรแสวงหาหนทางปกป้องจิตวิญาณ จากความชั่วในอนาคต สารภาพบาป และแก้ไขพฤติกรรมเมื่อดำเนินชีวิตผิดพลาด จงระมัดระวังสิ่งยั่วยุที่นำเราไปสู่การทำบาป หยุดคบหากับคนที่ไม่ได้หวังดีกับเรา อ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ และให้พระเจ้าทรงเป็นแสงนำเราสู่หนทางที่ถูกต้อง มนุษย์ทุกคนไม่ได้สมบูรณ์แบบ และอาจทำผิดพลาดอีกแน่นอน พระเจ้ารู้ความจริงข้อนี้ดี หากเราตระหนักถึงความผิดพลาดนี้ ต้องถ่อมใจยอมรับความจริง อย่ากังวลว่าจะทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย สิ่งที่สำคัญสำหรับพระเจ้าคือ เราต้องมีความตั้งใจจะแก้ไขเมื่อพลาดทำบาป ดำเนินชีวิตให้ดี ความบาปคือ ความผิดพลาดที่ชักนำให้เราทำร้ายตนเอง และผู้อื่น เมื่อเราตัดสินใจใช้ชีวิตที่ปราศจากบาป ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่พระเจ้าพอพระทัย และได้รับชีวิตนิรันด์เท่านั้น แต่ชีวิตจะได้รับการเติมเต็มด้วยความสุขอีกด้วย นี่คือสาเหตุที่ต้องกลับใจ หากเรากำลังทำให้ตนเองไม่มีความสุข หรือทำร้ายผู้อื่น ให้หยุดทันที เปิดใจยอมรับการให้อภัย ชีวิตจะมีความสุขขึ้น
          “เพราะว่า ถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน” (มธ.6:14-15) การกลับใจของเราอย่างแท้จริงต่อพระเจ้า เราได้รับการอภัยบาป และมีชีวิตใหม่ในพระองค์ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า จากเดิมที่ชีวิตถูกตัดขาดด้วยความผิดบาปได้สิ้นสุดลง เราได้กลายเป็นบุตรของพระองค์ โดยพระคุณที่เราได้รับเช่นนี้ เราก็ควรที่จะให้อภัยผู้อื่นด้วย คำอุปมาเรื่อง “ทาสที่ไม่ยอมให้อภัย” น่าจะเตือนสติของเราได้ องค์พระเยซูคริสต์ทรงเล่าว่า “เหตุฉะนั้น แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน เจ้าองค์หนึ่งทรงประสงค์จะคิดบัญชีกับทาส 24 เมื่อตั้งต้นทำการนั้นแล้ว เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์ มาเฝ้า 25 ท่านจึงสั่งให้ขายตัวกับทั้งเมีย และลูก และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้ 26 ทาสลูกหนี้ผู้นั้นจงกราบลงวิงวอนว่า "ข้าแต่ท่าน ขอโปรดผัดไว้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น" 27 เจ้าองค์นั้นมีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป 28 แต่ทาสผู้นั้นออกไปพบคนหนึ่ง เป็นเพื่อนทาสด้วยกัน ซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน  จึงจับคนนั้นบีบคอว่า 'จงใช้หนี้ให้ข้า' 29 เพื่อนทาสคนนั้นได้กราบลงอ้อนวอนว่า 'ขอโปรดผัดไว้ก่อนแล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้' 30 แต่เขาไม่ยอม จึงนำทาสลูกหนี้นั้นไปจำจองไว้จนกว่าจะใช้เงินนั้น 31 ฝ่ายพวกเพื่อนทาส เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็พากันสลดใจยิ่งนัก จึงนำเหตุการณ์ทั้งปวงไปกราบทูลเจ้าองค์นั้น 32 ท่านจึงทรงเรียกทาสนั้นมา สั่งว่า 'อ้ายข้าชาติชั่ว เราได้โปรดยกหนี้ให้เอ็งหมด เพราะเอ็งได้อ้อนวอนเรา 33 เอ็งควรจะเมตตาเพื่อนทาสด้วยกัน เหมือนเราได้เมตตาเอ็งมิใช่หรือ' 34 แล้วเจ้าองค์นั้นกริ้ว จึงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้หมด” (มธ.18:23-34) เจ้าองค์หนึ่งได้ยกหนี้ให้กับทาสที่ติดหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ แต่ทาสคนนี้กลับไม่ยอมยกหนี้ให้แก่ลูกหนี้ของเขา ซึ่งติดเขาเพียงเล็กน้อย คือเพียงหนึ่งร้อยเดนาริอัน ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับที่เจ้าองค์นั้นได้ยกหนี้ให้แก่เขา เจ้าองค์นั้นได้ลงโทษแก่ทาสที่ติดหนี้ จนกว่าเขาจะชดใช้หนี้ของตนได้
          สิ่งสำคัญที่เราเรียนรู้จากคำอุปมานี้คือ สิ่งที่พระเยซูตรัสใน มัทธิว 18:35 พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงกระทำแก่เราทุกคนอย่างนั้น ถ้าหากว่าเราแต่ละคนไม่ยกโทษการละเมิดให้แก่พี่น้องของเราด้วยใจกว้างขวาง พระเยซูทรงสอนว่า แม้ว่าพระเจ้าจะทรงอภัยโทษคนบาปที่กลับใจใหม่โดยไม่คิดมูลค่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเต็มใจของผู้นั้นที่จะยกโทษให้ผู้อื่น หรืออีกในหนึ่งคือ คนหนึ่งอาจจะสูญเสียการอภัยบาปจากพระเจ้า เพราะเขายังมีใจขมขื่น และไม่ยอมยกโทษให้กับคนอื่น


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

คืนดี...ปรองดอง(ตอนสอง)


          เราจะรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์เพื่อเข้าสู่ความรอด และคืนดีกลับพระเจ้าได้อย่างไร
“เพราะว่า ทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” (รม.3:23) คงทราบแล้วว่ามนุษย์ได้หลงทำผิดบาปครั้งแรกอย่างไร และในทันทีที่มนุษย์ทำผิดบาป มนุษย์กลัวพระเจ้า และหนีไปซ่อนตัวอยู่เพื่อจะหลบให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์ และการลงโทษที่มนุษย์ได้รับเนื่องจากการทำบาปคือถูกขับไล่ออกจากสวนเอเดน เราจะเห็นว่า บาปจะต้องถูกลงโทษเสมอ และการลงโทษนั้นคือ การถูกแยกจากพระเจ้า “พระสิริของพระเจ้า” พระสิริของพระเจ้าคือความสดใส งดงาม โชติช่วงของพระเจ้า แต่เดิมนั้นเมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ได้บรรจุพระสิริของพระองค์ใส่ไว้ในตัวมนุษย์ด้วย เมื่อตกเป็นทาสของความบาปพระสิรินี้ก็เริ่มเสื่อม และหายไป พระสิริของพระเจ้าที่ขาดไปจากมนุษย์คือ ล้มเหลวต่อการถวายพระสิริอันควรแด่พระองค์ ล้มเหลวในการรับพระสิริ และเกียรติยศซึ่งพระองค์มีพระประสงค์จะประทานให้แก่เรา ล้มเหลวต่อการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเจ้า และพลาดจากพระสิริอันไพบูลย์ซึ่งจะประทานให้แก่บุตรของพระองค์เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา
          “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้ทรงตั้งต้นประกาศว่า "จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์ มาใกล้แล้ว"  (มธ.4:17) จงกลับใจเสียใหม่ นี่เป็นคำสั่ง !!! กลับใจใหม่ คือ การยอมรับว่าตัวเองเป็นคนผิดบาปที่ไม่อาจช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากบาป โทษของบาป และอำนาจของมันได้เลย จึงขอน้อมใจรับพระคุณและความช่วยเหลือจากพระเจ้าในการชดใช้บาปของเราด้วยความเชื่อ ผ่านทางการตายขององค์พระเยซูคริสต์! เราต้องตระหนัก และ ยอมรับว่าตนทำบาป ต้องถ่อมใจ เราอาจโกหกตัวเองและผู้อื่นว่าไม่ได้ทำบาป แต่เราโกหกพระเจ้าไม่ได้ จุดเริ่มต้นของการกลับใจคือเราต้องกล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนดีตลอดเวลา มีโอกาสพลาดพลั้งออกจากลู่ทาง จงถ่อมใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า ยอมรับด้วยหัวใจว่าเราควรทำตามพระคำของพระองค์ ต้องเชื่อพระเจ้าสุดจิตสุดใจ เชื่อว่าพระเจ้าให้อภัย และทรงนำเรา ให้สามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ หากขาดความเชื่อเช่นนี้เราก็มีแนวโน้มจะหมดทางแก้ไขปัญหา การกำจัดนิสัยแย่ๆ และทำให้สิ่งผิดถูกต้องเป็นเรื่องยาก เราต้องเชื่อว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วย มิฉะนั้นเราอาจล้มลงในบาปอีก ต้องไตร่ตรองถึงการกระทำ นึกถึงบาปหรือความผิดที่ได้กระทำ อย่ามองว่าความบาปต้องเป็นเรื่องใหญ่เสมอไปเช่น คดโกง หรือลักขโมย ในสายพระเนตรของพระเจ้าบาปทุกชนิดมีน้ำหนักเท่ากัน ต้องใคร่ครวญหาเหตุผลว่าทำผิดเพราะอะไร การใคร่ครวญถึงเหตุผลที่การกระทำผิดนั้นสำคัญมาก ก่อนกลับใจ การกลับใจตามพิธีกรรมโดยไม่คิดว่าจริงๆ แล้วทำผิดอะไรยิ่งแสดงให้พระเจ้าเห็นว่าเราไม่ได้ใส่ใจกับความผิดเลย คิดถึงคนที่ต้องรับผล จากความบาปของเราเมื่อคิดจะทำบาป และคิดให้ดีว่าแท้จริงแล้วความบาปส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณเราอย่างไร ไตร่ตรองถึงสิ่งเลวร้ายที่ความบาปนั้นนำให้เราทำ ต้องกลับใจด้วยท่าทีถูกต้อง กลับใจด้วยเหตุผลที่ถูกต้องเท่านั้น หากคิดว่าการกลับใจอาจทำให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานในเรื่องที่ปรารถนา เรากำลังคิดผิด จงกลับใจเพราะเห็นว่าดีต่อชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณและเพื่อให้ชีวิตมีความชื่นชมยินดี และมีคุณค่ามากขึ้น ไม่ใช่เพราะหวังเรื่องฝ่ายเนื้อหนังเช่น ทรัพย์สมบัติ ความร่ำรวย ลาภยศต่างๆ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่แก่นแท้ในการนับถือพระเจ้าเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เชื่อมั่นและยึดมั่นในองค์พระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นผู้ที่ยกโทษบาป และประทานชีวิตนิรันดร์แก่เราได้ อีกทั้งยอมให้พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เชื่อด้วยความเข้าใจ คือ รู้และเข้าใจในแก่นแท้ของพระกิตติคุณคือ มนุษย์เป็นคนบาป พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่โทษบาปมนุษย์ และพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ มนุษย์รอดได้ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อด้วยความรู้สึกคือ รู้สึกว่าตนเองเป็นคนบาป รู้สึกต้องการรับการไถ่จากพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง เชื่อด้วยการยอมรับคือ ตัดสินใจยอมรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นเจ้าชีวิตของเรา ( คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด 10ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด รม.10:9-10 ) พระคำสอนว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (กท.2:20) 
               ดังนั้น การยอมรับว่าตนทำบาป และเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง ต้องมี “อย่างมั่นคงต่อเนื่องในชีวิต” ดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า หลังกลับใจจากบาปแล้ว “เรา” ได้รับประทาน “ชีวิตใหม่” เราควรใช้โอกาสใหม่นี้ อุทิศตนรับใช้พระเจ้า ให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ คนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ฝ่ายวิญญาณนั้น มนุษย์จะกระทำเองไม่ได้ แต่เกิดจากฤทธิ์เดช และพระเมตตาของพระเจ้า พระคัมภีร์เรียกว่า “การบังเกิดใหม่” ด้วยว่าคนบาป ก็เปรียบเหมือนคนที่ตายแล้ว ในฝ่ายวิญญาณ เขาจะทำให้ตนเองมีชีวิตใหม่ไม่ได้ มีผู้เดียวที่จะช่วยได้คือ “พระเจ้า” เมื่อกลับใจเชื่อพระองค์ พระองค์จะทรงยกโทษบาป และประทานชีวิตใหม่ให้ด้วย


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คืนดี...ปรองดอง(ตอนแรก)


บัดนี้ พระองค์ทรงโปรดให้คืนดีกับพระองค์ 
โดยความตายแห่งพระกายเนื้อหนังของพระองค์
เพื่อจะได้ถวายท่านแด่พระเจ้าให้เป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน และปราศจากตำหนิ
(คส.1:22)
          มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อความบันเทิงของพระองค์ หรือทำให้พระองค์ทรงสนุกสนาน พระเจ้าเป็นองค์พระผู้สร้าง พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงพระชนม์ ทรงชอบพระทัยอยากให้มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งพระองค์จะได้ทรงสัมพันธ์สนิทสนมด้วยจริงๆ ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายของพระองค์ ทำให้มนุษย์สามารถรู้จักพระเจ้า และสามารถรักพระองค์ นมัสการพระองค์ รับใช้พระองค์ และสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ (เพราะว่า ในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้า และที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตา และซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครอง หรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ คส.1:16) ในปฐมกาลบทที่สองข้อสิบห้าถึงสิบเจ็ด ทำให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงประทานเกือบทุกอย่างให้แก่มนุษย์ แต่ไม่ได้ทรงโปรดให้เขาทำทุกอย่างได้ตามความพอใจของตนเอง เพราะเขาต้องพึ่งพระเจ้าตามลักษณะที่เขาถูกสร้างขึ้นมา มีบางสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไม่ให้มนุษย์ทำโดยเด็ดขาด แต่แล้วมนุษย์ไม่พอใจที่จะอยู่แบบที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ มนุษย์อยากจะเป็นอิสระ เขาจึงละเมิดคำสั่งของพระเจ้า เขาเชื่อตนเองแทนที่จะเชื่อพระเจ้า(ปฐก.3:1-6
          องค์พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละ ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 21 เพราะว่า จากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย 22 การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความบัดซบ 23 สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” (มก 7:20-23) ความบาปจึงเกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ เพราะจิตใจของเขาคิดจะลองดีกับพระเจ้า สงสัยพระองค์ ต่อมาก็ไม่เชื่อฟัง และผลสุดท้ายก็ทำตามความคิดเห็นของตนแทนที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า มนุษย์ปกครองชีวิตตนเอง และตัดสินใจเอาเองว่าอะไรดี อะไรชั่ว ดังนั้นจิตใจของมนุษย์จึงเป็นต้นกำเนิดของความบาปผลที่ตามมาคือ “การกระทำผิด” ดังนั้นความบาปจึงเป็นการกบฏต่อพระเจ้า นับแต่ความบาปเข้ามาในชีวิตของมนุษย์ การดำเนินชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าทรงประสงค์ แทนที่จะมีสามัคคีธรรมกับพระองค์ มนุษย์กลับหนีจากพระองค์ รักตนเอง ทำตามใจตนเอง ดังนั้นเขาจึงถูกตัดขาดจากพระเจ้า เขาอยู่อย่างสภาพสิ้นหวัง แต่โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ละทิ้งมนุษย์ พระองค์ทรงมีแผนการเพื่อช่วยเขาให้รอด แผนการนี้สำเร็จเมื่อองค์พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
          พระเยซูเสด็จมาบังเกิดในครรภ์ของมารีย์ ซึ่งเป็นหญิงสาวพรหมจารีย์ชาวอิสราเอล เป็นการปฏิสนธิโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทางการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงตามธรรมชาติ พระนามของพระองค์ “เยซู” นั้นแปลว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรอด” นั้นหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากความพินาศเพราะ “บาป” (ลก.1:26-38;2:1-20) พระองค์ทรงเป็น “พระคริสต์” แปลว่าผู้ที่ได้รับการเจิม หมายความว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้โดยเฉพาะเพื่อช่วยผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ ให้ได้รับการยกโทษ “บาป” (กจ.10:38-43) การเสด็จมาของพระองค์ในโลกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ครั้งปฐมกาล และทรงแจ้งให้มนุษย์รู้ล่วงหน้าโดยทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเพื่อพยากรณ์แก่อิสราเอลทราบล่วงหน้าเป็นระยะๆ เรื่อยมา เช่น อิสยาห์(อสย.7:14) และนาธัน(2ซมอ.7:12-13) พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วยความบริสุทธิ์พร้อมทุกประการ พระองค์ไม่เคยกระทำบาปอย่างใดเลย แต่ทรงสำแสดงความรักเมตตา และความอ่อนสุภาพเป็นที่ทราบแก่คนทั่วไป พระองค์ไม่ใช่ศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนา แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษย์รอดจากความพินาศ พระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์อย่างสมบูรณ์


อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

จงฟังเสียงของเรา(ตอนสุดท้าย)


                   4 สำแดงชีวิตของการเป็นคริสเตียน ลักษณะชีวิต หรือ อุปนิสัยใหม่ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ ในฐานะที่เป็นบุคคลที่ได้รับการไถ่ ชำระ และได้รับการสร้างใหม่ ที่สะท้อนผ่านความเป็น คริสเตียนหรือ ลูกของพระเจ้าออกไปในแต่ละด้าน ผ่านวิถีชีวิตในกิจวัตรประจำวันนั้น ต้องถือว่า เป็นบทบาท เป็นหน้าที่ และ เป็นความรับผิดชอบ ที่พระเจ้าทรงโปรดมอบให้ ซึ่งคริสเตียนแต่ละคน ควรจะต้อง ใส่ใจ”  ต้อง กระทำ หรือ นำเสนอ ออกไปให้ดีที่สุด เนื่องเพราะ ไม่ว่าจะด้วย การกระทำ คำพูด หรือพฤติกรรมใดๆ  ที่สำแดงออกไป คนทั่วๆ ไปก็มองเห็นและอ่านออกได้ว่า เอาเข้าจริงแล้ว ธาตุแท้ หรือ เบื้องลึก ภายในความคิด และจิตใจของเรานั้นเป็นคนแบบไหน  นิสัยใจคอเป็นเช่นไร “ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย” (กท.5:22-23) เราเคยตรวจสอบความเป็นคริสเตียนที่สำแดงชีวิตแบบพระเยซูคริสต์ตลอดเวลา หรือไม่ ลักษณะชีวิตคริสเตียนแบบใด ที่คนทั่วไปจะมองเห็นพระเยซูในชีวิตของเรา คำตอบ คือ ให้เราดู ผลของพระวิญญาณในชีวิตว่ามีมากน้อยเพียงใด เราเคยกระทำอะไรให้คนอื่นเห็นแล้วขัดแย้งกับพระลักษณะหรือไม่ เช่น ไปทำงานสาย เกี่ยงงาน ทำแต่เฉพาะงานตัวเองเสร็จไม่สนใจคนอื่น, เอาของบริษัทมาใช้ส่วนตัว, ทำผิดกฎระเบียบกฎหมายเพื่อความสะดวกสบาย และการกระทำอื่นๆ ที่ตรงข้ามกับการแสดงออกตามแบบผลขอพระวิญญาณ เป็นต้น เราต้องตระหนักเสมอว่า “แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์” (1 ปต. 2:9) ชีวิตคริสเตียนคือการบังเกิดใหม่ เราจึงไม่ใช่ คนเดิมอีกต่อไป แต่เป็น ลูกแห่งความสว่าง เราต้องใช้ทุกเวลาให้คนอื่นๆมองเห็นพระเจ้าในตัวเรา เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าให้เราเป็นตะเกียงที่ส่องสว่าง ตะเกียงให้ความอบอุ่นท่ามกลางความหนาว ให้แสงสว่างส่องนำทาง ดังนั้นตะเกียงจึงช่วยแก้ปัญหาให้คนหลงทาง โดยพาพวกเขาไปสู่ทางที่ดีขึ้น คือทางของพระเจ้า...มีชีวิตที่ชัดเจนในพระคริสต์”
          การได้รับพระคุณการไถ่จากพระคริสต์ ชีวิตเราก็ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ ศักยภาพและความสามารถที่เคยเสื่อมเสียไป หรือ ทำอะไรไม่ได้เลยนั้น ก็จะไม่มีอีกต่อไป เพราะชีวิตใหม่ที่ได้รับมานั้น เป็นชีวิตที่มีพระเจ้าเข้ามากระทำกิจ ผ่านทางฤทธิ์เดชของพระคำ และ ผ่านผู้นำ-พี่เลี้ยง ที่พระองค์ส่งเข้ามาในชีวิตเราที่เต็มไปด้วยความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตที่ยึดถือพระคำของพระองค์กำกับการกระทำของตน ชีวิตที่ร่วมกันช่วยเหลือสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และชีวิตที่สำแดงการเป็นคริสเตียนอย่างสม่ำเสมอ นั่นเอง หากเราอยากจะมีชีวิตในแบบที่ว่านี้ มีอยู่ทางเลือกเดียว คือ “ถ่อมใจลงยอมรับการสร้างใหม่” ซึ่งทำได้ไม่ยากเลยลองดูสิ  !!        อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่  http://theword-2015.blogspot.com/