วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ผู้เลี้ยง (ตอนแรก)

ยน.10:10
ขโมยนั้นย่อมมา เพื่อจะลัก และฆ่า และทำลายเสีย
เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
            คริสตจักร คือ กลุ่มชนที่พระเจ้าทรงเรียกออกมาจากความบาปโดยการทรงไถ่(ด้วยความเชื่อ)เพื่อรับพระพรจากพระองค์   (อฟ.1:22-23พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุข เหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือ ซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน ; 1คร.12:25-27เพื่อไม่ให้มีการแก่งแย่งกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนพะวงซึ่งกันและกัน 26ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะอันหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยชื่นชมยินดีด้วย 27ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น) คริสตจักรเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ มีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะและผู้เชื่อแต่ละคนเป็นอวัยวะที่ต้องประสานกัน ขาดกันและกันไม่ได้ มิฉะนั้นส่วนอื่นจะกระทบกระเทือน อวัยวะทุกส่วนเกี่ยวข้องและต้องการซึ่งกันและกันอย่างมาก ดังนั้นเราจึงผูกพันและเห็นความสำคัญของกันและกันและมีใจปรารถนารับใช้กันและกันเสมอ คริสตจักรเคยดำรงอยู่สภาพอย่างสง่างามมาแล้วในอดีต และจะคงไว้ซึ่งความสง่างามต่อไปในอนาคตด้วย คริสตจักรยังคงตั้งอยู่บนโลกที่สับสนวุ่นวาย และพวกเราคริสเตียนทุกคนก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลก ดังนั้นความหวังในเรื่องชีวิตนิรันดร์จะช่วยให้พวกเรามีกำลังใจ
            อฟ.3:8  ทรงโปรดประทานพระคุณนี้แก่ข้าพเจ้า ผู้เป็นคนเล็กน้อยกว่า คนเล็กน้อยที่สุดในพวกธรรมิกชนทั้งหมด ทรงให้ข้าพเจ้าประกาศแก่คนต่างชาติ ถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์อันหาที่สุดมิได้ 9 และทำให้คนทั้งปวง เห็นแผนงานแห่งความล้ำลึก ซึ่งตั้งแต่แรกสร้างโลกทรงปิดบังไว้ที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างสารพัดทั้งปวง 10 ประสงค์จะให้เทพผู้ปกครอง และศักดิเทพในสวรรคสถาน รู้จักปัญญาอันซับซ้อนของพระเจ้าทางคริสตจักร ณ บัดนี้ หนึ่งในเป้าหมายพันธกิจอันหลากหลายของคริสตจักร คือ “คริสตจักรต้องเอาชนะวิญญาณชั่ว” คำว่า สวรรคสถาน” หมายถึงสถานที่ต่อสู้ฝ่ายจิตวิญญาณ ส่วนคำว่า เทพผู้ปกครอง และศักดิเทพ” ก็หมายถึง วิญญาณชั่วร้าย ซึ่งมักชักนำให้ผู้คนหลงไปกระทำในสิ่งที่ชั่วร้าย อ.เปาโลได้ย้ำเตือนให้พวกเรารู้ว่า เป้าหมายของพระเจ้าสำหรับคริสตจักร ก็คือ คริสตจักรจะต้องเอาชนะวิญญาณชั่วร้ายในโลกนี้ให้ได้
            ดังนั้นในพระคำ ยน 10:8-11 บรรดาผู้ที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมย และโจร แต่ฝูงแกะก็มิได้ฟังเขา 9เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเราผู้นั้นก็จะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร 10ขโมยนั้นย่อมมา เพื่อจะลัก และฆ่า และทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ 11เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมเสียสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ “ขโมยและโจร” นั้นมาก็เพื่อจะลัก และฆ่า และทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ ผู้ที่พยายามเข้าไปหาฝูงแกะโดยทางอื่นที่ไม่ใช่ประตูก็เรียกว่าขโมย จุดประสงค์ของพวกเขานั้นไม่จริงใจและเขาอาจใช้ความรุนแรง การทำลายหรือกระทั่งการฆ่าให้ตาย พวกที่ลักขโมยแกะก็เพื่อเอาไปเป็นอาหาร หรือเอาไปขาย องค์พระเยซูคริสต์ทรงเปรียบเทียบพวกผู้นำทางศาสนาว่าเป็นเหมือนขโมย เพราะพวกเขาเสนอทางอื่นที่ไม่ใช่ที่พระองค์ที่ทรงเป็นประตูแห่งความรอด พระธรรมยูดาบันทึกใน ยด.1:3-4 ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ตั้งใจจะเขียนถึงท่านเรื่องความรอดร่วมกัน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า จำเป็นจะต้องเขียนวิงวอนท่านให้ต่อสู้ เพื่อหลักคำสอนที่เชื่อกันอยู่ ที่ได้ทรงโปรดมอบไว้แก่ธรรมิกชนครั้งเดียวเป็นพอนั้น 4 เพราะว่า มีบางคนได้แอบแฝงเข้ามา ซึ่งพระคัมภีร์ได้บ่งไว้นานแล้วว่า เขาจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างนี้ เขาเหล่านั้นเป็นคนอธรรม ที่ถือเอาพระคุณของพระเจ้าของเราเป็นเหตุให้กระทำความชั่วช้าลามก และเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว พวกเราจะเห็นได้ว่าเทคนิคอย่างหนึ่งของซาตาน ที่มันชอบใช้มานานนั้นคือ แอบแฝงแทรกซึมเข้ามาแม้ในสมัยคริสตจักรยุคต้น ซาตานรู้อยู่แล้วว่าประตูนรกไม่อาจมีชัยต่อคริสตจักรได้ ยิ่งมันพยายามกำจัดคริสตจักร คริสตจักรยิ่งแพร่ขยาย ด้วยเหตุนี้ซาตานจึงหันมาใช้เทคนิคที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผล นั้นก็คือ “ถ้าสู้ไม่ได้ก็เป็นพวกเดียวกันเสียเลย” นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซาตานได้พยายามแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรเพื่อบิดเบือนความจริง อ.ยูดาเตือนถึงลักษณะของ “คำสอนผิด” ไว้อย่างน้อย สาม ประการ คือ
                        ๑ เป็นคำสอนที่ลดคุณค่า คำว่า “พระคุณ”
                                    ที่ได้ทรงโปรดมอบไว้แก่ธรรมิกชนครั้งเดียวเป็นพอ” สิ่งที่พระเยซูคริสต์มอบไว้นั่นก็คือพระคำใน 1ปต.3:18 ด้วยว่า พระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ (สำเนาต้นฉบับบางฉบับว่า ทนทุกข์) ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะความผิดบาป คือ พระองค์ผู้ชอบธรรม เพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า ฝ่ายกายพระองค์สิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์ ; ฮบ. 9:26 เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พระองค์คงจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานหลายครั้ง นับตั้งแต่สร้างโลกมา แต่ความจริง พระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้นไป โดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา 27มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่า จะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด 28พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือ พระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียว เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนเป็นอันมากไว้ พระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง มิใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อให้ได้รับความรอด พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ก็ได้รับความรอดพ้นบาป                 พวกที่ลดคุณค่า คำว่า “พระคุณ” มักจะเป็นพวกยิวที่จะสอนในเรื่อง ความรอดด้วยพิธีสุหนัตซึ่งขัดกับคำสอนที่ว่า “รอดด้วยพระคุณ และความเชื่อ” อฟ.2:8-10 ด้วยว่า ซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้น ก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ 9ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ 10เพราะว่า เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ มองเผินๆสิ่งที่ อ.ยากอบสอนว่า ยก. 2:26 เพราะกายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้น ไร้ชีพแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผลฉันนั้น จะขัดกับที่ อ.เปาโลสอนหรือเปล่า เหมือนๆจะขัดแย้งกับ  รม.3:28 เพราะเราทั้งหลายเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อลองใคร่ครวญให้ลึกลงไปจะเห็นได้ว่า คำสอนของอ.ยากอบกับอ.เปาโลไม่ขัดแย้งกัน เป็นความจริงที่การทำความดีไม่สามารถทำให้พวกเรารับความรอด แต่ความเชื่อที่แท้จริงจะส่งผลให้ชีวิตเติบโตขึ้นไปสู่ความเหมือนองค์พระเยซูคริสต์ 1คร.13:12เพราะว่า บัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า นั่นก็คือชีวิตที่เปลี่ยนแปลงสู่ การกระทำอันดีงาม อ.เปาโลคัดค้านคนที่พยายามจะรอดโดยการประพฤติแทนความเชื่อแท้  ส่วนอ.ยากอบโต้แย้งคนที่สับสนว่า ความรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์เป็นความเชื่อแท้ เพราะว่าจริงๆแล้วแม้แต่ซาตานก็รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร แต่มันไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ (ยก 2:19 ท่านเชื่อว่า พระเจ้าทรงเป็นหนึ่ง นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่น) ดังนั้นความเชื่อแท้พวกเราต้องอุทิศตนมอบกายถวายชีวิตทั้งหมด
แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง (ตอนสุดท้าย)

                        ๒ โลกนี้ถูกซาตานครอบครอง  อฟ.2:2 ครั้งเมื่อก่อน ท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือ วิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง ; 1ปต.5:8 ท่านทั้งหลายจงสงบใจ จงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือ มารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ เมื่อมนุษย์ล้มลงในบาปซาตานก็กลายเป็นเจ้าปกครองโลก มันครอบงำโลกทั้งหมด เดินตรวจตราผืนแผ่นดินโลก และเป็นผู้บัญชาการกองทัพของวิญญาณชั่ว ซึ่งมันใช้ทำให้ผู้คนที่ไม่เชื่อในพระคริสต์กลายเป็นทาส และถูกจับเป็นเชลย ซาตานเป็นเหมือนสิงห์ที่คุกคามบรรดาผู้เชื่อ และจ้องจะทำลายผ่านทางประสบการณ์ ความยากลำบากของพวกเขา
                        ๓ เผชิญปัญหาจากการทดลอง ลก.22:31 ซีโมน ซีโมนเอ๋ย ดูเถิด ซาตานได้ขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี พระเจ้ายอมให้ซาตานทดลองพวกเราในขอบเขตที่จำกัด และตามที่พระองค์ทรงอนุญาต มารไม่มีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจของมัน ต่อประชากรของพระเจ้า แน่นอนที่พระเจ้าทรงยอมให้พวกเราประสบกับความยากลำบากในชีวิตก็เพื่อที่ว่าเราจะได้ชูกำลังคนอื่นๆต่อซึ่งเผชิญกับความยากลำบากแบบเดียวกันได้ในภายหลัง เหมือนดั่งตัวอย่างชีวิตของโยบในพันธสัญญาเดิม
                        ๔ มาจากการทำผิดหลักการของพระเจ้า ฉธบ.11:26-28 ดูเถิด วันนี้ข้าพเจ้าได้นำคำอวยพร และคำสาปแช่งมาไว้ตรงหน้าท่านทั้งหลาย 27 ถ้าท่านกระทำตามพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ ท่านก็จะเป็นไปตามพรนั้น 28 ถ้าท่านไม่กระทำตามพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน แต่หันเหไปเสียจากทางซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ ไปติดตามพระอื่นซึ่งท่านไม่รู้จัก ท่านก็จะเป็นไปตามคำสาปแช่งนั้น “พระพรและคำสาปแช่ง” พระเจ้าทรงมอบให้แก่อิสราเอลเลือก ถ้าพวกเขาเชื่อฟังพระคำของพระเจ้าและยืนยันที่จะแยกตัวออกจากบาปของชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่รอบๆพวกเขาพระพรของพระเจ้าจะมาถึง และคงอยู่กับพวกเขา แต่ในทางกลับกันหากไม่เป็นดั่งที่กล่าวมา คำสาปแช่งของพระเจ้าจะมาถึง และตามพวกเขาทันที ในพันธสัญญาใหม่ถ้าพวกเราเกลียดชังบาป ติดตามพระคริสต์ และพยายามรับใช้พระองค์เรื่อยไป พระพรและฤทธิ์อำนาจจะเป็นของพวกเรา และในทางกลับกันหากพวกเราละทิ้งไปจากวิถีอันชอบธรรมของพระองค์ พวกเราก็จะสูญเสียการพิทักษ์รักษาตามพันธสัญญาของพระองค์
                        ๕ มาจากการตีสอน ฮบ.12:11-12 เมื่อมีการตีสอนนั้นดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย เป็นเรื่องเศร้าใจ แต่ต่อมาภายหลังก็จะก่อให้เกิดความสุขสำราญ แก่บรรดาที่ต้องทนอยู่นั้น คือ ความชอบธรรมนั้นเอง 12เพราะเหตุนั้น จงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น เมื่อพระเจ้าทรงว่ากล่าวตักเตือนหรือลงวินัยนั้นไม่ใช่เรื่องน่ารื่นรมย์ แต่การลงวินัยตีสอนแสดงว่าพระองค์ทรงรักพวกเราอย่างลึกซึ้ง การที่พ่อของพวกเราตีสอน เพื่อให้พวกเราทำสิ่งที่ถูกต้องในอนาคตฉันใด จุดประสงค์ของพระเจ้าในการตีสอนพวกเราก็คือ เพื่อหันพวกเราเข้าสู่ความชอบธรรมฉันนั้น เมื่อการตีสอนของพระเจ้ามา อย่าท้อใจหรือคิดที่จะยอมแพ้ สุดท้ายแล้วการตีสอนนั้นก็เพื่อประโยชน์ของพวกเราเอง พระเจ้าอาจจำเป็นต้องใช้สภาพการณ์แวดล้อมต่างๆที่ยากลำบากเพื่อดึงความสนใจของพวกเราและฝึกวินัย ให้ทำสิ่งที่พวกเราควรกระทำ แต่สุดท้ายแล้วมันก็เพื่อประโยชน์ของพวกเราเอง  จงลุกขึ้น(ข้อ12) เดินหน้าต่อ และกลับไปวิ่งแข่งต่อ เลิกเซื่องซึมได้แล้ว เลิกสมเพชเวทนาตัวเองในความยากลำบากของตนเสีย ลืมเรื่องที่จะยอมแพ้ไปได้เลย! พวกเราไม่ได้เป็นพวกเดียวที่เจอกับความทุกข์ยาก บรรพชนคริสเตียนของพวกเราผ่านทุกข์นี้มาแล้ว
                        ๖ มาจากการรับใช้พระคริสต์ 2ทธ.3:12 แท้จริงบรรดาคนที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์จะถูกกดขี่ข่มเห่ง อ.เปาโลกำชับทิโมธีว่าผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์จะถูกข่มเหง อย่าประหลาดใจเมื่อมีคนเข้าใจพวกเราผิด วิพากษ์วิจารณ์ และแม้แต่พยายามทำร้ายพวกเรา เพราะความเชื่อ และวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเรา อย่าเลิกรา จงดำเนินชีวิตตามที่พวกเราควรจะทำต่อไป พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวที่พวกเราจำเป็นต้องทำให้พระองค์พอพระทัย
             อ.เปโตรเน้น เรื่อง “การทนทุกข์” พวกเราควรยินดีต่อ การทดสอบและหรือการทดลอง เพราะการคงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์ต่อองค์พระเยซูคริสต์ ท่ามกลางการชำระความเชื่อของเราให้บริสุทธิ์(1ปต.1:7) เป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่ง คำสรรเสริญ เกียรติ และศักดิ์ศรีทั้งแก่พวกเรา และแด่พระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา พระเจ้าทรงถือว่าความอดทนบากบั่นท่ามกลางการทดสอบและหรือการทดลอง และความเชื่อของพวกเราในพระคริสต์เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์
1ปต1:7
เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ 
ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟจะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ 
เกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ
...เอเมน..


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง (ตอนสี่)



            1ปต.1:6ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ  อ.เปโตรให้ความสำคัญถึงความทุกข์ยาก และการทดสอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสเตียน ท่านจึงกล่าวว่า ในความรอดนั้น ท่านทั้งหลายชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเดียวนี้จำเป็นที่ ท่านจะต้องเป็นทุกข์ใจชั่วขณะหนึ่ง ด้วยการถูกทดลองต่างๆ ในด้านหนึ่งพวกเราชื่นชมยินดีในความรอดของเรา ถึงแม้ว่าในทางกลับกันบางครั้งเราก็เป็นทุกข์ เพราะการดำเนินชีวิตคริสเตียนด้วยเช่นกัน
            อาณาจักรโรมันเริ่มรุ่งเรืองมาตั้งแต่ปี 509 ก่อนคริสตกาล โดยมีพื้นที่ตั้งแต่เหนือจรดใต้ของทวีปยุโรป ก็เพราะมีจักรพรรดิที่เก่งกล้า มีความสามารถในเชิงรบและความมีประสิทธิภาพของทหาร(ทหารโรมันมีชื่อในเรื่องของระเบียบวินัยอย่างเยี่ยมยอด) คริสเตียนยุคแรกถูกข่มเหง และตกเป็นเป้าของการกดขี่ข่มเหง ก็เพราะว่า
                        ๑ พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมกราบไหว้จักรพรรดิโรมันในฐานะเทพเจ้าองค์หนึ่ง จึงถูกมองว่าเป็นพวกไม่นับถือพระเจ้าและเป็นผู้ทรยศ
                        ๒ พวกเขาไม่ยอมนมัสการที่วิหารของรูปเคารพ ดังนั้นที่ใดมีคริสเตียนจำนวนมากอาศัยอยู่ ธุรกิจในวิหารซึ่งทำเงินดีก็จะขาดรายได้
                        ๓ พวกเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดของชาวโรมันที่ถือเอาตนเอง อำนาจและชัยชนะเป็นที่หนึ่งในชีวิต และชาวโรมมันเองก็ดูหมิ่นความเชื่อของคริสเตียนในเรื่องของการเสียสละตนเองเพื่อรับใช้ผู้อื่น
                        ๔ พวกคริสเตียนกล้าเปิดเผย และไม่ยอมประพฤติผิดศีลธรรมที่เลวร้าย ตามวัฒนธรรมของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า
            ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุด ก็เนื่องจากการปกครองของจักรพรรดิ
เนโร (ค.ศ. 54-68) ท่านขึ้นครองราชย์เมื่อวัยได้เพียง 17 ชันษาเท่านั้น ด้วยความที่เป็นคนทะเยอทะยานและมีจิตใจผิดมนุษย์ทั่วไป และพระองค์มักสร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ใครจะคาดคิดได้อยู่เนือง ๆ เช่นมีเหตุการณ์ที่ทำให้โลกต้องตะลึงก็คือ ในค่ำคืนของวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 64 ได้เกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนของประชาชนครั้งใหญ่ โดยเพลิงไหม้ครั้งนี้กินเวลานานถึง 6 วัน 6 คืนด้วยกันบ้านเรือนต้องถูกเผาผลาญวอดวายพร้อมทั้งการสูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมากมาย แต่จักรพรรดิเนโรทรงนั่งดีดพิณอย่างสำเริงสำราญใจในขณะที่เพลิงกำลังโหมไหม้อยู่นั้น และก็มีเสียงซุบซิบนินทาไปทั่วว่ามือ
ที่วางเพลิงครั้งนี้คงเป็นใคร ไปไม่ได้นอกเสียจะเป็นพระองค์นั่นเอง
            ความร้ายกาจของจักรพรรดิเนโรยังไม่จบ เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ได้นำมาซึ่งความโกรธแค้น ของหมู่ประชาชน และนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พระองค์จะต้องหาแพะมารับบาป นั่นก็คือพวกคริสเตียน โดยใส่ร้ายว่าพวกคริสเตียนนั่นแหละ เป็นผู้ลงมือวางเพลิงจนทำให้ประชาชนต่างพากันลุกฮือขึ้นต่อต้านคริสเตียนและหากรู้ว่าใครเป็นคริสเตียนก็จะเข้าไปทำร้ายหรือมุ่งหมายชีวิตอยู่เป็นเนือง ๆจักรพรรดิเนโรเองก็ทรงมีรับสั่งให้มีการประหารชีวิต หรือทรมานพวกคริสเตียนได้ทั้งนั้น(พวกคริสเตียนขณะนั้นยังถือว่าเป็นกลุ่มความเชื่อใหม่ที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อคนทั่วไป และยังมีจำนวนน้อย) ฉะนั้นคริสเตียนบางคนเมื่อถูกจับก็ถูกตรึงที่กางเขน หรือถูกเอาหนังสัตว์คลุมตัวแล้วให้สุนัขมารุมกัด หรือต้องถูกมัดติดกับเสาแล้วจุดเผาไฟทั้งเป็น เพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืน ด้วยความที่เป็นคนที่มีโทสะจริตโหดร้ายผิดมนุษย์มนา และการที่เป็นคนที่จิตวิปลาสนี้เองประชาชนจึงทนต่อไปไม่ไหว
จึงได้รวมตัวเพื่อต่อต้านโดยมีแรงสนับสนุนจากหมู่แม่ทัพทางทหาร บวกกับได้มีมติจากสภาสูงของโรมันสั่งปลดออกจากการเป็นจักรพรรดิเนโรจึงต้องเร่ร่อนหลบหนีไป และได้จบชีวิตลงเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 68  ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้กลุ่มคนผู้ที่เชื่อใหม่ลดน้อยลง แต่ในทางตรงกันข้ามกลุ่มคนผู้ที่เชื่อใหม่นี้ได้ก่อตัวขึ้นอย่างทวีคูณภายใต้ชื่อ “คริสเตียน” นั่นเอง
            อาจเกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า เมื่อเรากลับใจบังเกิดใหม่แล้ว ทำไมชีวิตจึงต้องประสบปัญหา และความทุกข์ด้วย ก็เพราะพวกเราต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ย่อมต้องเผชิญกับปัญหาอย่างแน่นอนก็ด้วยสาเหตุอย่างน้อย หก ประการ คือ
                        ๑ โลกนี้ถูกแช่งสาปเพราะบาป  ปฐก.3:16-19 พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า "เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้ามีครรภ์ และคลอดบุตร ถึงกระนั้นเจ้ายังปรารถนาสามี และเขาจะปกครองตัวเจ้า" 17พระองค์จึงตรัสแก่อาดัม (แปลว่า มนุษย์) ว่า "เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาป เพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต 18แผ่นดินจะให้ต้นไม้ และพืชที่มีหนามแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชต่างๆ ของทุ่งนา19เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม" พวกเราคงทราบมาแล้วว่ามนุษย์ได้หลงทำผิดบาปครั้งแรกอย่างไร และในทันทีที่มนุษย์ทำผิดบาป มนุษย์จึงกลัว
พระเจ้า และหนีไปซ่อนตัวอยู่เพื่อจะหลบให้พ้นพระพักตร์ของพระเจ้า และการลงโทษที่พวกเขาได้รับคือการถูกแยกจากพระเจ้า และผลกระทบของบาปก็มีต่อธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจมนุษย์ให้ระลึกถึงผลของบาป และเป็นเหตุให้มนุษย์พึ่งพาพระเจ้าโดยความเชื่อ และการเชื่อฟัง


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง (ตอนสาม)

            1ปต.1:4-5 และเพื่อให้ได้รับมรดก ซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย 5ซึ่งเป็นผู้ที่ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองไว้ด้วยความเชื่อให้ถึงความรอด ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เพียงแต่ทรงให้พวกเราบังเกิดใหม่สู่ “ความหวังใจอันมีชีวิต” อยู่เท่านั้น แต่ “เพื่อให้เราได้รับมรดก” กท 3:29 และถ้าท่านเป็นของพระคริสต์แล้วท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม คือ เป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา การกลับใจบังเกิดใหม่ทำให้พวกเราเป็นของพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์เกิดเป็นมนุษย์จากชนชาติอิสราเอล พระองค์เป็นยิว ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงได้รับมรดกของอับราฮัม (พระพรแห่งความรอด) ผ่านทางพระเยซูคริสต์
องค์พระผู้เป็นเจ้ากระทำพันธสัญญา เป็นมรดกในโลกนี้ผ่านทางอับราฮัม ในปฐมกาล 12 ข้อ 1-3 (ปฐก.12:1-3 พระเจ้าตรัสแก่อับราม ว่า "เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ 2เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร3 เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า")  พระเจ้าประทานมรดกให้อับราฮัม และพงศ์พันธุ์ของเขาให้เป็นชนชาติใหญ่ (อิสราเอล) พระเจ้าตรัสว่า เราจะอวยพรเจ้า ซึ่งก็เป็นความจริง เมื่ออับราฮัมเชื่อฟังพระเจ้า ออกจากบ้านเกิดเพื่อไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าประทานให้อับราฮัม และพงศ์พันธุ์ของเขาได้รับการอวยพรอย่างมากมาย  ใครที่อวยพรอิสราเอล จะได้รับพร ซึ่งก็เป็นความจริง อเมริกา และญี่ปุ่นต้อนรับอิสราเอลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ สอง เขาก็ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า เป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรือง ใครที่สาปแช่งอิสราเอล พระเจ้าก็จะสาปแช่งเขา ดังเช่น บาบิโลน และอามาเลข ประเทศของเขาก็สาบสูญไปจากโลกนี้
            มรดกของอับราฮัมตามพระสัญญานี้ เกิดผลและเป็นจริง กท.3:23 -29 ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกธรรมบัญญัติกักตัวไว้...ธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราจน พระคริสต์เสด็จมา..และบัดนี้ ความเชื่อได้มาแล้วเราจึงไม่ได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไป เพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมในพระเยซูคริสต์โดยความเชื่อ........จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท..... เพราะท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยพระเยซูคริสต์ และถ้าท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของ อับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา พระคำกล่าวว่า ก่อนที่พระเยซูเสด็จมา เราถูกบัญญัติควบคุมไว้ และ “ซาตานใช้ธรรมบัญญัติเป็นช่องในการปรักปรำ กล่าวโทษมนุษย์” ทำให้มนุษย์ไม่มีเสรีภาพ และตกอยู่ภายใต้อานุภาพของมารร้าย มนุษย์ต้องรอจนพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก พระองค์เสด็จมาพร้อมด้วยพระพรแห่งความเชื่อ ใครที่เชื่อ และไว้วางใจ พระเยซู จะได้รับมรดกคือความรอด และชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่ไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์ พระเยซูคริสต์ได้มาฉีกกรมธรรม์ซึ่งผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆ (คส.2:14พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น โดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน) ไม่ให้ธรรมบัญญัติควบคุมมนุษย์โดยซาตาน มรดกของอับราฮัม โดยทาง
พระเยซูคริสต์จึงตกเป็นของเราทั้งหลาย และประชาชาติทั่วโลก ตามพระสัญญาของพระองค์ (กท. 3:29และถ้าท่านเป็นของพระคริสต์แล้วท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตำมพระสัญญา)
            “ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองไว้ด้วยความเชื่อให้ถึงความรอด” พระเจ้าจะทรงช่วยเราให้ยืนหยัดในความเชื่อได้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความลำบากอย่างมากมายก็ตาม “วาระสุดท้าย หรือ ยุคสุดท้าย” รม.14:10แต่ตัวท่านเล่า เหตุไฉนท่านจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน หรือท่านผู้เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง เหตุไฉนท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน เพราะว่าเราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า ; วว.20:11-15 ข้าพเจ้าได้เห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาว และเห็นท่านผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น เมื่อพระองค์ทรงปรากฏแผ่นดินโลก และท้องฟ้าก็หายไป และไม่มีที่อยู่สำหรับแผ่นดินโลก และท้องฟ้าเลย 12ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆ ก็เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือ หนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ 13ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษา ตามการกระทำของตนหมดทุกคน 14แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง 15และถ้าผู้ใดไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ นี่คือสภาพของวันพิพากษาของพระคริสต์ พวกเราอาจจะต้องทนสู้กับการทดลอง การกดขี่ข่มเหง หรือถูกฆ่า แต่ไม่มีใครอาจทำอันตรายต่อจิตวิญญาณของพวกเราได้ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะคุ้มครองความรอดของพวกเราไว้ ยน.10:28-29 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้น ไปจากมือของเราได้ 29พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้น ให้แก่เราเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีผู้ใดอาจชิงแกะนั้น ไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาของเราได้ องค์พระเยซูคริสต์สัญญาว่าจะไม่ละทิ้งพวกเราซึ่งเป็นลูกแกะของพระองค์ กุญแจสำคัญ คือ ต้องมีคือ “ความเชื่อ” ความรอดอันยิ่งใหญ่ กับพระพรต่างๆก็จะมาพร้อมกับความเชื่อนี้ มั่นใจเถอะว่าพวกเราจะต้องได้รับรางวัลตามที่ทรงสัญญาไว้ในวาระสุดท้าย


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง (ตอนสอง)

            หากมนุษย์ยังขัดขืน และดำเนินอยู่ในธรรมชาติของชีวิตเก่า พวกเขาทุกคนจะเป็นดังนี้
                        ๑ พวกเขาตายจากองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า (อฟ.2:1ท่านตายแล้วโดย
                            การละเมิด และการบาป)
                        ๒ พวกเขาเป็นคนควรแก่พระอาชญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า 
                                       (อฟ.2:3เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้น ที่ประพฤติ
                             ตามตัณหาของเนื้อหนัง คือ กระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนัง และความคิด
                              ในใจ ตามสันดานเรา จึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น)
                       พวกเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า (อฟ. 2:2ครั้งเมื่อก่อน ท่าน                              เคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือ วิญญาณที่
                             ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ ไม่เชื่อฟัง)
                        ๔ พวกเขาเป็นคนที่รับผลจากคำแช่งสาปเช่นเดียวกับอาดัม (รม. 
                             5:12เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกันที่บาป ได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆ เดียวและความตายก็เกิด
                             มาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวล มนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคน
                             ทำบาป)
            อ.เปาโลก็ประสบกับตัวของท่านเอง(รม 7:19ด้วยว่า การดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่) ท่านต่อว่าตนเองทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็ด้วยเหตุผลบางประการท่านกลับทำไม่ได้ นอกจากนี้ ความบาปที่ท่านรู้ตัวว่าไม่ควรทำ ท่านก็พ่ายแพ้ต่อมัน บาปยังคงแข็งแกร่งมากกว่าพวกเรา และบางครั้งพวกเราก็ไม่สามารถป้องกันตัวเราจากการโจมตีของมันได้ จนกระทั่งเข้าสู่ความตาย(รม 6:23เพราะว่า ค่าจ้างของความบาปคือความตาย...) ความตายนี้รวมทั้งความตายฝ่ายร่างกาย และความตายฝ่ายวิญญาณ มนุษย์จึงถูกตัดขาดจากพระเจ้า และสูญเสียชีวิตนิรันดร์ไป
            ผลของความล้มเหลวเหล่านี้ ถูกแก้ไขเมื่อพวกเรากลับใจเชื่อบังเกิดใหม่ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตใหม่เป็นชีวิตของพระเจ้าที่ปลูกฝังเข้ามาในใจของมนุษย์ โดยการผ่าตัดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงสัมผัสใจของมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังอย่างทันทีทันใดและลึกลับ พระองค์ทรงนำชีวิตและแสงสว่างเข้าไปในที่ที่ครั้งหนึ่งมีแต่ความมืด ความตาย และความอ้างว้าง มนุษย์ใหม่จะต้องบังเกิดจากพระวิญญาณเท่านั้น แม้ว่าชีวิตจิตวิญญาณใหม่จะมาอย่างทันทีทันใด แต่ก็ต้องมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วย ทุกคนที่รับพระคริสต์จะถูกแยกไว้ต่างหากสำหรับพระเจ้า การถูกแยกไว้นี้ต้องมีความรับผิดชอบที่อุทิศต่อพระเจ้า และพัฒนาสู่พระฉายาของพระบุตรพระองค์(รม 8:29 เพราะว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่ง
พระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก)
            เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่” การบังเกิดใหม่นำพวกเราเข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้เป็นมา “โดยการคืนพระชนม์จากความตายของพระเยซูคริสต์” ดังนั้นความหวัง และการบังเกิดใหม่ของพวกเราจึงอยู่บนการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหลักหมุด และหลักคำสอนของคริสเตียนทั้งหมด พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่ ดังนั้นจงพึ่งพาพระองค์ วิกฤตที่จะเกิดในอนาคตจะเกิดกับพวกเราแน่นอน แต่พวกเราต้องตระหนักว่า การจดจ่อและตั้งมั่นที่พระเยซูคริสต์ จะอุ้มชูพวกเราให้รอดจากภัยเหล่านั้น พระองค์ทรงให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เรา ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ ............ บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ขอพระองค์ทรงพิทักษ์รักษาบรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างข้าพระองค์กับพระองค์”(ยน.17:9-11)
                พระเยซูคริสต์ทรงเรียกร้องกับพวกเราว่า -:จงพึ่งวางใจในเรา เพราะเราเป็นหลักที่มั่นคงของเจ้าเมื่อทุกสิ่งสั่นคลอน เราเป็นความสว่างของเจ้าในยามที่ชีวิตเจ้ามีแต่ความมืด เราเป็นผู้ปลอบประโลม คราวที่เจ้าร้องไห้ เราเป็นความหวังเดียวที่เจ้ามี ยามอยู่หรือความตาย เราจะแบกอุ้มเจ้าไว้:- พวกเราเสี่ยงต่อภัยอันตรายเพราะ
พวกเราหวังพึ่งพาพระเยซูคริสต์น้อยเกินไป พวกเราคิดถึงพระองค์เหมือนเป็นรูปปั้น คนรุ่นหลังพอใจกับตำราที่พวกเขาทิ้งไว้ แต่พระเยซูคริสต์ไม่เหมือนคนเหล่านั้น ในพระองค์เรามิได้มีแค่พระวจนะ แต่เรามีพระองค์ วันนี้ “พระองค์ยังทรงอยู่” และวันนี้ “พระองค์ยังกระทำการอยู่”  หากพวกเราต้องการอะไรจากพระองค์ เราจะไม่ไปหาพระองค์ที่ห้องสมุด หรือพิพิธภัณท์สถาน แต่ในการอธิษฐาน พระองค์จะทรงประทานอย่างบริบูรณ์แก่ทุกคนที่ทูลขอ จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน”(มธ.7:7)


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง (ตอนแรก)


1ปต.1:6
ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้
จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ
----------------------------------------------------------
            มนุษย์ทุกคนเกิดมาเนื่องจากความบาปของอาดัม และเอวาสมควรที่จะไปบึงไฟนรก พวกเราทั้งหลายไม่มีแม้สักคนเดียวสมควรได้รับความรอด แต่โดยความอดกลั้นและพระกรุณาคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนำเราไปสู่การกลับใจบังเกิดใหม่ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องทรงกระทำสิ่งนี้ก็ได้ แต่โดยพระเมตตาที่อ่อนโยน และความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ทรงมีต่อเราทั้งหลาย พระองค์จึงทรงกระทำเช่นนั้น นั่นคือ “พระคุณ” ถึงแม้เราได้ปฏิเสธการทรงเรียกของพระองค์ พระองค์ก็ยังคงแผ่ขยายพระกรุณาคุณของพระองค์ออกไปหาเราอย่างต่อเนื่อง และอย่างอดกลั้น พระองค์ทรงชักนำเราไปสู่การบังเกิดใหม่ อ.เปโตรเป็นพยานยืนยันใน 
พระคำ 1เปโตร1:3-6
            เวลานั้นคือประมาณ ค.ศ.62 คริสเตียนถูกข่มเหงรุนแรงขึ้นทุกที ทั่วมหาอาณาจักรโรมเมื่อก่อนนั้นเจ้าหน้าที่โรมคิดว่าพวกคริสเตียนเป็นเพียงนิกายหนึ่งของศาสนายิว จึงเป็นศาสนาที่ได้รับอนุมัติแล้ว ต่อมาเมื่อมีคริสเตียนในหลายประเทศ และคริสเตียนเหล่านั้นเป็นชาวต่างประเทศเสียเป็นส่วนมากไม่ใช่ชาวยิว ทางโรมก็คิดสงสัยว่า พวกคริสเตียนคงถือศาสนาใหม่ซึ่งไม่เกี่ยวกับชาวยิวในปีเดียวกันที่อ.เปาโลถูกประหารชีวิตที่กรุงโรม อ.ยากอบน้องของพระเยซู ที่เป็นคนสำคัญในคริสตจักรกรุงเยรูซาเล็ม ก็ได้ถูกประหารชีวิตที่กรุงเยรูซาเล็ม และคนที่ฆ่าท่านนั้นคือชาวยิว ทุกคนต้องแน่ใจว่าคริสเตียนไม่ใช่ศาสนายิว แต่เป็นศาสนานอกกฎหมาย
            ส่วนคนธรรมดาเกลียดชังคริสเตียนหาว่าเป็นคนดื้อดึงนอกลู่นอกทางไม่คบค้าสมาคมกับใครนอกจากพวกของเขาเอง เพราะคริสเตียนไม่ยอมกราบไหว้รูปเคารพ ไม่ยอมร่วมในพิธีของศาสนาประจำชาติ จึงโดนการข่มเหงอย่างรุนแรงที่สุด ถูกขโมยของ ถูกแกล้งเผาบ้าน ถูกไล่ออกจากงานถูกเฆี่ยน ถูกจำคุก ถูกตัดหัว ถูกตรึงบนไม้กางเขน ถูกโยนให้สัตว์ร้ายกิน ฯลฯ จอมจักรพรรดิเนโรส่งเสริมการข่มเหงและเมื่อกรุงโรมถูกไฟไหม้สมัย ค.ศ.64 เนโรก็กล่าวโทษคริสเตียน คริสเตียนจึงถูกเคี่ยวเข็ญหนักขึ้น นี่เป็นสภาพการณ์ทั่วโลก เมื่อท่านอ.เปโตรเขียนจดหมายเปโตรฉบับแรก ท่านเขียนเพื่อจะสอนพวกคริสเตียนให้มีกำลังใจไว้ ท่านสอนเรื่องความหวังใจอันแน่นอน และมรดกอันถาวรซึ่งคริสเตียนมีในพระคริสต์ เป็นเหตุให้อดทนต่อการข่มเหงและความทุกข์ยาก โดยไม่ล้มหรือย่อท้อ
            1ปต.1:3-6 สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เราทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ 4และเพื่อให้ได้รับมรดก ซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย 5ซึ่งเป็นผู้ที่ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองไว้ด้วยความเชื่อให้ถึงความรอด ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย 6ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ
            พระคำ 1ปต.1:3สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเราผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เราทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำของอ.เปโตรที่มอบให้ทั้งความชื่นชมยินดีและความหวังในความยากลำบาก และท่านมีความเชื่อมั่นเช่นนั้นเพราะได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ เพื่อพวกเราในพระเยซูคริสต์ พวกเราให้ได้รับการทรงเรียกให้มีความหวังอันยืนยงว่า “มีชีวิตนิรันดร์” ความหวังของพวกเราไม่ใช่เพียงเพื่ออนาคต ชีวิตนิรันด์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อเราวางใจในพระคริสต์ และร่วมอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า
            คำว่า “บังเกิดใหม่ เป็นการพูดถึงการเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ อันเป็นการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำผู้เชื่อเข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้า ยน.3:3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ {หรือ จากเบื้องบน} ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้" , 1;12-13 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า ; 1ยน.5:1ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็เกิดจากพระเจ้า และผู้ใดรักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิด ผู้นั้นก็รักคนที่เกิดจากพระองค์ด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำให้คนบาปที่เชื่อในพระองค์แล้ว ให้มีธรรมชาติหรือสภาวะใหม่ โดยผ่านทางการบังเกิดครั้งที่สอง
            พวกเราทุกคนมีธรรมชาติเก่า รม.3:10-18 ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย 11ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า 12เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย 13ลำคอของเขา คือ หลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา 14ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่า และคำเผ็ดร้อน 15เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16ในทางเดินของเขามีความพินาศ และความทุกข์ 17และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข18เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย พระคำที่พระเจ้าตรัสผ่านอ.เปาโลนั้นบรรยายถึงความเสื่อมโทรมของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนไม่ได้เป็นคนชอบธรรม ไม่เข้าใจพระเจ้า ไม่ได้แสวงหาพระองค์ และหลงหายไปจากพระองค์ พวกเขาเลวทรามไม่มีคนเดียวกระทำดี
            ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สถิตอยู่ด้วย มนุษย์ก็ไม่สามารถออกผลฝ่ายวิญญาณ พวกเขาไม่มีความสามารถฝ่ายวิญญาณที่จะทำให้พวกเขา สามารถสำแดงความเมตตาต่อคนอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติความบาปทำให้พวกเขากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว และสนใจแต่เรื่องของตนเอง อ.เปาโลย้ำว่า (ข้อ10)ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่เป็นคนดี สำหรับพระคำหกข้อ(ข้อ13-18)นั้นได้อธิบายถึงความชั่วร้ายของมนุษย์โดยพูดถึงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเล็งให้เห็นว่าทุกส่วนของร่างกายมีส่วนทำให้มนุษย์สมควรถูกพิพากษา ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับการพูด,ความประพฤติ และการมอง คำพูดของพวกเขาชั่วร้ายไม่สัตย์ซื่อ ก่อให้เกิดความเสียหาย และหมิ่นประมาทจากการพูดไม่ดี พวกเขาก็ทำบาป และกระทำเรื่อยไปจนถึงจุดที่ก่อฆาตกรรม ผลที่ตามมาคือพวกเขา และคนอื่นก็พบกับความเสียหายทั้งฝ่ายกายและฝ่ายวิญญาณ และไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข อ.เปาโลสรุปว่าพวกเขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้า ซึ่งสำนึกแบบนี้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของคนที่รักพระเจ้า ด้วยเหตุผลเหล่านี้การบังเกิดใหม่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากมนุษย์ยังขัดขืน และดำเนินอยู่ในธรรมชาติของชีวิตเก่า พวกเขาทุกคนจะเป็นดังนี้

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/