หากมนุษย์ยังขัดขืน
และดำเนินอยู่ในธรรมชาติของชีวิตเก่า พวกเขาทุกคนจะเป็นดังนี้
๑ พวกเขาตายจากองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า (อฟ.2:1ท่านตายแล้วโดย
การละเมิด
และการบาป)
๒ พวกเขาเป็นคนควรแก่พระอาชญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(อฟ.2:3เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้น
ที่ประพฤติ
ตามตัณหาของเนื้อหนัง คือ กระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนัง และความคิด
ในใจ ตามสันดานเรา
จึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น)
๓
พวกเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า (อฟ. 2:2ครั้งเมื่อก่อน ท่าน เคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก
ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือ วิญญาณที่
ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ ไม่เชื่อฟัง)
๔
พวกเขาเป็นคนที่รับผลจากคำแช่งสาปเช่นเดียวกับอาดัม (รม.
5:12เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกันที่บาป ได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆ เดียวและความตายก็เกิด
มาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวล มนุษย์ทุกคน
เพราะมนุษย์ทุกคน
ทำบาป)
อ.เปาโลก็ประสบกับตัวของท่านเอง(รม 7:19ด้วยว่า การดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ
แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่)
ท่านต่อว่าตนเองทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็ด้วยเหตุผลบางประการท่านกลับทำไม่ได้
นอกจากนี้ ความบาปที่ท่านรู้ตัวว่าไม่ควรทำ ท่านก็พ่ายแพ้ต่อมัน บาปยังคงแข็งแกร่งมากกว่าพวกเรา
และบางครั้งพวกเราก็ไม่สามารถป้องกันตัวเราจากการโจมตีของมันได้
จนกระทั่งเข้าสู่ความตาย(รม 6:23เพราะว่า ค่าจ้างของความบาปคือความตาย...) ความตายนี้รวมทั้งความตายฝ่ายร่างกาย
และความตายฝ่ายวิญญาณ มนุษย์จึงถูกตัดขาดจากพระเจ้า และสูญเสียชีวิตนิรันดร์ไป
ผลของความล้มเหลวเหล่านี้
ถูกแก้ไขเมื่อพวกเรากลับใจเชื่อบังเกิดใหม่ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ชีวิตใหม่เป็นชีวิตของพระเจ้าที่ปลูกฝังเข้ามาในใจของมนุษย์ โดยการผ่าตัดของพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระองค์ทรงสัมผัสใจของมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังอย่างทันทีทันใดและลึกลับ
พระองค์ทรงนำชีวิตและแสงสว่างเข้าไปในที่ที่ครั้งหนึ่งมีแต่ความมืด ความตาย
และความอ้างว้าง มนุษย์ใหม่จะต้องบังเกิดจากพระวิญญาณเท่านั้น แม้ว่าชีวิตจิตวิญญาณใหม่จะมาอย่างทันทีทันใด
แต่ก็ต้องมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วย
ทุกคนที่รับพระคริสต์จะถูกแยกไว้ต่างหากสำหรับพระเจ้า
การถูกแยกไว้นี้ต้องมีความรับผิดชอบที่อุทิศต่อพระเจ้า
และพัฒนาสู่พระฉายาของพระบุตรพระองค์(รม 8:29 เพราะว่า
ผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่ง
พระบุตรของพระองค์
เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก)
“เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่” การบังเกิดใหม่นำพวกเราเข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่
สิ่งนี้เป็นมา “โดยการคืนพระชนม์จากความตายของพระเยซูคริสต์”
ดังนั้นความหวัง
และการบังเกิดใหม่ของพวกเราจึงอยู่บนการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
ซึ่งเป็นหลักหมุด และหลักคำสอนของคริสเตียนทั้งหมด
พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่ ดังนั้นจงพึ่งพาพระองค์ วิกฤตที่จะเกิดในอนาคตจะเกิดกับพวกเราแน่นอน
แต่พวกเราต้องตระหนักว่า การจดจ่อและตั้งมั่นที่พระเยซูคริสต์ จะอุ้มชูพวกเราให้รอดจากภัยเหล่านั้น
พระองค์ทรงให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เรา “ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขา
ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์
............ บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้
และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ขอพระองค์ทรงพิทักษ์รักษาบรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์
เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างข้าพระองค์กับพระองค์”(ยน.17:9-11)
พระเยซูคริสต์ทรงเรียกร้องกับพวกเราว่า
-:จงพึ่งวางใจในเรา
เพราะเราเป็นหลักที่มั่นคงของเจ้าเมื่อทุกสิ่งสั่นคลอน
เราเป็นความสว่างของเจ้าในยามที่ชีวิตเจ้ามีแต่ความมืด เราเป็นผู้ปลอบประโลม คราวที่เจ้าร้องไห้
เราเป็นความหวังเดียวที่เจ้ามี ยามอยู่หรือความตาย เราจะแบกอุ้มเจ้าไว้:- พวกเราเสี่ยงต่อภัยอันตรายเพราะ
พวกเราหวังพึ่งพาพระเยซูคริสต์น้อยเกินไป พวกเราคิดถึงพระองค์เหมือนเป็นรูปปั้น
คนรุ่นหลังพอใจกับตำราที่พวกเขาทิ้งไว้ แต่พระเยซูคริสต์ไม่เหมือนคนเหล่านั้น ในพระองค์เรามิได้มีแค่พระวจนะ
แต่เรามีพระองค์ วันนี้ “พระองค์ยังทรงอยู่” และวันนี้ “พระองค์ยังกระทำการอยู่”
หากพวกเราต้องการอะไรจากพระองค์
เราจะไม่ไปหาพระองค์ที่ห้องสมุด หรือพิพิธภัณท์สถาน แต่ในการอธิษฐาน
พระองค์จะทรงประทานอย่างบริบูรณ์แก่ทุกคนที่ทูลขอ “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน”(มธ.7:7)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น