วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง (ตอนสอง)

            หากมนุษย์ยังขัดขืน และดำเนินอยู่ในธรรมชาติของชีวิตเก่า พวกเขาทุกคนจะเป็นดังนี้
                        ๑ พวกเขาตายจากองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า (อฟ.2:1ท่านตายแล้วโดย
                            การละเมิด และการบาป)
                        ๒ พวกเขาเป็นคนควรแก่พระอาชญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า 
                                       (อฟ.2:3เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้น ที่ประพฤติ
                             ตามตัณหาของเนื้อหนัง คือ กระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนัง และความคิด
                              ในใจ ตามสันดานเรา จึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น)
                       พวกเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า (อฟ. 2:2ครั้งเมื่อก่อน ท่าน                              เคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือ วิญญาณที่
                             ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ ไม่เชื่อฟัง)
                        ๔ พวกเขาเป็นคนที่รับผลจากคำแช่งสาปเช่นเดียวกับอาดัม (รม. 
                             5:12เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกันที่บาป ได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆ เดียวและความตายก็เกิด
                             มาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวล มนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคน
                             ทำบาป)
            อ.เปาโลก็ประสบกับตัวของท่านเอง(รม 7:19ด้วยว่า การดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่) ท่านต่อว่าตนเองทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็ด้วยเหตุผลบางประการท่านกลับทำไม่ได้ นอกจากนี้ ความบาปที่ท่านรู้ตัวว่าไม่ควรทำ ท่านก็พ่ายแพ้ต่อมัน บาปยังคงแข็งแกร่งมากกว่าพวกเรา และบางครั้งพวกเราก็ไม่สามารถป้องกันตัวเราจากการโจมตีของมันได้ จนกระทั่งเข้าสู่ความตาย(รม 6:23เพราะว่า ค่าจ้างของความบาปคือความตาย...) ความตายนี้รวมทั้งความตายฝ่ายร่างกาย และความตายฝ่ายวิญญาณ มนุษย์จึงถูกตัดขาดจากพระเจ้า และสูญเสียชีวิตนิรันดร์ไป
            ผลของความล้มเหลวเหล่านี้ ถูกแก้ไขเมื่อพวกเรากลับใจเชื่อบังเกิดใหม่ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตใหม่เป็นชีวิตของพระเจ้าที่ปลูกฝังเข้ามาในใจของมนุษย์ โดยการผ่าตัดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงสัมผัสใจของมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังอย่างทันทีทันใดและลึกลับ พระองค์ทรงนำชีวิตและแสงสว่างเข้าไปในที่ที่ครั้งหนึ่งมีแต่ความมืด ความตาย และความอ้างว้าง มนุษย์ใหม่จะต้องบังเกิดจากพระวิญญาณเท่านั้น แม้ว่าชีวิตจิตวิญญาณใหม่จะมาอย่างทันทีทันใด แต่ก็ต้องมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วย ทุกคนที่รับพระคริสต์จะถูกแยกไว้ต่างหากสำหรับพระเจ้า การถูกแยกไว้นี้ต้องมีความรับผิดชอบที่อุทิศต่อพระเจ้า และพัฒนาสู่พระฉายาของพระบุตรพระองค์(รม 8:29 เพราะว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่ง
พระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก)
            เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่” การบังเกิดใหม่นำพวกเราเข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้เป็นมา “โดยการคืนพระชนม์จากความตายของพระเยซูคริสต์” ดังนั้นความหวัง และการบังเกิดใหม่ของพวกเราจึงอยู่บนการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหลักหมุด และหลักคำสอนของคริสเตียนทั้งหมด พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่ ดังนั้นจงพึ่งพาพระองค์ วิกฤตที่จะเกิดในอนาคตจะเกิดกับพวกเราแน่นอน แต่พวกเราต้องตระหนักว่า การจดจ่อและตั้งมั่นที่พระเยซูคริสต์ จะอุ้มชูพวกเราให้รอดจากภัยเหล่านั้น พระองค์ทรงให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เรา ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ ............ บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ขอพระองค์ทรงพิทักษ์รักษาบรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างข้าพระองค์กับพระองค์”(ยน.17:9-11)
                พระเยซูคริสต์ทรงเรียกร้องกับพวกเราว่า -:จงพึ่งวางใจในเรา เพราะเราเป็นหลักที่มั่นคงของเจ้าเมื่อทุกสิ่งสั่นคลอน เราเป็นความสว่างของเจ้าในยามที่ชีวิตเจ้ามีแต่ความมืด เราเป็นผู้ปลอบประโลม คราวที่เจ้าร้องไห้ เราเป็นความหวังเดียวที่เจ้ามี ยามอยู่หรือความตาย เราจะแบกอุ้มเจ้าไว้:- พวกเราเสี่ยงต่อภัยอันตรายเพราะ
พวกเราหวังพึ่งพาพระเยซูคริสต์น้อยเกินไป พวกเราคิดถึงพระองค์เหมือนเป็นรูปปั้น คนรุ่นหลังพอใจกับตำราที่พวกเขาทิ้งไว้ แต่พระเยซูคริสต์ไม่เหมือนคนเหล่านั้น ในพระองค์เรามิได้มีแค่พระวจนะ แต่เรามีพระองค์ วันนี้ “พระองค์ยังทรงอยู่” และวันนี้ “พระองค์ยังกระทำการอยู่”  หากพวกเราต้องการอะไรจากพระองค์ เราจะไม่ไปหาพระองค์ที่ห้องสมุด หรือพิพิธภัณท์สถาน แต่ในการอธิษฐาน พระองค์จะทรงประทานอย่างบริบูรณ์แก่ทุกคนที่ทูลขอ จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน”(มธ.7:7)


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น