วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง (ตอนแรก)


1ปต.1:6
ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้
จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ
----------------------------------------------------------
            มนุษย์ทุกคนเกิดมาเนื่องจากความบาปของอาดัม และเอวาสมควรที่จะไปบึงไฟนรก พวกเราทั้งหลายไม่มีแม้สักคนเดียวสมควรได้รับความรอด แต่โดยความอดกลั้นและพระกรุณาคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนำเราไปสู่การกลับใจบังเกิดใหม่ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องทรงกระทำสิ่งนี้ก็ได้ แต่โดยพระเมตตาที่อ่อนโยน และความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ทรงมีต่อเราทั้งหลาย พระองค์จึงทรงกระทำเช่นนั้น นั่นคือ “พระคุณ” ถึงแม้เราได้ปฏิเสธการทรงเรียกของพระองค์ พระองค์ก็ยังคงแผ่ขยายพระกรุณาคุณของพระองค์ออกไปหาเราอย่างต่อเนื่อง และอย่างอดกลั้น พระองค์ทรงชักนำเราไปสู่การบังเกิดใหม่ อ.เปโตรเป็นพยานยืนยันใน 
พระคำ 1เปโตร1:3-6
            เวลานั้นคือประมาณ ค.ศ.62 คริสเตียนถูกข่มเหงรุนแรงขึ้นทุกที ทั่วมหาอาณาจักรโรมเมื่อก่อนนั้นเจ้าหน้าที่โรมคิดว่าพวกคริสเตียนเป็นเพียงนิกายหนึ่งของศาสนายิว จึงเป็นศาสนาที่ได้รับอนุมัติแล้ว ต่อมาเมื่อมีคริสเตียนในหลายประเทศ และคริสเตียนเหล่านั้นเป็นชาวต่างประเทศเสียเป็นส่วนมากไม่ใช่ชาวยิว ทางโรมก็คิดสงสัยว่า พวกคริสเตียนคงถือศาสนาใหม่ซึ่งไม่เกี่ยวกับชาวยิวในปีเดียวกันที่อ.เปาโลถูกประหารชีวิตที่กรุงโรม อ.ยากอบน้องของพระเยซู ที่เป็นคนสำคัญในคริสตจักรกรุงเยรูซาเล็ม ก็ได้ถูกประหารชีวิตที่กรุงเยรูซาเล็ม และคนที่ฆ่าท่านนั้นคือชาวยิว ทุกคนต้องแน่ใจว่าคริสเตียนไม่ใช่ศาสนายิว แต่เป็นศาสนานอกกฎหมาย
            ส่วนคนธรรมดาเกลียดชังคริสเตียนหาว่าเป็นคนดื้อดึงนอกลู่นอกทางไม่คบค้าสมาคมกับใครนอกจากพวกของเขาเอง เพราะคริสเตียนไม่ยอมกราบไหว้รูปเคารพ ไม่ยอมร่วมในพิธีของศาสนาประจำชาติ จึงโดนการข่มเหงอย่างรุนแรงที่สุด ถูกขโมยของ ถูกแกล้งเผาบ้าน ถูกไล่ออกจากงานถูกเฆี่ยน ถูกจำคุก ถูกตัดหัว ถูกตรึงบนไม้กางเขน ถูกโยนให้สัตว์ร้ายกิน ฯลฯ จอมจักรพรรดิเนโรส่งเสริมการข่มเหงและเมื่อกรุงโรมถูกไฟไหม้สมัย ค.ศ.64 เนโรก็กล่าวโทษคริสเตียน คริสเตียนจึงถูกเคี่ยวเข็ญหนักขึ้น นี่เป็นสภาพการณ์ทั่วโลก เมื่อท่านอ.เปโตรเขียนจดหมายเปโตรฉบับแรก ท่านเขียนเพื่อจะสอนพวกคริสเตียนให้มีกำลังใจไว้ ท่านสอนเรื่องความหวังใจอันแน่นอน และมรดกอันถาวรซึ่งคริสเตียนมีในพระคริสต์ เป็นเหตุให้อดทนต่อการข่มเหงและความทุกข์ยาก โดยไม่ล้มหรือย่อท้อ
            1ปต.1:3-6 สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เราทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ 4และเพื่อให้ได้รับมรดก ซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย 5ซึ่งเป็นผู้ที่ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองไว้ด้วยความเชื่อให้ถึงความรอด ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย 6ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ
            พระคำ 1ปต.1:3สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเราผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เราทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำของอ.เปโตรที่มอบให้ทั้งความชื่นชมยินดีและความหวังในความยากลำบาก และท่านมีความเชื่อมั่นเช่นนั้นเพราะได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ เพื่อพวกเราในพระเยซูคริสต์ พวกเราให้ได้รับการทรงเรียกให้มีความหวังอันยืนยงว่า “มีชีวิตนิรันดร์” ความหวังของพวกเราไม่ใช่เพียงเพื่ออนาคต ชีวิตนิรันด์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อเราวางใจในพระคริสต์ และร่วมอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า
            คำว่า “บังเกิดใหม่ เป็นการพูดถึงการเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ อันเป็นการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำผู้เชื่อเข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้า ยน.3:3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ {หรือ จากเบื้องบน} ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้" , 1;12-13 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า ; 1ยน.5:1ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็เกิดจากพระเจ้า และผู้ใดรักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิด ผู้นั้นก็รักคนที่เกิดจากพระองค์ด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำให้คนบาปที่เชื่อในพระองค์แล้ว ให้มีธรรมชาติหรือสภาวะใหม่ โดยผ่านทางการบังเกิดครั้งที่สอง
            พวกเราทุกคนมีธรรมชาติเก่า รม.3:10-18 ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย 11ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า 12เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย 13ลำคอของเขา คือ หลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา 14ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่า และคำเผ็ดร้อน 15เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16ในทางเดินของเขามีความพินาศ และความทุกข์ 17และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข18เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย พระคำที่พระเจ้าตรัสผ่านอ.เปาโลนั้นบรรยายถึงความเสื่อมโทรมของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนไม่ได้เป็นคนชอบธรรม ไม่เข้าใจพระเจ้า ไม่ได้แสวงหาพระองค์ และหลงหายไปจากพระองค์ พวกเขาเลวทรามไม่มีคนเดียวกระทำดี
            ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สถิตอยู่ด้วย มนุษย์ก็ไม่สามารถออกผลฝ่ายวิญญาณ พวกเขาไม่มีความสามารถฝ่ายวิญญาณที่จะทำให้พวกเขา สามารถสำแดงความเมตตาต่อคนอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติความบาปทำให้พวกเขากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว และสนใจแต่เรื่องของตนเอง อ.เปาโลย้ำว่า (ข้อ10)ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่เป็นคนดี สำหรับพระคำหกข้อ(ข้อ13-18)นั้นได้อธิบายถึงความชั่วร้ายของมนุษย์โดยพูดถึงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเล็งให้เห็นว่าทุกส่วนของร่างกายมีส่วนทำให้มนุษย์สมควรถูกพิพากษา ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับการพูด,ความประพฤติ และการมอง คำพูดของพวกเขาชั่วร้ายไม่สัตย์ซื่อ ก่อให้เกิดความเสียหาย และหมิ่นประมาทจากการพูดไม่ดี พวกเขาก็ทำบาป และกระทำเรื่อยไปจนถึงจุดที่ก่อฆาตกรรม ผลที่ตามมาคือพวกเขา และคนอื่นก็พบกับความเสียหายทั้งฝ่ายกายและฝ่ายวิญญาณ และไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข อ.เปาโลสรุปว่าพวกเขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้า ซึ่งสำนึกแบบนี้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของคนที่รักพระเจ้า ด้วยเหตุผลเหล่านี้การบังเกิดใหม่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากมนุษย์ยังขัดขืน และดำเนินอยู่ในธรรมชาติของชีวิตเก่า พวกเขาทุกคนจะเป็นดังนี้

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น