วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เผชิญความทุกข์ยาก (ตอนสุดท้าย)

 ข้อ22-31อยู่มาเมื่อถึงวันที่หก เขาเก็บอาหารสองเท่าคือคนละสองโอเมอร์บรรดาหัวหน้าของชุมนุมชนจึงมารายงานต่อโมเสส 23โมเสสบอกเขาว่า"พระเจ้าทรงบัญชาว่า 'พรุ่งนี้เป็นวันหยุดงานเป็นสะบาโตวันบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง จะต้มอะไรก็ให้ต้มเสีย และส่วนที่เหลือทั้งหมดจงเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น'" 24เมื่อเขาเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น ตามโมเสสสั่ง อาหารนั้นก็มิได้บูดเหม็นเป็นหนอนเลย 25โมเสสจึงบอกว่า "วันนี้จงกินอาหารนั้น เพราะว่าวันนี้เป็นวันสะบาโตของพระเจ้า วันนี้ท่านจะไม่พบอาหารอย่างนั้นในทุ่งเลย 26จงเก็บหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโตจะไม่มีเลย" 27อยู่มาเมื่อวันที่เจ็ด มีบางคนออกไปเก็บ แต่ไม่ได้พบ 28พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญัติและกฎหมายของเรานานสักเท่าไร 29ดูซิ พระเจ้าทรงกำหนดวันสะบาโตให้เจ้าคือในวันที่หกพระองค์จึงประทานอาหารให้พอรับประทานสองวัน ให้ทุกคนพักอยู่ในที่ของตน อย่าให้ผู้ใดออกจากที่พักในวันที่เจ็ดนั้นเลย" 30เหตุฉะนั้น ประชาชนทั้งปวงจึงได้พักงานในวันที่เจ็ด 31เหล่าวงศ์วานของอิสราเอล เรียกชื่ออาหารนั้นว่ามานา {เข้าใจกันว่า หมายว่า นี่อะไร ดูข้อ15} เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง
            โมเสส ย้ำเตือนว่า ในวันที่หกควรจะปฏิบัติอย่างไรในการเก็บมานา สำหรับวันสะบาโตที่จะมาถึงท่านสั่งพวกเขาให้ปิ้ง หรือต้มมานาซึ่งอาจจะรวมถึงนกคุ่มด้วย วันสะบาโตนี้ อิสราเอลส่วนใหญ่ทำตามนั้น และมานาที่เตรียมไว้เมื่อเก็บไว้ข้ามคืนก็ไม่เน่าเสียหรือหนอนขึ้นจริงๆ โมเสสเตือนความจำพวกเขาเกี่ยวกับหลักการกว้างๆ เรื่องวันสะบาโต “สะบาโต” ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พันธสัญญาเดิมใช้คำนี้เป็นศัพท์บัญญัติว่า “สะบาโต” แปลว่า “วันหยุดพัก” ปฐก.2:2-3วันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงกระทำมานั้น ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ 3พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำในการเนรมิตสร้าง ในปฐมกาลไม่ได้เรียกวันนี้ว่า “สะบาโต” แต่เรียกว่า “วันที่เจ็ด” อิสราเอลถือว่าเป็นวันสันติสุข และหยุดพัก พวกเขาถือว่าเป็นวันที่พระเจ้าประทานให้ (อพย.16:29 ดูซิพระเจ้าทรงกำหนดวันสะบาโตให้เจ้าคือในวันที่หกพระองค์จึงประทานอาหารให้พอรับประทานสองวัน ให้ทุกคนพักอยู่ในที่ของตน อย่าให้ผู้ใดออกจากที่พักในวันที่เจ็ดนั้นเลย ; อสย.58:13 ถ้าเจ้าหยุดเหยียบย่ำวันสะบาโต คือจากการทำตามใจของเจ้าในวันบริสุทธิ์ของเราและเรียกสะบาโตว่า วันปีติยินดี และเรียกวันบริสุทธิ์ของพระเจ้าว่า วันมีเกียรติถ้าเจ้าให้เกียรติมัน ไม่ไปตามทางของเจ้าเอง หรือทำตามใจของเจ้า หรือพูดแต่เรื่องไร้สาระ ; มก.2:27พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่ทรงสร้างมนุษย์ไว้สำหรับวันสะบาโต)
            มุมมองในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่มาร์ติน ลูเธอร์ อรรถาธิบาย เรื่องวันสะบาโตไว้ในหนังสือคำสอนความเชื่อสำหรับคริสเตียน ว่า ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงแยกวันที่เจ็ดออกและทรงกำหนดให้ถือเป็นวันบริสุทธิ์เหนือวันอื่นๆ เท่าที่พิจารณาดูก็เห็นได้ว่า พระบัญญัตินี้กำหนดขึ้นเพื่อพวกยิวโดยเฉพาะ พวกเขาจะต้องละจากงานหนักและพักผ่อน เพื่อว่าทั้งคนและสัตว์จะได้สดชื่นขึ้นไม่เหน็จเหนื่อยจนเกินไปจากการตรากตรำกับงานหนักตลอดเวลา ในสมัยนั้นพวกยิวตีความหมายอย่างแคบๆและนำมาอ้างผิดๆพวกเขากล่าวหาพระเยซูคริสต์ไม่ย่อมให้พระองค์ทรงทำในสิ่งที่พวกเขาต้องงดเว้นในวันนั้นตามที่พวกเราพบในพระคัมภีร์ ราวกับว่าถ้าเขาหยุดจากการทำงานหนักไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตามจะทำให้การปฏิบัติตามพระบัญญัตินี้ถูกต้องสมบูรณ์แบบ แต่ว่านั้นเป็นการกระทำที่ผิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริง นั้นคือว่าพระบัญญัตินี้หมายความว่า เราจะต้องถือวันสะบาโตเป็นวันบริสุทธิ์ หรือเป็นวันหยุดพักจากงาน
            ถ้าพิจารณาตามตัวอักษร พระบัญญัตินี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับคริสเตียน เพราะเป็นเรื่องของสิ่งภายนอกกาย เช่นเดียวกับกฎอื่นๆในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมซึ่งขึ้นอยู่กับขนบธรรมเนียม ประเพณี ตัวบุคคล กาลเวลาและสถานที่    บัดนี้พระเยซูคริสต์ได้ทรงให้เราเป็นอิสระ พ้นจากกฎข้อบังคับนั้นแล้ว ถ้าจะให้ตีความหมายอย่างคริสเตียนถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด ให้เราถือตามพระบัญญัตินี้ ซึ่งควรจะอธิบายให้เห็นว่า เหตุที่เราถือวันเหล่านี้เป็นวันหยุดนั้น ไม่ใช่เป็นประโยชน์ของคริสเตียนที่ฉลาด และคงแก่เรียน เพราะไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด การที่เราถือปฏิบัติตามพระบัญญัตินี้ก็ด้วยเหตุผลดังนี้คือ
                        ประการแรก เพื่อความต้องการของร่างกาย ธรรมชาติสอน และต้องการให้คนทั่วๆไป คนทำงานทั้งหญิงและชาย ซึ่งได้ทำงานหนักมาตลอดสัปดาห์ให้เหยุดพักเสียวันหนึ่ง เพื่อพักผ่อนและเพื่อจะได้สดชื่นขึ้น
                        ประการสุดท้ายที่สำคัญยิ่งก็เพื่อให้คนได้มีเวลา และโอกาสเข้าร่วมนมัสการพระเจ้า ซึ่งโดยปกติแล้วจะทำไม่ได้ นั่นก็คือพวกเขาจะได้มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระคำของพระเจ้า ได้สรรเสริญพระองค์ด้วยการร้องเพลง และอธิษฐาน ด้วยเหตุเหล่านี้คริสเตียนเราควรถือรักษาวันสะบาโต
                ในกาลนั้น โมเสสสั่งให้ประชาชนรับประทานอาหารที่เตรียมไว้ และไม่ต้องออกไปเก็บเหมือนหกวันที่ผ่านมา มีบางคนเพิกเฉยต่อคำสั่งที่ชัดเจนของพระเจ้า จึงมีคนออกไปหามานาในวันสะบาโตแต่ก็ไม่มีใครพบมานาเลย พระเจ้าจึงเตือนผ่านเขาทางโมเสสว่า “พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญัติและกฎหมายของเรานานสักเท่าไร” พระองค์จึงย้ำอีกครั้งว่าพวกเขาต้องเก็บเป็นสองเท่าในวันที่หก และหยุดพักในวันที่เจ็ด อิสราเอลเรียก อาหาร นั้นว่า “มานา” ซึ่งน่าจะเป็นคำอุทานในภาษาฮีบรูที่แปลว่า “นี่อะไรหนอ? (อพย.16:15 เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า "นี่อะไรหนอ" เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า "นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้พวกท่านรับประทาน)
            ในยามอันตราย ทุกข์ยาก และแม้แต่ความตาย พวกเราไม่ต้องกลัว ...ทำไมหรือ? มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่พร้อมเดินไปกับพวกเรา และนำพวกเราไปตลอดเส้นทางชีวิต ผู้นั้นก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งชีวิตผู้เป็นพระผู้เลี้ยงของพวกเรา เนื่องด้วยชีวิตนั้นไม่แน่นอนจึงต้องติดตามพระผู้เลี้ยงองค์นี้ ซึ่งจะดูแลพวกเราตลอดไป

สดุดี 23:4
แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช
ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับ   ข้าพระองค์
คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์


อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น