โมเสส
ย้ำเตือนว่า ในวันที่หกควรจะปฏิบัติอย่างไรในการเก็บมานา สำหรับวันสะบาโตที่จะมาถึงท่านสั่งพวกเขาให้ปิ้ง หรือต้มมานาซึ่งอาจจะรวมถึงนกคุ่มด้วย
วันสะบาโตนี้ อิสราเอลส่วนใหญ่ทำตามนั้น และมานาที่เตรียมไว้เมื่อเก็บไว้ข้ามคืนก็ไม่เน่าเสียหรือหนอนขึ้นจริงๆ
โมเสสเตือนความจำพวกเขาเกี่ยวกับหลักการกว้างๆ เรื่องวันสะบาโต “สะบาโต”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พันธสัญญาเดิมใช้คำนี้เป็นศัพท์บัญญัติว่า “สะบาโต” แปลว่า “วันหยุดพัก” ปฐก.2:2-3วันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงกระทำมานั้น
ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ 3พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด
ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำในการเนรมิตสร้าง ในปฐมกาลไม่ได้เรียกวันนี้ว่า “สะบาโต” แต่เรียกว่า “วันที่เจ็ด” อิสราเอลถือว่าเป็นวันสันติสุข
และหยุดพัก พวกเขาถือว่าเป็นวันที่พระเจ้าประทานให้ (อพย.16:29 ดูซิพระเจ้าทรงกำหนดวันสะบาโตให้เจ้าคือในวันที่หกพระองค์จึงประทานอาหารให้พอรับประทานสองวัน
ให้ทุกคนพักอยู่ในที่ของตน อย่าให้ผู้ใดออกจากที่พักในวันที่เจ็ดนั้นเลย ; อสย.58:13 ถ้าเจ้าหยุดเหยียบย่ำวันสะบาโต คือจากการทำตามใจของเจ้าในวันบริสุทธิ์ของเราและเรียกสะบาโตว่า
วันปีติยินดี และเรียกวันบริสุทธิ์ของพระเจ้าว่า วันมีเกียรติถ้าเจ้าให้เกียรติมัน
ไม่ไปตามทางของเจ้าเอง หรือทำตามใจของเจ้า หรือพูดแต่เรื่องไร้สาระ ; มก.2:27พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์
มิใช่ทรงสร้างมนุษย์ไว้สำหรับวันสะบาโต)
มุมมองในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่มาร์ติน ลูเธอร์ อรรถาธิบาย
เรื่องวันสะบาโตไว้ในหนังสือคำสอนความเชื่อสำหรับคริสเตียน ว่า
ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงแยกวันที่เจ็ดออกและทรงกำหนดให้ถือเป็นวันบริสุทธิ์เหนือวันอื่นๆ
เท่าที่พิจารณาดูก็เห็นได้ว่า พระบัญญัตินี้กำหนดขึ้นเพื่อพวกยิวโดยเฉพาะ
พวกเขาจะต้องละจากงานหนักและพักผ่อน เพื่อว่าทั้งคนและสัตว์จะได้สดชื่นขึ้นไม่เหน็จเหนื่อยจนเกินไปจากการตรากตรำกับงานหนักตลอดเวลา
ในสมัยนั้นพวกยิวตีความหมายอย่างแคบๆและนำมาอ้างผิดๆพวกเขากล่าวหาพระเยซูคริสต์ไม่ย่อมให้พระองค์ทรงทำในสิ่งที่พวกเขาต้องงดเว้นในวันนั้นตามที่พวกเราพบในพระคัมภีร์
ราวกับว่าถ้าเขาหยุดจากการทำงานหนักไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตามจะทำให้การปฏิบัติตามพระบัญญัตินี้ถูกต้องสมบูรณ์แบบ
แต่ว่านั้นเป็นการกระทำที่ผิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริง
นั้นคือว่าพระบัญญัตินี้หมายความว่า เราจะต้องถือวันสะบาโตเป็นวันบริสุทธิ์
หรือเป็นวันหยุดพักจากงาน
ถ้าพิจารณาตามตัวอักษร
พระบัญญัตินี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับคริสเตียน เพราะเป็นเรื่องของสิ่งภายนอกกาย
เช่นเดียวกับกฎอื่นๆในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมซึ่งขึ้นอยู่กับขนบธรรมเนียม
ประเพณี ตัวบุคคล กาลเวลาและสถานที่ บัดนี้พระเยซูคริสต์ได้ทรงให้เราเป็นอิสระ
พ้นจากกฎข้อบังคับนั้นแล้ว ถ้าจะให้ตีความหมายอย่างคริสเตียนถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด
ให้เราถือตามพระบัญญัตินี้ ซึ่งควรจะอธิบายให้เห็นว่า
เหตุที่เราถือวันเหล่านี้เป็นวันหยุดนั้น ไม่ใช่เป็นประโยชน์ของคริสเตียนที่ฉลาด
และคงแก่เรียน เพราะไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด
การที่เราถือปฏิบัติตามพระบัญญัตินี้ก็ด้วยเหตุผลดังนี้คือ
ประการแรก
เพื่อความต้องการของร่างกาย ธรรมชาติสอน และต้องการให้คนทั่วๆไป
คนทำงานทั้งหญิงและชาย ซึ่งได้ทำงานหนักมาตลอดสัปดาห์ให้เหยุดพักเสียวันหนึ่ง
เพื่อพักผ่อนและเพื่อจะได้สดชื่นขึ้น
ประการสุดท้ายที่สำคัญยิ่งก็เพื่อให้คนได้มีเวลา
และโอกาสเข้าร่วมนมัสการพระเจ้า ซึ่งโดยปกติแล้วจะทำไม่ได้
นั่นก็คือพวกเขาจะได้มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระคำของพระเจ้า ได้สรรเสริญพระองค์ด้วยการร้องเพลง และอธิษฐาน
ด้วยเหตุเหล่านี้คริสเตียนเราควรถือรักษาวันสะบาโต
ในกาลนั้น โมเสสสั่งให้ประชาชนรับประทานอาหารที่เตรียมไว้ และไม่ต้องออกไปเก็บเหมือนหกวันที่ผ่านมา
มีบางคนเพิกเฉยต่อคำสั่งที่ชัดเจนของพระเจ้า
จึงมีคนออกไปหามานาในวันสะบาโตแต่ก็ไม่มีใครพบมานาเลย
พระเจ้าจึงเตือนผ่านเขาทางโมเสสว่า “พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญัติและกฎหมายของเรานานสักเท่าไร” พระองค์จึงย้ำอีกครั้งว่าพวกเขาต้องเก็บเป็นสองเท่าในวันที่หก
และหยุดพักในวันที่เจ็ด อิสราเอลเรียก อาหาร นั้นว่า “มานา”
ซึ่งน่าจะเป็นคำอุทานในภาษาฮีบรูที่แปลว่า “นี่อะไรหนอ?” (อพย.16:15 เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า "นี่อะไรหนอ"
เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า "นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้พวกท่านรับประทาน)
ในยามอันตราย
ทุกข์ยาก และแม้แต่ความตาย พวกเราไม่ต้องกลัว ...ทำไมหรือ?
มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่พร้อมเดินไปกับพวกเรา
และนำพวกเราไปตลอดเส้นทางชีวิต ผู้นั้นก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งชีวิตผู้เป็นพระผู้เลี้ยงของพวกเรา
เนื่องด้วยชีวิตนั้นไม่แน่นอนจึงต้องติดตามพระผู้เลี้ยงองค์นี้
ซึ่งจะดูแลพวกเราตลอดไป
สดุดี 23:4
แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช
ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ
เพราะพระองค์ทรงสถิตกับ ข้าพระองค์
คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น