วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เผชิญความทุกข์ยาก (ตอนสอง)

ข้อ 13-15 ครั้นถึงเวลาเย็นฝูงนกคุ่มบินมาเต็มค่าย ในเวลาเช้าก็มีน้ำค้างตกรอบค่ายที่พัก 14เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว ก็เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆ เท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่พื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น 15เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า "นี่อะไรหนอ" เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า "นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้พวกท่านรับประทาน
            องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเมตตา ทรงพระคุณ และทรงอดทนนาน สดด.103:8พระเจ้าทรงพระกรุณาและมีพระคุณ ทรงกริ้วช้าและอุดมด้วยความรักมั่นคง  และอพย.34:6พระเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน ตรัสว่า "พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง ด้วยพระลักษณะเหล่านี้ พระองค์ทรงจัดหาเนื้อสัตว์กับอาหารให้แก่พวกเขา ซึ่งพวกเขาไม่ต้องออกแรงเพื่อให้ได้มันมาเลยซักนิด แต่อาหารก็มาพร้อมกับบททดสอบ อพย.16:4 แล้วพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสว่า "ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝนสำหรับพวกเจ้า ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่า เขาจะปฏิบัติตามโอวาทของเราหรือไม่ เมื่อทรงทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พระเจ้าก็ทรงบอกโมเสสว่าพระองค์จะทรง “ให้อาหารตลลงมาจากท้องฟ้าดุจฝนสำหรับพวกเจ้า” ประชาชนอิสราเอลจะออกไปแต่ละวันและเก็บตามปริมาณหนึ่ง “พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ” นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาต คือ ให้เก็บได้เฉพาะวันเท่านั้น แต่ในวันที่หกของสัปดาห์พวกเขาก็ต้องเก็บเป็นสองเท่าของที่พวกเขาเก็บ(อพย.16:5 ในวันที่หก เมื่อเขาเตรียมของที่เก็บมา อาหารนั้นก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าของที่เขาเก็บทุกวัน)
            ที่น่าสนใจก็คือว่าในการทำเช่นนั้น พระเจ้าทรงหมายพระทัยที่จะทดสอบ “ลองใจว่าเขาจะปฏิบัติตามโอวาทของเราหรือไม่” พระเจ้าไม่เพียงเตรียมเสบียงสำหรับประชากรของพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ตั้งบททดสอบหนึ่งไว้ต่อหน้าพวกเขาด้วย
                 ข้อ 16-21 นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ว่า 'ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละโอเมอร์ {เครื่องตวงของฮีบรู เกือบเท่า4ลิตร} ตามจำนวนคนมากน้อย ซึ่งพักอยู่ในเต็นท์ของตน'" 17ชนชาติอิสราเอลก็กระทำตาม บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย 18แต่เมื่อเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่ ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี
19โมเสสจึงสั่งว่า "อย่าให้ผู้ใดเก็บเหลือไว้จนรุ่งเช้า" 20แต่เขามิได้เชื่อฟังโมเสส บางคนเก็บส่วนหนึ่งไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็เน่าเป็นหนอน และบูดเหม็น โมเสสจึงโกรธคนเหล่านั้น 21เขาเก็บกันทุกๆเช้าเท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี แต่พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้นก็ละลายไป
            พวกเขาต้องเก็บตามปริมาณที่กำหนดในแต่ละวันเท่านั้น นั่นคือ ไม่มากเกินและไม่น้อยเกิน ประเด็นก็คือว่าพระเจ้าปรารถนาให้ “พวกเขาพึ่งพาพระองค์” สำหรับความต้องการต่างๆ นี่เท่ากับว่าพระองค์กำลังสอนประชาชนของพระองค์ให้วางใจ นั่นคือ ที่จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ นอกจากนี้มันจะเป็นบททดสอบหนึ่งซึ่งพวกเขาจะต้องเชื่อฟัง ในรายละเอียดที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์แม้โมเสสสั่งอย่างชัดเจน เกี่ยวกับเรื่อง การเก็บ การใช้ และการเก็บรักษามานาแก่พวกเขา โดยต้องออกไปเก็บเฉพาะตามที่แต่ละคนต้องการ นั่นคือเก็บคนละโอเมอร์ “โอเมอร์” เป็นหน่วยวัดตวงของคนฮีบรู ซึ่งหนึ่งโอเมอร์เท่ากับสองลิตร หลายคนไม่สนใจในรายละเอียดของคำสั่งที่โมเสสได้ให้ไว้ บางคนก็เก็บมากเกินไป บางตนก็เก็บน้อยเกิน กระนั้น เมื่อเขาตวงมานาที่พวกเขาเก็บได้ “คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่” พระองค์ต้องการจะสอน ว่า พระเจ้าทรงจัดหาให้ตามความต้องการของพวกเขา นอกจากนี้ พวกเขาต้องไม่เหลือมันไว้เลยจนถึงเช้าวันถัดมา น่าเสียดายที่ว่า หลายคนในประชากรของพระเจ้า “ไม่ได้เชื่อฟังโมเสส” และสุดท้ายก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาพยายามจะพึ่งสิ่งที่มีอยู่ตรงหน้า บางคนก็กักตุนมันไว้และเก็บเป็นส่วนเกินไว้ข้ามคืน แต่ในที่สุดก็ผิดหวัง “อาหารนั้นก็เน่าเป็นหนอนและบูดเหม็น” โมเสสโกรธมากที่เหล่าประชากรไม่ซื่อสัตย์ในการปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้า สำหรับมานาที่เหลือตามพื้นดิน หลังจากประชากรเก็บไปพอดีรับประทานนั้น เมื่อแดดออกร้อนจัดแล้วมันก็ละลายหายไป อย่างไรก็ตามส่วนที่ประชากรเก็บไว้เป็นอาหารแต่ละวันนั้นจะคงสภาพดีอยู่ตลอดวัน
                ชนชาติอิสราเอลขณะที่พวกเขาตกเป็นทาสแรงงานในอียิปต์เป็นเวลา 430 ปี พระเจ้าทรงเห็นความทุกข์ร้อนใจของพวกเขา เส้นทางตรงจากอียิปต์ เพื่อเข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญาที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งและน้ำนมใช้เวลาแค่ 11 วันแต่พวกเขาต้องใช้เวลาเดินทางวนเวียนอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึง 40 ปี 
พวกเขาได้บ่นต่อว่าพระเจ้าและบ่นต่อว่าโมเสสผู้นำของเขา ถิ่นทุรกันดารเป็นดินแดนรอยต่อระหว่าง การดำเนินชีวิตอยู่ในชีวิตเก่าและชีวิตใหม่ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้จักพระเจ้า และถ่อมใจกับพระองค์ เหตุของการไม่วางใจ และไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์ตรัสสอนในพันธสัญญาเดิมฉธบ.28:15-68 ลองศึกษาใคร่ครวญจะได้เตือนสติในการดำเนินชีวิตของพวกเรา เพื่อไม่ให้ต้องตกอยู่ภายใต้เหตุการณ์เดียวกันกับชนชาติอิสราเอล ที่ทำให้พวกเขาต้องเสียเวลาเดินวนเวียนอยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาถึง 40 ปีเพื่อจะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญา จนคนที่มีอายุตั้งแต่20ปีขึ้นไปตายหมดยกเว้นโยชูวากับคาเลบ ฉธบ.30:8-9,20 และท่านทั้งหลายจะฟังเสียงของพระเจ้าอีกและรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านทั้งหลายในวันนี้ 9พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงกระทำให้ท่านจำเริญมั่งคั่งอย่างยิ่ง ในกิจการที่มือท่านกระทำ ในพงศ์พันธุ์ของตัวท่านเอง และในผลแห่งฝูงสัตว์ของท่าน และในผลแห่งพื้นดินของท่าน เพราะพระเจ้าจะทรงพอพระทัยที่จะให้ท่านจำเริญมั่งคั่ง ดังที่พระองค์ทรงปลื้มปีติในบรรพบุรุษของท่าน 20ด้วยมีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียง
ของพระองค์ และติดพันอยู่กับพระองค์ กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนาน เพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัมแก่อิสอัค และแก่ยาโคบว่า จะประทานแก่ท่านเหล่านั้น และอพย.15:26 พระองค์ตรัสว่า "ถ้าเจ้าทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าของเจ้า และกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรของพระองค์ เงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์
ทุกประการ แล้วโรคต่างๆ ซึ่งเราบันดาลให้เกิดแก่ชาวอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้บังเกิดแก่พวกเจ้าเลย เพราะเราคือพระเจ้าแพทย์ของเจ้า" นี่เป็นพระสัญญาของพระเจ้าสำหรับผู้ที่วางใจ และเชื่อฟังพระองค์ ซึ่งมีอย่างมากมาย ถึงแม้ว่าพวกเราอาจไม่สามารถทำให้สมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ แต่ถ้าท่าทีพวกเราถูกต้องต่อพระเจ้า และพระคำของพระองค์ พระองค์จะช่วยเสริมกำลัง และอวยพร เพราะพวกเราพึ่งในพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า “ในสายพระเนตรของพระเจ้าเราสมบูรณ์แล้วในพระคริสต์” ทุกอย่างจะสมบูรณ์เมื่อเราตัดสินใจเชื่อฟังพระองค์
            การดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือ การวางใจในพระเจ้า และพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ใช่วางใจในความคิดของตนซึ่งมักจะผิดพลาด พวกเราสามารถวางใจในพระเจ้าได้ทุกเรื่อง จะยับยั้งความกลัวและความเครียด และสร้างความสงบสุขในจิตใจแทน ความสงบนี้มีความหมายสองประการ คือ ความมั่นใจในพระเจ้าอย่างไม่สงสัย และ การมีจิตใจที่ปราศจากบาปทางด้านความคิด หากจิตใจของพวกเราถูกควบคุมด้วยบาปทางความคิด เช่น ความกลัว ความกังวล ความโกรธ ความอิจฉา ความขมขื่น การสงสารตัวเอง ฯลฯ พวกเราจะมีความเครียดภายในจิตใจ ความเครียดนั้นทำให้จิตใจปั่นป่วน ในทางตรงกันข้าม การประยุกต์หลักคำสอนพระคัมภีร์ประกอบด้วยความเชื่อไปใช้ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันจะก่อให้เกิดความสงบสุขในจิตใจของพวกเราได้
    
อ่านบทความอื่นๆได้ที่ http://theword-2015.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น